สวัสดีค่ะ เรามาแชร์ประสบการณ์การสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา F1 ครั้งแรกในชีวิต แบบมึนๆ งงๆ ขอที่เชียงใหม่นะคะ
เริ่มต้นหาข้อมูลใน internet ว่าเราสามารถไปอเมริกาด้วยวิธีไหนบ้าง อารมณ์แบบอยากเปิดประสบการณ์ พวก Aupair พวกฝึกงาน พวกเรียนป.โท วีซ่าทำงาน อื้อหือออ แต่ละอย่างดูไกลตัวมาก
จะไปออแพร์ก็โอยต้องไปเลี้ยงลูกเค้า ไอ่เราก็ไม่ชอบเลี้ยงเด็ก กลัวรับผิดชอบลูกเค้าไม่ไหว ถ้าเด็กงอแง = มองบน 😤
เรียนป.โทก็ต้องสอบ สอบวนไปค่ะ!! โทเฟล ไอเอลนู่นนี่นั่น สกิลภาษาอังกฤษก็เตี้ยต่ำติดดิน สอบไปคะแนนไม่ถึงแน่ๆ ค่าเทอมก็ไม่ใช่แสนสองแสนเด้อ ขอทุนได้ ขอทุน
วีซ่าทำงานนี่พับโครงการไปเลยค่า
มาจบอยู่ที่การเรียนภาษานี่แหละค่ะ ที่ดูจะมีเป็นทางเลือกที่โอเคกับเราที่สุด
จนวันที่จดหมายตอบรับของโรงเรียนที่นู่นส่งมาที่บ้าน (ไปสืบมาได้เรื่องได้ราวจากอากู๋และพันทิปว่า รร ที่เราไปลงเนี่ยไม่ค่อยน่าเชื่อถือวีซ่าผ่านยาก เพราะเด็กไทยที่ลงเรียนที่นั่นชอบโดดวีซ่า ปล.ตามที่เขาพูดกันมา)
จากนั้นแม่ก็ไปจ้างเอเจนซี่มาจัดการเรื่องวีซ่า เพราะถ้าให้เราทำเองเดินเรื่องเองเราคงไม่ได้ไปไหนแน่ๆ ฮ่าๆๆ
เถียงกับแม่อยู่หลายวันว่าจะไปจ้างทำไมเนี่ย เปลืองอ่า ค่าธรรมเนียมสถานฑูตอีกเกือบหกพัน
(ที่โวยวายนี่ไม่ใช่อะไรนะ คิดว่าวีซ่าไม่ผ่านแน่ๆเพราะความน่าเชื่อถือ รร ดูไม่น่ารอดตามที่บอกข้างบน เสียดายตังอ่ะ)
เอเจนก็ให้เอกสารเรามากรอก ประวัติต่างๆ แล้วเค้าจะเป็นคนเอาไปกรอกใน DS-160 ให้เราอีกที เราก็ดื้อ กว่าจะกรอก จะส่งให้เค้าก็เป็นเดือน กรอกครบมั่ง ขาดมั่ง ก็ส่งๆไป ส่วนเอเจนเองก็มีเบลอบ้างนะ เปิดการ์ดงงใส่บ้าง เหวี่ยงบ้าง เวลาถามข้อมูลอะไรมักจะได้ข้อมูลที่.... ไปหาอ่านเอาเองยังง่ายกว่า 55555
ก็ฟัดเหวี่ยงกันอยู่หลายครั้ง
จนถึงวันสัมภาษณ์ เอเจนนัดบรีฟเรา แปดโมงเช้า เราก็ป่ะ ไปกันคุณแม่ 555555 แปดโมงเป๊ะ เค้าก็จัดเอกสารต่างๆให้เรา
1. statement กับเอกสารรับรองการทำงานของสปอนเซอร์
2. Transcript
3. ใบรับรองวุฒิป.ตรี
4. I-20
5. ใบ sevis
6. Passport
7. ใบเสร็จค่าธรรมเนียมสถานฑูต
8. สำเนา DS-160 (บอกตรงๆเพิ่งจะมาเห็นว่ากรอกอะไรลงไปให้เราบ้างก็วันนี้แหละ) ก่อนหน้านั้นเคยทั้งโทร ทั้งไลน์ไปว่าเราอยากเช็คความถูกต้องก่อนวันจริง เค้าก็ไม่ส่งให้ บอกเช้าวันสัมภาษณ์ค่อยมาดู T T
ตอนบรีฟให้ตอนเช้า เค้าสร้างสตอรี่ให้เราเกือบหมดเลยนะ ว่าต้องพูดยังไงบ้าง จบมาทำงานที่ไหน คอร์สเรียนกี่เดือน หนูไม่มีญาติที่นู่นนะ ไม่มีคนรู้จัก หนูจะกลับมาแน่นอน คือจริงๆเรามีคนรู้จักที่นู่นเค้าเปิดร้านอาหาร ช่วงแรกจะช่วยดูแลเราและช่วย หาที่พักไรให้ แต่เอเจนสั่งห้ามพูดเลย เพราะกงศุลเค้าจะคิดว่าเรากะไปทำงานนู่นไม่กลับไทยไรงี้
พอแปดโมงกว่าก็มีคนเดินไปส่งเราที่กงสุล
ยอมรับว่ามีความกลัวมากกกก กลัวอะไรก็ไม่รู้ คืออ่านกระทู้เก่าๆมาเยอะไง มีสปอยที่น่ากลัว
