เมื่อวันที่ 17 ที่ผ่านมามีน้องไลน์มาถามว่า ดูหนังเรื่อง "เซิด" (เทริด)ไหม มีรอบสื่อ ไม่คิดมากตัดสินใจว่าไปดูทันที แต่พอถึงเวลาจริงๆดันติดภาระกิจ เลยพลาดรอบสื่อ อันหมายถึงว่าเป็นรอบที่ได้รับเชิญให้ไปชม ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ได้ดูก็ไม่ได้ดู เพราะโดยส่วนตัวก็แอบมีอคติในใจเล็กๆ ว่านักร้องคนนึงจะลุกขึ้นมากำกับหนัง เท่าที่ดูก็ไม่น่าจะมีพื้นฐานอะไรในการกำกับ นอกจากเป็นตัวแสดงในเรื่อง ก็คงจะงั้นๆ แต่นึกขึ้นได้อีกที เราก็รู้จักกับพี่เค้าบ้างจากการทำงาน ไปดูสักหน่อยให้กำลังใจแก จึงเป็นที่มาให้หญิงอ้วนจงอยหัวสีชมพูตัดสินใจแต่งตัวออกจากบ้านในวันนี้เพื่อไปซื้อตั๋วดูหนังที่พี่ที่รู้จักคือพี่เอก เอกชัย ศรีวิชัย กำกับ บอกตรงๆว่าไม่คาดหวังอะไร เพราะอ่านจากเรื่องย่อแล้ว ก็เหมือนกับหนังเกี่ยวกับวัฒนธรรมหลายๆเรื่องที่เป็นเรื่องของความขัดแย้งระหว่างเจนเนอเรชั่น กะว่าดูเอาไว้เม้ามอยหอยสังข์ ระหว่างนั่งรอชมก็มีแอบจินตนาการว่า นี่ชั้นจะทนดูได้จนจบเรื่องไหม จะเป็นหนังผีไหม หรือ จะเป็นหนังแอบตลก ตามแนวทางหนังที่เราเคยเห็นพี่เค้าเล่น
ใจเต้นรัวเมื่อหนังเริ่มเปิดซีน ด้วยการเล่าเรื่องเกือบจะเป็นสารคดี แต่มันสั้นมากจนยังไม่ทันจะรำคาญ และมันก็สามารถวางพื้นฐานให้เข้าใจความเป็นมาของการแสดงมโนราห์ได้ในระดับนึง โดยส่วนตัวถือว่าฉลาดทีเดียวที่มีการปูพื้นนิดๆ และดีที่กระชับและตัดกลับมาต่อเนื่องเป็นซีนเปิดเรื่อง หลังจากนั้นความระทึกเกิดขึ้นอีกครั้ง ขุ่นพระ หนังซาวด์แทรกค่ะ พูดภาษาท้องถิ่น คือภาษาใต้ แต่ไม่ต้องกลัวค่ะ มีซับไตเติ้ลข้างล่าง แต่เอาเข้าจริงเราสามารถคล้อยตามเรื่องราวไปได้เรื่อยๆโดยไม่ต้องพึ่งซับไตเติ้ล และที่สำคัญที่สุดเราไม่รู้สึกเหมือนกับตอนดูละครหรือดูหนังที่เอาคนที่ไม่ใช่ท้องถิ่นมาเล่นแล้วพูดเพี้ยนไปเพี้ยนมา ต้องยกความดีให้ความกล้าของผู้กำกับที่เอานักแสดงที่ต้องบอกว่าทั้งเรื่องรู้จักอยู่ 3คน คือ ตัวพี่เอก เอกชัย ศรีวิชัย กับ เมฆ วินัย ไกรบุตร ปอนด์ รุ่งรัตน์ ดวงขวัญ ตัวแสดงอื่นนอกนั้น คงไม่เป็นที่รู้จัก
สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้จากการแสดงของนักแสดงแต่ละคนคือความจริงใจในความเป็นตัวละครของตัวเอง ไม่รู้สึกว่าเป็นการแสดงแต่ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าแต่ละคนเป็นตัวแสดงตัวนั้นจริงๆ ไม่ใช่ดาราดังมาแสดงไปตามบท ซึ่งตรงนี้ขอบอกว่าปลาบปลื้มในระดับนึงทีเดียว
ส่วนตัวเรื่องราวเป็นเรื่องที่พล๊อตขึ้นมาโดยผู้กำกับและมอบหมายให้คนนำไปเขียนบท อย่าให้เรื่องย่อที่อ่านหลอกคุณว่าหนังเรื่องนี้ไม่มีอะไร เนื้อเรื่องเบเบเหมือนที่เราคิดเป็นอันขาด เพราะถ้าอ่านจะพบว่าเป็นเรื่องย่อที่ไม่น่าสนใจ ทั้งๆที่หนังทำออกมาได้ดีและมีแง่มุม และที่สำคัญที่สุดคือ ภาพไม่ขี้เหร่เลย ภาพสวยประมาณนึง ถึงแม้ว่าจะมีช๊อตที่ใช้โดรนเยอะไปนิดนึง แต่ก็ไม่ถือว่าพร่ำเพรื่ออะไร เพราะถ้าให้เราทายใจผู้กำกับ คงอยากจะโชว์ความงามของโลเคชั่น ที่ต้องบอกว่าเป็นการเปิดโลเคชั่นใหม่ๆกันเลยทีเดียว
