เป็น short note จากทริป Kansai เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา คงไม่ครบถ้วนทุกเรื่อง แต่หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
1) ไปญี่ปุ่นไม่ต้องขอ VISA ถ้าเที่ยวไม่เกิน 15 วัน (เริ่มนับ 1 ถัดจากวันที่มาถึง)
2) ช่วงที่เหมาะจะไปมากๆ คือ ต้นเดือนเมษายน (ซากุระบาน) และปลายเดือนตุลาคม (ใบไม้เปลี่ยนสี) สองช่วงนี้ไม่หนาวเกินไป และค่อนข้างปลอดฝน
3) การ email ไปสอบถามข้อมูล เช่น รายละเอียดของบัตร pass จะมีเจ้าหน้าที่ที่ใช้ภาษาอังกฤษดีคอยตอบ และมักตอบกลับภายใน 1 วันทำการ
4) ตม. ที่ Kansai Airport คิวยาวมากกกก ควรเผื่อเวลาสำหรับขั้นตอนเข้าเมืองสัก 1.5 ชม.
5) เพื่อความรวดเร็ว ให้กรอกที่อยู่ที่พักในแบบฟอร์มเข้าเมืองให้สมบูรณ์ (ประเทศอื่นเขียนแค่ชื่อที่พักก็ใช้ได้แล้ว) และเจ้าหน้าที่ ตม. บางคนดุอย่างกับครูฝ่ายปกครอง
6) SIM card ถ้าซื้อตามตู้ขายอัตโนมัติในญี่ปุ่นจะ set up ยาก ถ้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องมือถือ ซื้อ SIM card จากเมืองไทยเลยดีกว่า
7) บัตร pass ต่างๆ มักจะคุ้ม ดูข้อมูลบัตร pass หลักๆ ได้ที่
http://pantip.com/topic/34995962
8) เครือข่าย subway ใน Osaka ครอบคลุมที่เที่ยวหลักเกือบทั้งหมด ยกเว้น Universal Studio ที่มีแต่รถไฟ JR ผ่าน แต่ถ้านั่งแต่รถไฟ JR ก็ไปได้แค่ไม่กี่ที่
9) taxi ญี่ปุ่นโบกได้แทบทุกที่ มิเตอร์เริ่มที่ประมาณ 600-700 เยน เดินทางภายในตัวเมืองตกเที่ยวละประมาณ 400 บาท
10) เที่ยว Nara (ถึงแม้จะนั่งรถบัสจากสถานีรถไฟไปลงป้ายวัด Todai-ji) แค่ไปไหว้หลวงพ่อโต + ถ่ายรูปกับกวางระหว่างทางเดินไปวัด + กิน 1 มื้อ ก็หมดไปครึ่งวันแล้ว เพราะเดินไกลพอสมควร
11) เกียวโตมีไฟแดงแทบจะทุก 100 เมตร และติดไฟแดงแทบทุกครั้ง แต่เครือข่ายรถ bus ก็ครอบคลุมที่เที่ยวทั้งหมดอยู่ดี
12) อย่าคาดหวัง coin locker ที่สถานี Namba กับ Shin-osaka ว่าจะว่าง
13) สถานีที่เป็น interchange station มักต้องเดินเปลี่ยนขบวนไกลมาก แบบต้องเดิน 5 นาที++เป็นปกติ ยิ่งเป็น interchange station สำหรับเปลี่ยนจากใต้ดินเป็นบนดิน หรือเปลี่ยนยี่ห้อรถไฟ อันนี้เดินไกลกว่าเดิม และสถานีมักใหญ่โตน้องๆ ห้างสรรพสินค้าเลย จึงควรเผื่อเวลาเดิน+หลงทางไว้ด้วย ไม่งั้นอาจต้องวิ่ง 100 เมตรไปขึ้นรถไฟ
14) อาหารสำเร็จรูปตามร้านสะดวกซื้อราคาประมาณ 300-400 เยน แต่คุณภาพและรสชาติคุ้มราคาสุดๆ พวกของทอดนี่ทอดขายกันร้อนๆ เลย
15) ข้าวหน้าเนื้อของ Lawson โคตรอร่อยจริงตามที่เขาว่ากัน
16) อาหารในร้านอาหาร ราคาจะอยู่ที่ 1,000-3,000 เยน ขึ้นกับความหรูของร้าน และมักเสิร์ฟน้ำชาให้ฟรี
17) น้ำเปล่าขวดเล็กราคาพอๆ กับน้ำชาแบบขวด (ประมาณ 25 บาท) แต่ถ้าซื้อเป็นขวดใหญ่จะคุ้มกว่ามาก
18) คนญี่ปุ่นมักเร่งรีบ เวลาอยู่บนบันไดเลื่อนในสถานีรถไฟฟ้า ถ้าจะยืนเฉยๆ ไม่รีบเดิน ให้ยืนชิดด้านใดด้านหนึ่ง (ดูคนอื่นๆ) เพื่อเว้นทางให้คนที่เร่งรีบ
19) ตู้ขายตั๋วรถไฟอัตโนมัติจะมีปุ่มภาษาอังกฤษให้เลือกเสมอ
20) เวลาหลงทาง ถ้าเป็นไปได้ ให้ถามทางกับนักท่องเที่ยวด้วยกันเองดีกว่าถามจากชาวญี่ปุ่น
[CR] บัญญัติ 20 ประการ ทริป Kansai
เป็น short note จากทริป Kansai เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา คงไม่ครบถ้วนทุกเรื่อง แต่หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
1) ไปญี่ปุ่นไม่ต้องขอ VISA ถ้าเที่ยวไม่เกิน 15 วัน (เริ่มนับ 1 ถัดจากวันที่มาถึง)
2) ช่วงที่เหมาะจะไปมากๆ คือ ต้นเดือนเมษายน (ซากุระบาน) และปลายเดือนตุลาคม (ใบไม้เปลี่ยนสี) สองช่วงนี้ไม่หนาวเกินไป และค่อนข้างปลอดฝน
3) การ email ไปสอบถามข้อมูล เช่น รายละเอียดของบัตร pass จะมีเจ้าหน้าที่ที่ใช้ภาษาอังกฤษดีคอยตอบ และมักตอบกลับภายใน 1 วันทำการ
4) ตม. ที่ Kansai Airport คิวยาวมากกกก ควรเผื่อเวลาสำหรับขั้นตอนเข้าเมืองสัก 1.5 ชม.