ขั้นแรก ด่านที่1 ยื่นเอกสารให้ที่ห้องกระจกหน้ากงสุล จนท เค้าจะดูเอกสารละดูหน้าเราว่าใช่คนเดียวกันไหม จากนั้นก็เดินผ่านประตูเข้าไป เจอด่านที่ 2 สแกนกระเป๋า ผ่านเครื่องสแกนมาก็เอาอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคทุกอย่างฝาก สายชาร์ทแบตก็ต้องฝาก ตอนนั้นตื่นเต้นมากๆๆๆๆ คุณรปภ.บอก "ยังไม่หมดนะ มีอีก พกอะไรมาอีกป่าว"
เราก็งงละ มีแค่โทรศัพท์กับแบตสำรอง สายชาร์ท 1 เส้น
อ่ะๆๆ คุณ รปภ. ส่งกระเป๋าเราไปสแกนใหม่ ก็เจออีก ช่วยกันดูในจอสแกนก็ดูไม่ออก ทีนี้ล่ะ คุณรปภ.สามคนมารุมเราละ ช่วยกันดู ปรากฎว่าคือคีย์การ์ดเข้าหอพัก เค้าถามคืออะไรอ่ะ ตอนนั้นเราตื่นเต้นมากจนเรียกคีย์การ์ดไม่ถูก เรียกอะไรก็ไม่รู้ พูดเองยังจำไม่ได้ 55555555
จากนั้นเค้าจะขอบัตร ปชช เราใส่ซองฝากของไว้ ละให้บัตรใหญ่ๆสีเขียวๆหมายเลข 26มา เราก็ งงๆ บัตรคิวสัมภาษณ์หรอ มองหน้าเค้า งงๆ แล้วยังไม่ยอมเดินไปไหนอีกนะ จนเค้าบอก "นี่บัตรฝากของนะ" อ๋อ5555555 ถึงจะเก็ท ละเดินไปด่าน 3
ด่าน3 คือด่าน จทน.คนไทยคอยตรวจเอกสาร คัดเฉพาะที่เค้าใช้เท่านั้น พวก statement ใบรับรองงานต่างๆ เอกสารอื่นๆอะไร ไม่ใช้เลย เราก็เอามาเก็บไว้กับตัว แล้วเค้าให้เขียนชื่อ กับหมายเลขpassport ลงในใบสีฟ้าๆ จากนั้น พี่ จนท. ก็บอกให้ไปนั่งรอ
ระหว่างรอกวาดสายตามองทุกอย่าง มีทั้งคุณพี่ คุณเจ๊ คุณทอม คุณป้า คุณนักศึกษา คุณยาย มาขอวีซ่ากัน แล้วก็มีจอเรียกตามหมายเลขที่ จนท คนที่ตรวจเอกสารเป็นคนให้มา
ย้ำว่าไม่ใช่หมายเลขตามบัตรฝากของ ฮ่าๆๆๆ
นั่งๆอยู่ก็อ่านเจอป้ายเค้าเขียนว่าให้ดูหมายเลขตัวเองละดูหมายเลขช่องให้ดี ว่าเราโดนเรียกไปช่องไหน เรานี่ย้ำกับตัวเองว่าต้องคอยดูนะๆๆ เค้าอุตส่าห์แปะป้ายเตือน เดวปล่อยไก่ ซักแปปคุณพี่ทอมก็โดนเรียกเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ ซักแปปก็ออกมานั่งที่เดิม
เราคิดในใจ "อะไรวะ สัมภาษณ์เสร็จละทำไมไม่ไป มานั่งต่อทำไม งง"
ซักแปปคุณพี่ทอมโดนเรียกอีกละ เราคิด "สงสัยจำเลขตัวเองผิดแน่ๆ ไม่ก็เอกสารขาด เงี้ยๆ ไม่เตรียมตัวให้ดี " (แน้ะ มีการไปว่าเค้าอีก)
เรานั่งรอประมาณ 15 นาที ก็ติ้ดหน่องๆๆ ถึงคิวหมายเลขเราแล้ว ว้าว ตื่นเต้น เดินเข้าไป อ่าว ซวยละ ประตูเปิดยังไงว้า ไม่เคยใช้ประตูแบบนี้ 555555
เข้าไปปุ้บ เป็นห้องเล็กๆ มืดครึ้มน่าเกรงขาม มีความใจสั่น ในนั้นมีช่อง จนท.กงสุลฝรั่งสัมภาษณ์ อยู่ 3 ช่อง มีพระรูปนึงนั่งอยู่โซฟา เราก็มองหาเลขเรา ปรากฎว่าไม่มี เชี่ยย!!! ไม่มีเลขตู ยิ่งไปกว่านั้น
เชี่ยยย!! ลืมดูเลขช่อง

ละตู ช่องไหนล่ะวะ จะออกไปดูก็ไม่กล้าออก ทำตัวไม่ถูก เข้ามาแล้วอ่ะ ชะโงกหน้าไปมาๆ มันมีช่องลับไหมวะ งงไปหมด ฮือ พระท่านเห็นคงสงสาร เลยบอกว่าหนูๆ นู่นช่องนู้น เลข 4
บร้ะะะ!! มันมีช่อง 4 ด้วยค่ะ คู้ณณ โง้โง่ มองไม่เห็น มันเป็นช่องลึกลงไปอีก เป็น จนท คนไทย สัมภาษณ์คร่าวๆ หน้าตาหล่อเหลา คล้ายพระเอก คมพยาบาท 2557
ก็ถามทั่วไป