เมื่อไปดูมาแล้วขอบอกว่า เทริด ไม่ใช่หนังสุกเอาเผากิน เป็นหนังที่ไปดูแล้วเห็นถึงความตั้งใจที่ถ่ายทอดเรื่องราวของวัฒนธรรมมโนราห์ที่ทำออกอย่างละเมียดละไม ผ่านเรื่องราวชีวิตของครอบครัวมโนราห์ที่มีความซับซ้อนมากกว่าความขัดแย้งระหว่างวัฒนธรรม ระหว่างบรรทัดของเนื้อเรื่องมีการถ่ายทอดประเพณีวัฒนธรรมชาวใต้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่ทำให้เสียอรรถรสของเรื่อง แต่กลับเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้แกนเรื่องเด่นขึ้นมาได้ จากความรู้สึกของเรา เทริดเป็นหนังที่กลมกล่อมในทุกๆจังหวะ แม้กระทั่งดนตรีประกอบที่แสดงถึงความใส่ใจในเรื่องราว แล้วที่คาดว่าจะดูไม่จบเรื่องกลายเป็นว่าดูเพลินไปจนจบแบบที่ไม่ต้องยกนาฬิกาขึ้นมาดูเพื่อที่จะได้รู้ว่าหนังใกล้จะจบหรือยัง
เราโดนเทริดหลอกให้คิดว่าจะเป็นหนังเกี่ยวกับผีและความเชื่อจากหน้าหนัง แต่ในความเป็นจริงแล้วมีความคมคายที่ซ่อนเอาไว้อย่างมีเงื่อนงำ เอาจริงๆนะคันปากอยากจะเล่าเรื่องมากมาย แต่ถ้าเล่าก็จะเป็นการสปอยล์ไป แต่ก็เสียดายที่หนังลงโรงไปได้แค่เพียงสี่วัน จำนวนโรงที่ฉายก็เหลือน้อยที่มากๆ จนน่าใจหาย เพราะที่แรกตั้งใจจะไปดูเซ็นทรัลพระราม 3 ซึ่งก่อนหน้านั้นเช็คแล้วว่ามีแน่ๆ แต่พอวันนี้เข้าไปเช็ครอบอีกทีพบว่าไม่มีแล้ว แต่เมื่อตั้งใจแล้ว ก็ตัดสินใจขับรถจากพระรามสามไปเมเจอร์รัชโยธิน ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอบคุณตัวเองมากๆที่สลัดความขี้เกียจแล้วออกจากบ้านไปเสพความสุข และดีใจมากๆที่ได้เสียตังค์เพื่อหนังเรื่องนี้
ถ้าใครยังลังเลอยู่ก็อย่าลังเลเลย ไปดูกันเถอะ ก่อนที่จะถูกถอดออกจากโปรแกรมในเร็ววัน โดยที่คุณยังจะคาใจอยู่ว่าหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไร
"เทริด" หนังไทยที่ไปดูโดยไม่คาดหวังแต่ตั้งใจไปดู
ใจเต้นรัวเมื่อหนังเริ่มเปิดซีน ด้วยการเล่าเรื่องเกือบจะเป็นสารคดี แต่มันสั้นมากจนยังไม่ทันจะรำคาญ และมันก็สามารถวางพื้นฐานให้เข้าใจความเป็นมาของการแสดงมโนราห์ได้ในระดับนึง โดยส่วนตัวถือว่าฉลาดทีเดียวที่มีการปูพื้นนิดๆ และดีที่กระชับและตัดกลับมาต่อเนื่องเป็นซีนเปิดเรื่อง หลังจากนั้นความระทึกเกิดขึ้นอีกครั้ง ขุ่นพระ หนังซาวด์แทรกค่ะ พูดภาษาท้องถิ่น คือภาษาใต้ แต่ไม่ต้องกลัวค่ะ มีซับไตเติ้ลข้างล่าง แต่เอาเข้าจริงเราสามารถคล้อยตามเรื่องราวไปได้เรื่อยๆโดยไม่ต้องพึ่งซับไตเติ้ล และที่สำคัญที่สุดเราไม่รู้สึกเหมือนกับตอนดูละครหรือดูหนังที่เอาคนที่ไม่ใช่ท้องถิ่นมาเล่นแล้วพูดเพี้ยนไปเพี้ยนมา ต้องยกความดีให้ความกล้าของผู้กำกับที่เอานักแสดงที่ต้องบอกว่าทั้งเรื่องรู้จักอยู่ 3คน คือ ตัวพี่เอก เอกชัย ศรีวิชัย กับ เมฆ วินัย ไกรบุตร ปอนด์ รุ่งรัตน์ ดวงขวัญ ตัวแสดงอื่นนอกนั้น คงไม่เป็นที่รู้จัก
สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้จากการแสดงของนักแสดงแต่ละคนคือความจริงใจในความเป็นตัวละครของตัวเอง ไม่รู้สึกว่าเป็นการแสดงแต่ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าแต่ละคนเป็นตัวแสดงตัวนั้นจริงๆ ไม่ใช่ดาราดังมาแสดงไปตามบท ซึ่งตรงนี้ขอบอกว่าปลาบปลื้มในระดับนึงทีเดียว
ส่วนตัวเรื่องราวเป็นเรื่องที่พล๊อตขึ้นมาโดยผู้กำกับและมอบหมายให้คนนำไปเขียนบท อย่าให้เรื่องย่อที่อ่านหลอกคุณว่าหนังเรื่องนี้ไม่มีอะไร เนื้อเรื่องเบเบเหมือนที่เราคิดเป็นอันขาด เพราะถ้าอ่านจะพบว่าเป็นเรื่องย่อที่ไม่น่าสนใจ ทั้งๆที่หนังทำออกมาได้ดีและมีแง่มุม และที่สำคัญที่สุดคือ ภาพไม่ขี้เหร่เลย ภาพสวยประมาณนึง ถึงแม้ว่าจะมีช๊อตที่ใช้โดรนเยอะไปนิดนึง แต่ก็ไม่ถือว่าพร่ำเพรื่ออะไร เพราะถ้าให้เราทายใจผู้กำกับ คงอยากจะโชว์ความงามของโลเคชั่น ที่ต้องบอกว่าเป็นการเปิดโลเคชั่นใหม่ๆกันเลยทีเดียว
เมื่อไปดูมาแล้วขอบอกว่า เทริด ไม่ใช่หนังสุกเอาเผากิน เป็นหนังที่ไปดูแล้วเห็นถึงความตั้งใจที่ถ่ายทอดเรื่องราวของวัฒนธรรมมโนราห์ที่ทำออกอย่างละเมียดละไม ผ่านเรื่องราวชีวิตของครอบครัวมโนราห์ที่มีความซับซ้อนมากกว่าความขัดแย้งระหว่างวัฒนธรรม ระหว่างบรรทัดของเนื้อเรื่องมีการถ่ายทอดประเพณีวัฒนธรรมชาวใต้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่ทำให้เสียอรรถรสของเรื่อง แต่กลับเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้แกนเรื่องเด่นขึ้นมาได้ จากความรู้สึกของเรา เทริดเป็นหนังที่กลมกล่อมในทุกๆจังหวะ แม้กระทั่งดนตรีประกอบที่แสดงถึงความใส่ใจในเรื่องราว แล้วที่คาดว่าจะดูไม่จบเรื่องกลายเป็นว่าดูเพลินไปจนจบแบบที่ไม่ต้องยกนาฬิกาขึ้นมาดูเพื่อที่จะได้รู้ว่าหนังใกล้จะจบหรือยัง
เราโดนเทริดหลอกให้คิดว่าจะเป็นหนังเกี่ยวกับผีและความเชื่อจากหน้าหนัง แต่ในความเป็นจริงแล้วมีความคมคายที่ซ่อนเอาไว้อย่างมีเงื่อนงำ เอาจริงๆนะคันปากอยากจะเล่าเรื่องมากมาย แต่ถ้าเล่าก็จะเป็นการสปอยล์ไป แต่ก็เสียดายที่หนังลงโรงไปได้แค่เพียงสี่วัน จำนวนโรงที่ฉายก็เหลือน้อยที่มากๆ จนน่าใจหาย เพราะที่แรกตั้งใจจะไปดูเซ็นทรัลพระราม 3 ซึ่งก่อนหน้านั้นเช็คแล้วว่ามีแน่ๆ แต่พอวันนี้เข้าไปเช็ครอบอีกทีพบว่าไม่มีแล้ว แต่เมื่อตั้งใจแล้ว ก็ตัดสินใจขับรถจากพระรามสามไปเมเจอร์รัชโยธิน ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอบคุณตัวเองมากๆที่สลัดความขี้เกียจแล้วออกจากบ้านไปเสพความสุข และดีใจมากๆที่ได้เสียตังค์เพื่อหนังเรื่องนี้
ถ้าใครยังลังเลอยู่ก็อย่าลังเลเลย ไปดูกันเถอะ ก่อนที่จะถูกถอดออกจากโปรแกรมในเร็ววัน โดยที่คุณยังจะคาใจอยู่ว่าหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไร