[Review ระดับ Full HD] ซีรีส์ 11.22.63 เมื่อเราพยายามจะเปลี่ยนแปลงอดีต อดีตจะต้านเรากลับ



          สวัสดีค่า ถ้าพูดถึงซีรีส์ฝั่งอเมริกาและอังกฤษ ณ เวลานี้ที่มีคนพูดถึงกันอย่างล้นหลามก็คงจะไม่พ้น Game of Thrones ซีซั่นใหม่กับตัวอย่างใหม่ล่าสุดของ Prison Break ทั้งสองเรื่องเราเองก็เป็นแฟนคลับมาเนิ่นนาน ติดหนึบทั้งคู่ ดูยันสว่าง ดูทีเดียวซีซั่นรวดก็มี เรียกว่าไม่เป็นอันทำอะไร ให้ระดับความสนุกไปเลยร้อยเต็ม แต่วันนี้จะมา รีวิว series เรื่องนี้ค่ะ 11.22.63
          สำหรับซีรีส์ที่เราอยากจะพูดถึงคือเรื่อง 11.22.63 ทางช่อง HULU ตอนนี้ก็จบไปแล้ว เป็นซีรีส์ที่ทรงอิทธิพลต่ออารมณ์และความรู้สึกของเรามากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซีรีส์ในดวงใจทั้งหลายยังทำให้เราเป็นบ้าเป็นหลังไม่ได้ขนาดนี้ ซีรีส์เรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์สำหรับเรามากค่ะ ทั้งในแง่ของการดูซีรีส์ การเข้าใจประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้และการมองเห็นคุณค่าของปัจจุบัน

   

ถ้าใครยังไม่ได้ดู แนะนำเลยค่ะเรื่องนี้ ซีรีส์ดี มีอะไรมากกว่าแค่ท่องเวลากลับไปในอดีต !!


          11.22.63 เป็นมินิซีรีส์อเมริกาที่ออกมาเมื่อต้นปี มีทั้งหมด 8 ตอน สร้างจากหนังสือของ Steph King เรื่องราวเกี่ยวกับ Jake Epping (James Franco) ครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียน วันดีคืนดี Al (Chris Cooper) เจ้าของร้านอาหารคนสนิทก็บอกให้เขาท่องเวลากลับไปทาง Rabbit Hole เพื่อยับยั้งการลอบสังหารประธานาธิบดี John F. Kennedy (โอ้โห มิชชั่นยิ่งใหญ่มาก)

          Rabbit Hole ที่ว่านี้คือการเดินเข้าไปในตู้แคบๆ ตู้หนึ่ง เดินไปเรื่อยๆ จะไปโผล่อีกที่หนึ่งคือสถานที่ที่จากมาแต่เป็นคนละปี นั่นคือปี 1960 เงื่อนไขของ Rabbit Hole คือ ไม่ว่าจะเข้าไปนานเท่าไหร่ ทำอะไรไว้บ้าง เมื่อกลับออกมา ทุกอย่างจะรีเซ็ตใหม่ทั้งหมดและเวลาในโลกปี 2016 จะผ่านไปเพียงสองนาที ทีแรก Jake ก็ไม่ยอมหรอก ในขณะที่ Al เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้ให้แล้วทั้งเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งผลการแข่งขันต่างๆ ที่ทำเป็นเงินได้มหาศาล (ตอนดูก็รู้สึกว่าอยากย้อนกลับไปในอดีต ไปจดเลขลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งมาเหลือเกิน)
          
          ชื่อเรื่องก็มาจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์โลกจารึก การลอบสังหาร John F. Kennedy ที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 1963 นั่นเอง และนั่นก็หมายความว่า Jake ต้องอยู่ที่นั่นนาน 3 ปี เพื่อรอวันที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น
          เป็นใครใครจะยอมมั่งอะ กลับไปอดีตเมื่อ 56 ปีที่แล้ว ไปอยู่ในยุคที่ไม่คุ้น มาตัวคนเดียวเปล่าๆ เปลี่ยวๆ แถมยังแปลกแยกจากคนอื่นอีก ที่สำคัญ ภารกิจนี่ก็เวรี่จะบ้าระห่ำเลย แต่ Jake นางยอมค่ะ เพราะถ้าไม่ยอม เรื่องมันก็ไม่เดิน เอ้ย ไม่ใช่ 5555 เพราะอะไร ไปดูในซีรีส์ดีกว่า



          ด้วยความที่มีทั้งหมด 8 ตอน การเดินเรื่องค่อนข้างกระชับ ทีแรกก็รู้สึกว่าเออดีเนอะ ไม่ยืดเยื้อหลายซีซั่น แต่พอถึงประมาณ EP. 5 ก็ไม่อยากให้จบเลย คือซีรีส์นี้ไม่ใช่แค่เอามันส์อย่างเดียว ซีรีส์ให้ข้อคิดอะไรกับเรามากๆ ยิ่งตอนจบรู้สึกเลยว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งที่มนุษย์สามารถย้อนอดีตกลับไปได้ คำว่าปัจจุบันและอนาคตก็คงไม่จำเป็น


         + สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในซีรีส์ +

         
          เราเรียนรู้วัฒนธรรมและสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนในยุค 60 ได้ดีเลย ในตอนนั้นอเมริกายังแบ่งห้องน้ำและก๊อกน้ำดื่มสำหรับคนผิวสีและคนผิวขาวอยู่ มีรถบัสโดยสารสำหรับคนผิวสีและคนผิวขาวแยกกันโดยเฉพาะ คนผิวขาวปฏิเสธการขายของให้คนผิวสี คนในสมัยนั้นอ่านหนังสือกันเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มคนเนิร์ด แต่คนทั่วๆ ไปก็อ่าน อารมณ์ประมาณสมัยนี้ใครๆ ก็เล่นโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คแม้แต่คุณพ่อคุณแม่อากงอาม่ายังมีไลน์เลย