"ไปจะเรียนอะไร ที่ไหน เคยไปอเมริกามาก่อนไหม เคยขอวีซ่าไหม
อ่ะ เดี๋ยวขอสีนิ้วนะ"
ละเค้าก็ทำท่าแบมือเหมือนแบบคนสาบานตนอ่ะ เราก็แบบ สับสนในใจ ขอสีนิ้ว สีอะไรวะ เมื่อกี้ตอนนั่งรอ ก็นั่งแกะปากตัวเองไป(ปากแห้ง นิสัยไม่ดีชอบลอก)สีลิปมันติดนิ้วหรอวะ งง ช่างแม่ม เอานิ้วโป้งไปละกัน ละก็วางนิ้วโป้งบนเครื่องสแกน
จนท.ก็ชะโงกหน้ายื่นมา ละบอกว่า ไม่ใช่!! ขอสี่นิ้ว ทำท่าสาบานตนแบบเดิมให้ดู แต่รอบนี้หักนิ้วโป้งเก็บ 55555555555555 เก็ทเลย "อ๋ออออค่ะ ขอสแกน 4 นิ้ว"
พอเสร็จเค้าก็บอกเดวนั่งรอก่อนนะ เราก็ออกมานั่งโซฟาหน้าช่องที่ จนท. ฝรั่งเค้าสัมภาษณ์กัน ละ จนท.คนไทยตะกี้ก็อยู่ในห้องกระจกนะ ละทำท่าโบกไม้โบกมืออะไรไม่รู้ เราก็มอง ต้องการจะสื่อไรฟร้ะ อ๋ออออ บอกให้ออกไปรอข้างนอก ฮ่าาาาาา
เป็นอันเข้าใจว่าคุณพี่ทอมที่เข้าๆออกๆนั่นคือเขาโดนเรียกสัมภาษณ์กับคนไทยก่อน ละออกมารอข้างนอก ละถึงจะกลับไปสัมภาษณ์อีกกับ จนท.ฝรั่ง เก็ททนะ นัง เจ้าของกระทู้
จากนั้นก็ถึงหมายเลขเรา คราวนี้ดูเลขช่อง ไม่ลืมละ ไปโลด เปิดประตูเป็นละ ไปถึงก็สวัสดีค่ะ จนท.กงสุลฝรั่งเค้าดูใจดีนะ แต่พูดภาษาอังกฤษหมดเลย เราเคยไปอ่านกระทู้เก่าๆเค้าบอกเลือกสัมฯไทยหรืออังกฤษก็ได้
เปิดมายิงคำถามแรก เราก็อ่าว ไม่มีให้เลือกภาษาก่อนหรอ (เค้าถามเป็นภาษาอังกฤษหมดนะ แต่ขอพิมไทยเลยนะคะ พิมง่าย)
1. จนท. : แวร์ ดู ยู โก ทู study??
เราแบบ ห้ะ อะไรนะ ไม่ได้ยิน ตะกี้มัน what หรือ มัน where นะ เลยถามกลับ
เรา : where??? อ๋อ ซานฟรานซิสโก ค่ะ
2. จนท : จบที่ไหนมา
เรา : ยูนิเวอร เอ่อ ยู เชียงใหม่ เอ่ออ ชม.ยูนิเวอรซิตี้ ค่ะ (โอยย ตื่นเต้นอะไรเบอร์นั้น พูดไปเรื่อยอ่ะ)
3. จนท. : คุณจบอะไรมา
เรา : political administration !!!!!!! (เดี๊ยววว! เมิงควรตอบ political science จบ รัฐศาสตร์ ไม่ใช่ รัฐประศาสนศาสตร์ ฮือออ) ตอนนั้นยังยิ้มออกอยู่
4. จะไปเรียนอะไรที่อเมริกา
เรา : english course ค่ะ
5. แพลนของคุณเป็นยังไงเมื่อเรียนเสร็จ
เรา : i think if i finish i want to study เอ่อ international relations.(จริงๆไม่ได้มีความคิดนี้เลย โม้ไปเรื่อย) It similar to political science that i used to stuuoeishsvzow but it laksnsmanja เอ่อๆ ๆ (เริ่มยากละตู) "หนูพูดภาษาไทยได้มั้ยคะ " 55555
เท่านั้นแหละ เค้าหัวเราะเลย แต่เค้าบอกให้ตอบมาเป็นภาษาอังกฤษเถอะ ไม่เป็นไรด้วยความที่จะอธิบายอะไรซักอย่างยาวๆมันคิดไม่ออกจริงๆ แต่เราซัดภาษาไทยบ้างอังกฤษบ้างไปเล้ยทีนี้ เพราะตอนที่เราเข้ามาเจอ จนท คนไทยรอบแรกมีคนสัมภาษณ์อยู่กับช่องนี้ เค้าสัมภาษณ์เป็นภาษาไทยกัน เราคิดว่าเค้าเข้าใจไทยได้แหละ
6. ถาม GPA
เรา : เราจำไม่ได้ ค้นเอกสาร ละบอกไป
7.ใครออกค่าใช้จ่ายให้
เรา : my mother ค่ะ
8.แม่คุณทำงานอะไร
เรา : government officer
9. ทำเกี่ยวกับอะไร
เรา : hr (เอ้ะ เค้าจะรู้ไหมนะ) human resource ค่ะ do you know?
555555555
10. พ่อทำงานอะไร
เรา : เอ้ พ่อเราเสียแล้ว จะบอกไงดีวะ ใน DS-160มันไม่มีบอกหรอวะ ว่าพ่อเสียชีวิต
เอ้ะ หรือเอเจนใส่ชื่อลุง(แฟนแม่)ให้เป็นพ่อเราวะ ฮืออ ให้ตอบยังไงบอกฉันที โว้วโว
เลยตัดสินใจตอบไปว่า "family business ค่ะ buy เอ่อ บายมันซื้อนี่หว่า sell equipment ค่ะ เอ่อ instruction เอ้ะ construction equipment เอ้ะ พวกอุปกรณ์วัสดุก่อสร้างอ่ะค่ะ เค้าเรียกว่าอะไรคะ 555555"
จนท. : ไม่เป็นไรครับๆ ละก็พิมแกร็กๆๆๆๆๆ (หันไปคุยกับเพื่อน) ละก็พิมแกร่กๆๆๆๆๆ
ละจากนั้นเค้าก็โยนเอกสารเราใส่กล่องด้านหลัง แล้วเค้าก้พูดประโยคนึงซึ่งเราไม่ได้ยิน ฟังไม่ทัน ละก็บอก "เรียบร้อยแล้วครับ" เรายังยืนอยู่แบบ ห้ะ เสร็จละหรอ หนูสามารถออกไปได้เลยหรอคะ สวัสดีค่ะ ละก็ออกมาจากห้องสัมภาษณ์ เดินเงอะๆงะๆ ไปถามพี่คนตรวจเอกสารว่า หนูกลับได้เลยหรอคะ เค้าก็บอกสัมฯกับฝรั่งละใช่มั้ย งั้นกลับได้เลยจ่ะ เราก็เดินออกมาแบบ งงๆ แล้วเอกสารกุล่ะ ไม่ได้คืนหรอ ลุง รปภ.ก็ถามว่าเป็นไงมั่ง เราก็ตอบ "ไม่รู้อ่ะค่ะ แล้วเค้าไม่ได้คืนเอกสารให้หนูอ่ะ งง" ละลุงก็ว่า โอ้ย อย่างงี้ไม่ได้ไปแล้ววว ละก็หัวเราะ
เอ้ะ กุงง นี่ลุงพูดจริงหรือเล่นวะ กุสับสน
ละเราก็วนไปเอาของคืนจากด่าน 2 ลุง รปภ.ด้านในก็ถามอีก เราก็เลยถามว่าเค้าไม่ได้คืนpassport ให้หนู นี่ผ่านใช่ไหมคะ
นาทีนั้นถึงรู้ค่ะว่าผ่านแล้ว คุณลุงก็อวยพรให้ต่างๆว่ากันไป
55555555555555555555
นี่เป็นตัวอย่างการขอวีซ่าที่ไม่ดีเลยนะคะ ไม่ศึกษา ไม่เตรียมตัว ไม่เช็ค DS-160 ให้เข้าใจก่อน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอเจนซี่เค้ากรอกอะไรลงไปบ้างจนเช้าวันสัมภาษณ์ ก็มาแค่เช็คความถูกต้อง แต่เราเป็นคนขี้ลืมง่ะ ตรงนี้สำคัญมาก เพราะจนท. เค้าจะถามเราเกี่ยวกับข้อมูลใน DS-160 นี่แหละค่ะ ตอบไม่ตรง ตอบมั่วก็ซวยกล้วยเลยนะคะ
แล้วก็อยากให้มีสติกันให้มากๆ อย่าเงอะงะแบบเรา เพราะถ้าตื่นเต้นมากแล้วเนี่ย ความวิบัติถาโถมแน่นอน จากเราเป็นคนฟังพูดอังกฤษแบบพอได้นิดหน่อย เข้าไปสัมภาษณ์ปุ้บนึกอะไรไม่ออกเลย แต่เวลาตอบเราพูดแบบไม่อายไม่เขิน พยายามพูดไปอ่ะ พูดๆไปเห้อะ ขอให้จริงใจอ่ะ
ส่วนเรื่องสถาบันต่างๆที่เค้าชอบบอกกันว่า ที่นี่ดีน่าเชื่อถือ ที่นั่นไม่โอเค ขอวีซ่าผ่านยาก เราก็ไม่รู้ว่า จนท.เค้าใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินนะคะ เพราะสถาบันที่เราลง เราดูฟีดแบคในพันทิปแล้วไม่ดีเลย 555555555 แต่ก็อ่ะ ลองดู เค้าก็ไม่ได้ถามถึงสถาบันเราเลยนะ ไม่ดู statement เลยด้วย
สุดท้ายนี้ อยากให้ใครที่มีความฝัน รีบทำมันตั้งแต่ยังอายุไม่มาก อยากไปเที่ยว อยากไปเรียน อย่าคิดอย่างเดียวว่าอยากๆๆๆ แต่ปากบอกว่า แต่..อย่างงั้น แต่.. อย่างงี้
อุปสรรคด่านแรกก็คือตัวเราเองนี่แหละค่ะ ว่าจะเชื่อมั่นในตัวเราได้ไหม สู้ๆน้า การขอวีซ่าแค่จุดเริ่มต้นเอ้งง 👍