5) เพื่อความรวดเร็ว ให้กรอกที่อยู่ที่พักในแบบฟอร์มเข้าเมืองให้สมบูรณ์ (ประเทศอื่นเขียนแค่ชื่อที่พักก็ใช้ได้แล้ว) และเจ้าหน้าที่ ตม. บางคนดุอย่างกับครูฝ่ายปกครอง
6) SIM card ถ้าซื้อตามตู้ขายอัตโนมัติในญี่ปุ่นจะ set up ยาก ถ้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องมือถือ ซื้อ SIM card จากเมืองไทยเลยดีกว่า
7) บัตร pass ต่างๆ มักจะคุ้ม ดูข้อมูลบัตร pass หลักๆ ได้ที่ http://pantip.com/topic/34995962
8) เครือข่าย subway ใน Osaka ครอบคลุมที่เที่ยวหลักเกือบทั้งหมด ยกเว้น Universal Studio ที่มีแต่รถไฟ JR ผ่าน แต่ถ้านั่งแต่รถไฟ JR ก็ไปได้แค่ไม่กี่ที่
9) taxi ญี่ปุ่นโบกได้แทบทุกที่ มิเตอร์เริ่มที่ประมาณ 600-700 เยน เดินทางภายในตัวเมืองตกเที่ยวละประมาณ 400 บาท
10) เที่ยว Nara (ถึงแม้จะนั่งรถบัสจากสถานีรถไฟไปลงป้ายวัด Todai-ji) แค่ไปไหว้หลวงพ่อโต + ถ่ายรูปกับกวางระหว่างทางเดินไปวัด + กิน 1 มื้อ ก็หมดไปครึ่งวันแล้ว เพราะเดินไกลพอสมควร
11) เกียวโตมีไฟแดงแทบจะทุก 100 เมตร และติดไฟแดงแทบทุกครั้ง แต่เครือข่ายรถ bus ก็ครอบคลุมที่เที่ยวทั้งหมดอยู่ดี
12) อย่าคาดหวัง coin locker ที่สถานี Namba กับ Shin-osaka ว่าจะว่าง
13) สถานีที่เป็น interchange station มักต้องเดินเปลี่ยนขบวนไกลมาก แบบต้องเดิน 5 นาที++เป็นปกติ ยิ่งเป็น interchange station สำหรับเปลี่ยนจากใต้ดินเป็นบนดิน หรือเปลี่ยนยี่ห้อรถไฟ อันนี้เดินไกลกว่าเดิม และสถานีมักใหญ่โตน้องๆ ห้างสรรพสินค้าเลย จึงควรเผื่อเวลาเดิน+หลงทางไว้ด้วย ไม่งั้นอาจต้องวิ่ง 100 เมตรไปขึ้นรถไฟ
14) อาหารสำเร็จรูปตามร้านสะดวกซื้อราคาประมาณ 300-400 เยน แต่คุณภาพและรสชาติคุ้มราคาสุดๆ พวกของทอดนี่ทอดขายกันร้อนๆ เลย
15) ข้าวหน้าเนื้อของ Lawson โคตรอร่อยจริงตามที่เขาว่ากัน
16) อาหารในร้านอาหาร ราคาจะอยู่ที่ 1,000-3,000 เยน ขึ้นกับความหรูของร้าน และมักเสิร์ฟน้ำชาให้ฟรี
17) น้ำเปล่าขวดเล็กราคาพอๆ กับน้ำชาแบบขวด (ประมาณ 25 บาท) แต่ถ้าซื้อเป็นขวดใหญ่จะคุ้มกว่ามาก
18) คนญี่ปุ่นมักเร่งรีบ เวลาอยู่บนบันไดเลื่อนในสถานีรถไฟฟ้า ถ้าจะยืนเฉยๆ ไม่รีบเดิน ให้ยืนชิดด้านใดด้านหนึ่ง (ดูคนอื่นๆ) เพื่อเว้นทางให้คนที่เร่งรีบ
19) ตู้ขายตั๋วรถไฟอัตโนมัติจะมีปุ่มภาษาอังกฤษให้เลือกเสมอ
20) เวลาหลงทาง ถ้าเป็นไปได้ ให้ถามทางกับนักท่องเที่ยวด้วยกันเองดีกว่าถามจากชาวญี่ปุ่น