ตอนนี้กำลังนั่งกร่อยอยู่สนามบินรอต่อเครื่อง ไม่มีอะไรทำ เลยมาพิมเล่าให้ฟังค่า
อาจไม่สุภาพบ้าง คืออยากสื่อให้รู้ว่าตอนนั้นมันแบบอารมณ์แบบนั้นจริงๆ ขอบคุณค่ะ
แชร์ประสบการณ์ขอวีซ่า F1 แบบมึนๆ
เริ่มต้นหาข้อมูลใน internet ว่าเราสามารถไปอเมริกาด้วยวิธีไหนบ้าง อารมณ์แบบอยากเปิดประสบการณ์ พวก Aupair พวกฝึกงาน พวกเรียนป.โท วีซ่าทำงาน อื้อหือออ แต่ละอย่างดูไกลตัวมาก
จะไปออแพร์ก็โอยต้องไปเลี้ยงลูกเค้า ไอ่เราก็ไม่ชอบเลี้ยงเด็ก กลัวรับผิดชอบลูกเค้าไม่ไหว ถ้าเด็กงอแง = มองบน 😤
เรียนป.โทก็ต้องสอบ สอบวนไปค่ะ!! โทเฟล ไอเอลนู่นนี่นั่น สกิลภาษาอังกฤษก็เตี้ยต่ำติดดิน สอบไปคะแนนไม่ถึงแน่ๆ ค่าเทอมก็ไม่ใช่แสนสองแสนเด้อ ขอทุนได้ ขอทุน
วีซ่าทำงานนี่พับโครงการไปเลยค่า
มาจบอยู่ที่การเรียนภาษานี่แหละค่ะ ที่ดูจะมีเป็นทางเลือกที่โอเคกับเราที่สุด
จนวันที่จดหมายตอบรับของโรงเรียนที่นู่นส่งมาที่บ้าน (ไปสืบมาได้เรื่องได้ราวจากอากู๋และพันทิปว่า รร ที่เราไปลงเนี่ยไม่ค่อยน่าเชื่อถือวีซ่าผ่านยาก เพราะเด็กไทยที่ลงเรียนที่นั่นชอบโดดวีซ่า ปล.ตามที่เขาพูดกันมา)
จากนั้นแม่ก็ไปจ้างเอเจนซี่มาจัดการเรื่องวีซ่า เพราะถ้าให้เราทำเองเดินเรื่องเองเราคงไม่ได้ไปไหนแน่ๆ ฮ่าๆๆ
เถียงกับแม่อยู่หลายวันว่าจะไปจ้างทำไมเนี่ย เปลืองอ่า ค่าธรรมเนียมสถานฑูตอีกเกือบหกพัน
(ที่โวยวายนี่ไม่ใช่อะไรนะ คิดว่าวีซ่าไม่ผ่านแน่ๆเพราะความน่าเชื่อถือ รร ดูไม่น่ารอดตามที่บอกข้างบน เสียดายตังอ่ะ)
เอเจนก็ให้เอกสารเรามากรอก ประวัติต่างๆ แล้วเค้าจะเป็นคนเอาไปกรอกใน DS-160 ให้เราอีกที เราก็ดื้อ กว่าจะกรอก จะส่งให้เค้าก็เป็นเดือน กรอกครบมั่ง ขาดมั่ง ก็ส่งๆไป ส่วนเอเจนเองก็มีเบลอบ้างนะ เปิดการ์ดงงใส่บ้าง เหวี่ยงบ้าง เวลาถามข้อมูลอะไรมักจะได้ข้อมูลที่.... ไปหาอ่านเอาเองยังง่ายกว่า 55555
ก็ฟัดเหวี่ยงกันอยู่หลายครั้ง
จนถึงวันสัมภาษณ์ เอเจนนัดบรีฟเรา แปดโมงเช้า เราก็ป่ะ ไปกันคุณแม่ 555555 แปดโมงเป๊ะ เค้าก็จัดเอกสารต่างๆให้เรา
1. statement กับเอกสารรับรองการทำงานของสปอนเซอร์
2. Transcript
3. ใบรับรองวุฒิป.ตรี
4. I-20
5. ใบ sevis
6. Passport
7. ใบเสร็จค่าธรรมเนียมสถานฑูต
8. สำเนา DS-160 (บอกตรงๆเพิ่งจะมาเห็นว่ากรอกอะไรลงไปให้เราบ้างก็วันนี้แหละ) ก่อนหน้านั้นเคยทั้งโทร ทั้งไลน์ไปว่าเราอยากเช็คความถูกต้องก่อนวันจริง เค้าก็ไม่ส่งให้ บอกเช้าวันสัมภาษณ์ค่อยมาดู T T
ตอนบรีฟให้ตอนเช้า เค้าสร้างสตอรี่ให้เราเกือบหมดเลยนะ ว่าต้องพูดยังไงบ้าง จบมาทำงานที่ไหน คอร์สเรียนกี่เดือน หนูไม่มีญาติที่นู่นนะ ไม่มีคนรู้จัก หนูจะกลับมาแน่นอน คือจริงๆเรามีคนรู้จักที่นู่นเค้าเปิดร้านอาหาร ช่วงแรกจะช่วยดูแลเราและช่วย หาที่พักไรให้ แต่เอเจนสั่งห้ามพูดเลย เพราะกงศุลเค้าจะคิดว่าเรากะไปทำงานนู่นไม่กลับไทยไรงี้
พอแปดโมงกว่าก็มีคนเดินไปส่งเราที่กงสุล
ยอมรับว่ามีความกลัวมากกกก กลัวอะไรก็ไม่รู้ คืออ่านกระทู้เก่าๆมาเยอะไง มีสปอยที่น่ากลัว
ขั้นแรก ด่านที่1 ยื่นเอกสารให้ที่ห้องกระจกหน้ากงสุล จนท เค้าจะดูเอกสารละดูหน้าเราว่าใช่คนเดียวกันไหม จากนั้นก็เดินผ่านประตูเข้าไป เจอด่านที่ 2 สแกนกระเป๋า ผ่านเครื่องสแกนมาก็เอาอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคทุกอย่างฝาก สายชาร์ทแบตก็ต้องฝาก ตอนนั้นตื่นเต้นมากๆๆๆๆ คุณรปภ.บอก "ยังไม่หมดนะ มีอีก พกอะไรมาอีกป่าว"
เราก็งงละ มีแค่โทรศัพท์กับแบตสำรอง สายชาร์ท 1 เส้น
อ่ะๆๆ คุณ รปภ. ส่งกระเป๋าเราไปสแกนใหม่ ก็เจออีก ช่วยกันดูในจอสแกนก็ดูไม่ออก ทีนี้ล่ะ คุณรปภ.สามคนมารุมเราละ ช่วยกันดู ปรากฎว่าคือคีย์การ์ดเข้าหอพัก เค้าถามคืออะไรอ่ะ ตอนนั้นเราตื่นเต้นมากจนเรียกคีย์การ์ดไม่ถูก เรียกอะไรก็ไม่รู้ พูดเองยังจำไม่ได้ 55555555
จากนั้นเค้าจะขอบัตร ปชช เราใส่ซองฝากของไว้ ละให้บัตรใหญ่ๆสีเขียวๆหมายเลข 26มา เราก็ งงๆ บัตรคิวสัมภาษณ์หรอ มองหน้าเค้า งงๆ แล้วยังไม่ยอมเดินไปไหนอีกนะ จนเค้าบอก "นี่บัตรฝากของนะ" อ๋อ5555555 ถึงจะเก็ท ละเดินไปด่าน 3
ด่าน3 คือด่าน จทน.คนไทยคอยตรวจเอกสาร คัดเฉพาะที่เค้าใช้เท่านั้น พวก statement ใบรับรองงานต่างๆ เอกสารอื่นๆอะไร ไม่ใช้เลย เราก็เอามาเก็บไว้กับตัว แล้วเค้าให้เขียนชื่อ กับหมายเลขpassport ลงในใบสีฟ้าๆ จากนั้น พี่ จนท. ก็บอกให้ไปนั่งรอ
ระหว่างรอกวาดสายตามองทุกอย่าง มีทั้งคุณพี่ คุณเจ๊ คุณทอม คุณป้า คุณนักศึกษา คุณยาย มาขอวีซ่ากัน แล้วก็มีจอเรียกตามหมายเลขที่ จนท คนที่ตรวจเอกสารเป็นคนให้มา
ย้ำว่าไม่ใช่หมายเลขตามบัตรฝากของ ฮ่าๆๆๆ
นั่งๆอยู่ก็อ่านเจอป้ายเค้าเขียนว่าให้ดูหมายเลขตัวเองละดูหมายเลขช่องให้ดี ว่าเราโดนเรียกไปช่องไหน เรานี่ย้ำกับตัวเองว่าต้องคอยดูนะๆๆ เค้าอุตส่าห์แปะป้ายเตือน เดวปล่อยไก่ ซักแปปคุณพี่ทอมก็โดนเรียกเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ ซักแปปก็ออกมานั่งที่เดิม
เราคิดในใจ "อะไรวะ สัมภาษณ์เสร็จละทำไมไม่ไป มานั่งต่อทำไม งง"
ซักแปปคุณพี่ทอมโดนเรียกอีกละ เราคิด "สงสัยจำเลขตัวเองผิดแน่ๆ ไม่ก็เอกสารขาด เงี้ยๆ ไม่เตรียมตัวให้ดี " (แน้ะ มีการไปว่าเค้าอีก)
เรานั่งรอประมาณ 15 นาที ก็ติ้ดหน่องๆๆ ถึงคิวหมายเลขเราแล้ว ว้าว ตื่นเต้น เดินเข้าไป อ่าว ซวยละ ประตูเปิดยังไงว้า ไม่เคยใช้ประตูแบบนี้ 555555
เข้าไปปุ้บ เป็นห้องเล็กๆ มืดครึ้มน่าเกรงขาม มีความใจสั่น ในนั้นมีช่อง จนท.กงสุลฝรั่งสัมภาษณ์ อยู่ 3 ช่อง มีพระรูปนึงนั่งอยู่โซฟา เราก็มองหาเลขเรา ปรากฎว่าไม่มี เชี่ยย!!! ไม่มีเลขตู ยิ่งไปกว่านั้น
เชี่ยยย!! ลืมดูเลขช่อง
บร้ะะะ!! มันมีช่อง 4 ด้วยค่ะ คู้ณณ โง้โง่ มองไม่เห็น มันเป็นช่องลึกลงไปอีก เป็น จนท คนไทย สัมภาษณ์คร่าวๆ หน้าตาหล่อเหลา คล้ายพระเอก คมพยาบาท 2557
ก็ถามทั่วไป
"ไปจะเรียนอะไร ที่ไหน เคยไปอเมริกามาก่อนไหม เคยขอวีซ่าไหม
อ่ะ เดี๋ยวขอสีนิ้วนะ"
ละเค้าก็ทำท่าแบมือเหมือนแบบคนสาบานตนอ่ะ เราก็แบบ สับสนในใจ ขอสีนิ้ว สีอะไรวะ เมื่อกี้ตอนนั่งรอ ก็นั่งแกะปากตัวเองไป(ปากแห้ง นิสัยไม่ดีชอบลอก)สีลิปมันติดนิ้วหรอวะ งง ช่างแม่ม เอานิ้วโป้งไปละกัน ละก็วางนิ้วโป้งบนเครื่องสแกน
จนท.ก็ชะโงกหน้ายื่นมา ละบอกว่า ไม่ใช่!! ขอสี่นิ้ว ทำท่าสาบานตนแบบเดิมให้ดู แต่รอบนี้หักนิ้วโป้งเก็บ 55555555555555 เก็ทเลย "อ๋ออออค่ะ ขอสแกน 4 นิ้ว"
พอเสร็จเค้าก็บอกเดวนั่งรอก่อนนะ เราก็ออกมานั่งโซฟาหน้าช่องที่ จนท. ฝรั่งเค้าสัมภาษณ์กัน ละ จนท.คนไทยตะกี้ก็อยู่ในห้องกระจกนะ ละทำท่าโบกไม้โบกมืออะไรไม่รู้ เราก็มอง ต้องการจะสื่อไรฟร้ะ อ๋ออออ บอกให้ออกไปรอข้างนอก ฮ่าาาาาา
เป็นอันเข้าใจว่าคุณพี่ทอมที่เข้าๆออกๆนั่นคือเขาโดนเรียกสัมภาษณ์กับคนไทยก่อน ละออกมารอข้างนอก ละถึงจะกลับไปสัมภาษณ์อีกกับ จนท.ฝรั่ง เก็ททนะ นัง เจ้าของกระทู้
จากนั้นก็ถึงหมายเลขเรา คราวนี้ดูเลขช่อง ไม่ลืมละ ไปโลด เปิดประตูเป็นละ ไปถึงก็สวัสดีค่ะ จนท.กงสุลฝรั่งเค้าดูใจดีนะ แต่พูดภาษาอังกฤษหมดเลย เราเคยไปอ่านกระทู้เก่าๆเค้าบอกเลือกสัมฯไทยหรืออังกฤษก็ได้
เปิดมายิงคำถามแรก เราก็อ่าว ไม่มีให้เลือกภาษาก่อนหรอ (เค้าถามเป็นภาษาอังกฤษหมดนะ แต่ขอพิมไทยเลยนะคะ พิมง่าย)
1. จนท. : แวร์ ดู ยู โก ทู study??
เราแบบ ห้ะ อะไรนะ ไม่ได้ยิน ตะกี้มัน what หรือ มัน where นะ เลยถามกลับ
เรา : where??? อ๋อ ซานฟรานซิสโก ค่ะ
2. จนท : จบที่ไหนมา
เรา : ยูนิเวอร เอ่อ ยู เชียงใหม่ เอ่ออ ชม.ยูนิเวอรซิตี้ ค่ะ (โอยย ตื่นเต้นอะไรเบอร์นั้น พูดไปเรื่อยอ่ะ)
3. จนท. : คุณจบอะไรมา
เรา : political administration !!!!!!! (เดี๊ยววว! เมิงควรตอบ political science จบ รัฐศาสตร์ ไม่ใช่ รัฐประศาสนศาสตร์ ฮือออ) ตอนนั้นยังยิ้มออกอยู่
4. จะไปเรียนอะไรที่อเมริกา
เรา : english course ค่ะ
5. แพลนของคุณเป็นยังไงเมื่อเรียนเสร็จ
เรา : i think if i finish i want to study เอ่อ international relations.(จริงๆไม่ได้มีความคิดนี้เลย โม้ไปเรื่อย) It similar to political science that i used to stuuoeishsvzow but it laksnsmanja เอ่อๆ ๆ (เริ่มยากละตู) "หนูพูดภาษาไทยได้มั้ยคะ " 55555
เท่านั้นแหละ เค้าหัวเราะเลย แต่เค้าบอกให้ตอบมาเป็นภาษาอังกฤษเถอะ ไม่เป็นไรด้วยความที่จะอธิบายอะไรซักอย่างยาวๆมันคิดไม่ออกจริงๆ แต่เราซัดภาษาไทยบ้างอังกฤษบ้างไปเล้ยทีนี้ เพราะตอนที่เราเข้ามาเจอ จนท คนไทยรอบแรกมีคนสัมภาษณ์อยู่กับช่องนี้ เค้าสัมภาษณ์เป็นภาษาไทยกัน เราคิดว่าเค้าเข้าใจไทยได้แหละ
6. ถาม GPA
เรา : เราจำไม่ได้ ค้นเอกสาร ละบอกไป
7.ใครออกค่าใช้จ่ายให้
เรา : my mother ค่ะ
8.แม่คุณทำงานอะไร
เรา : government officer
9. ทำเกี่ยวกับอะไร
เรา : hr (เอ้ะ เค้าจะรู้ไหมนะ) human resource ค่ะ do you know?
555555555
10. พ่อทำงานอะไร
เรา : เอ้ พ่อเราเสียแล้ว จะบอกไงดีวะ ใน DS-160มันไม่มีบอกหรอวะ ว่าพ่อเสียชีวิต
เอ้ะ หรือเอเจนใส่ชื่อลุง(แฟนแม่)ให้เป็นพ่อเราวะ ฮืออ ให้ตอบยังไงบอกฉันที โว้วโว
เลยตัดสินใจตอบไปว่า "family business ค่ะ buy เอ่อ บายมันซื้อนี่หว่า sell equipment ค่ะ เอ่อ instruction เอ้ะ construction equipment เอ้ะ พวกอุปกรณ์วัสดุก่อสร้างอ่ะค่ะ เค้าเรียกว่าอะไรคะ 555555"
จนท. : ไม่เป็นไรครับๆ ละก็พิมแกร็กๆๆๆๆๆ (หันไปคุยกับเพื่อน) ละก็พิมแกร่กๆๆๆๆๆ
ละจากนั้นเค้าก็โยนเอกสารเราใส่กล่องด้านหลัง แล้วเค้าก้พูดประโยคนึงซึ่งเราไม่ได้ยิน ฟังไม่ทัน ละก็บอก "เรียบร้อยแล้วครับ" เรายังยืนอยู่แบบ ห้ะ เสร็จละหรอ หนูสามารถออกไปได้เลยหรอคะ สวัสดีค่ะ ละก็ออกมาจากห้องสัมภาษณ์ เดินเงอะๆงะๆ ไปถามพี่คนตรวจเอกสารว่า หนูกลับได้เลยหรอคะ เค้าก็บอกสัมฯกับฝรั่งละใช่มั้ย งั้นกลับได้เลยจ่ะ เราก็เดินออกมาแบบ งงๆ แล้วเอกสารกุล่ะ ไม่ได้คืนหรอ ลุง รปภ.ก็ถามว่าเป็นไงมั่ง เราก็ตอบ "ไม่รู้อ่ะค่ะ แล้วเค้าไม่ได้คืนเอกสารให้หนูอ่ะ งง" ละลุงก็ว่า โอ้ย อย่างงี้ไม่ได้ไปแล้ววว ละก็หัวเราะ
เอ้ะ กุงง นี่ลุงพูดจริงหรือเล่นวะ กุสับสน
ละเราก็วนไปเอาของคืนจากด่าน 2 ลุง รปภ.ด้านในก็ถามอีก เราก็เลยถามว่าเค้าไม่ได้คืนpassport ให้หนู นี่ผ่านใช่ไหมคะ
นาทีนั้นถึงรู้ค่ะว่าผ่านแล้ว คุณลุงก็อวยพรให้ต่างๆว่ากันไป
55555555555555555555
นี่เป็นตัวอย่างการขอวีซ่าที่ไม่ดีเลยนะคะ ไม่ศึกษา ไม่เตรียมตัว ไม่เช็ค DS-160 ให้เข้าใจก่อน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอเจนซี่เค้ากรอกอะไรลงไปบ้างจนเช้าวันสัมภาษณ์ ก็มาแค่เช็คความถูกต้อง แต่เราเป็นคนขี้ลืมง่ะ ตรงนี้สำคัญมาก เพราะจนท. เค้าจะถามเราเกี่ยวกับข้อมูลใน DS-160 นี่แหละค่ะ ตอบไม่ตรง ตอบมั่วก็ซวยกล้วยเลยนะคะ
แล้วก็อยากให้มีสติกันให้มากๆ อย่าเงอะงะแบบเรา เพราะถ้าตื่นเต้นมากแล้วเนี่ย ความวิบัติถาโถมแน่นอน จากเราเป็นคนฟังพูดอังกฤษแบบพอได้นิดหน่อย เข้าไปสัมภาษณ์ปุ้บนึกอะไรไม่ออกเลย แต่เวลาตอบเราพูดแบบไม่อายไม่เขิน พยายามพูดไปอ่ะ พูดๆไปเห้อะ ขอให้จริงใจอ่ะ
ส่วนเรื่องสถาบันต่างๆที่เค้าชอบบอกกันว่า ที่นี่ดีน่าเชื่อถือ ที่นั่นไม่โอเค ขอวีซ่าผ่านยาก เราก็ไม่รู้ว่า จนท.เค้าใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินนะคะ เพราะสถาบันที่เราลง เราดูฟีดแบคในพันทิปแล้วไม่ดีเลย 555555555 แต่ก็อ่ะ ลองดู เค้าก็ไม่ได้ถามถึงสถาบันเราเลยนะ ไม่ดู statement เลยด้วย
สุดท้ายนี้ อยากให้ใครที่มีความฝัน รีบทำมันตั้งแต่ยังอายุไม่มาก อยากไปเที่ยว อยากไปเรียน อย่าคิดอย่างเดียวว่าอยากๆๆๆ แต่ปากบอกว่า แต่..อย่างงั้น แต่.. อย่างงี้
อุปสรรคด่านแรกก็คือตัวเราเองนี่แหละค่ะ ว่าจะเชื่อมั่นในตัวเราได้ไหม สู้ๆน้า การขอวีซ่าแค่จุดเริ่มต้นเอ้งง 👍
ตอนนี้กำลังนั่งกร่อยอยู่สนามบินรอต่อเครื่อง ไม่มีอะไรทำ เลยมาพิมเล่าให้ฟังค่า
อาจไม่สุภาพบ้าง คืออยากสื่อให้รู้ว่าตอนนั้นมันแบบอารมณ์แบบนั้นจริงๆ ขอบคุณค่ะ