      
รูปนี้คือพาร์ทเล็กๆ พาร์ทนึงในซีรีส์ค่ะ ที่เอามาให้ดูคือ เห็นนั่นไหมมมม หนังสือการ์ตูนในยุคหกศูนนนนนย์ เลอค่ามาก พร็อพในเรื่องนี่ไม่ธรรมดาค่ะ ขนาดไม่ใช่แฟนการ์ตูนมาร์เวลหรือดีซี แต่เห็นหนังสือการ์ตูนแล้วยังกรี๊ดกร๊าดเลย ชอบของเก่าๆ เป็นการส่วนตัว 5555



          เสื้อผ้าในยุคนั้น ชุดผู้หญิงก็สวยเนี้ยบและก็ใส่ถุงมือ ผู้ชายแต่งตัวสุภาพบุรุษมากๆ ส่วนใหญ่จะใส่หมวกกันเป็นปกติ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ รถค่ะ อันนี้ตื่นตาตื่นใจตลอดเรื่อง รถสวยๆ ทั้งนั้นไม่รู้ไปหามาจากไหน 55555 สีสันปรี๊ดปร๊าดมาก รูปทรงก็เก๋ เอาเป็นว่าใครชอบอะไรย้อนยุค ช่วงแรกๆ ของซีรีส์ก็จะตื่นเต้นกับฉาก ชุด รถ ตึกรามบ้านช่องในสมัยนั้นค่ะ แต่พอดูๆ ไปทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงส่วนประกอบ ในขณะที่บทกับการแสดงของตัวละครทุกตัวนั่นเองที่ดึงคนดูได้อยู่หมัด

          นอกจากบทที่มาจากหนังสือของ Stephen King แล้ว เราเองไม่ได้อ่านเลยไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องราวของซีรีส์กับหนังสือต่างกันแค่ไหน มีตรงไหนเสริมเข้ามาหรือลดทอนออกไปบ้าง เลยตอบไม่ได้ทั้งหมดว่าที่เนื้อเรื่องมันสนุกขนาดนี้เป็นเพราะเพิ่มบทหรือเพราะในหนังสือนั้นดีมากๆ อยู่แล้ว แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่โดดเด่นของ 11.22.63 อีกอย่างก็คือตัวละครค่ะ

          ตัวละครทุกตัวเป็นตัวละครแบบ Round Character คือมีมิติ ไม่ใช่ทื่อๆ ตรงๆ ร้ายก็ร้ายมาก ดีก็ดีอะไรปานนั้น เราสามารถศึกษาพฤติกรรมตัวละครจากซีรีส์เรื่องนี้ได้ดีเลยค่ะ วิเคราะห์ออกมาทำความเข้าใจมนุษย์ได้เลย ตรงนี้น่าจะ base on หนังสืออยู่มาก ส่วนตัวก็ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มไหนของ Stephen King แต่เชื่อในการสร้างตัวละครของเขามากนะว่าคนในเรื่องนั้นๆ มีอยู่จริง จับต้องได้จริง

+ นักแสดง +


          พูดถึงพระเอกก่อนเลย ในเมื่อ Jake Epping คือคนที่จะมายับยั้งการลอบสังหารประธานาธิบดี JFK เรื่องราวดำเนินไปโดยมีเขาเป็นผู้ดำเนินเรื่อง ตัวละครนี้จึงต้องแบกทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบเอาไว้ และ James Franco ก็ทำออกมาได้ดีทั้งฉากเครียดๆ และฉากแบบสวีทๆ ทำได้ดีและเป็นธรรมชาติมาก ชอบที่สุดคือตอนที่นางยิ้มค่ะ ยิ้มละลายโลกมาก (เคลิ้มมมม)
          จริงๆ ในเรื่องพ่อคุณเค้ายิ้มเยอะอยู่นะคะ (ยิ้มทีก็รอยตีนกาขึ้น แต่น่ารักค่ะ มองข้ามไป 555555) แต่หารูปไม่ค่อยจะมีเลย เอารูปถ่ายแบบไปละกัน (ช่วงพรีเซนต์ผู้ชายสูงวัย 55555)



          คนต่อมาก็พระนางที่คู่กัน Sarah Gadon เล่นเป็น Sadie Dunhill



          เอาความสวยก่อน สวยมากกกก สวยเหลือเกิน ยิ้มหวานงามหยดย้อย การแสดงของเธอก็ดี อาจจะดูเหมือนเป็นนางเอกที่มาเติมเต็มส่วนเนื้อเรื่องรักๆ ของพระเอก แต่จริงๆ ถ้าตัดเธอออกไปเรื่องนี้จะขาดสีสันไปเยอะเลย เธอให้ความชุ่มฉ่ำกับพระเอกและคนดูมาก 5555 แถมยังเป็นพลังและกำลังใจที่ดีให้พระเอกด้วย เธอเอาอยู่ทุกฉากเช่นกัน แต่งตัวเป็นผู้หญิงยุค 60 ขึ้นมากๆ พาร์ทสวีทของพระนางไม่น่าเบื่อหรือเลี่ยนอะไร เราไม่ค่อยชอบซีรีส์ที่เน้นหนักเรื่องความรักมาก เรื่องนี้ทุกพาร์ทลงตัวค่ะ กระจายบทให้นักแสดงได้โดดเด่นเท่าๆ กันอย่างดีด้วย


      
          George Mackay เล่นเป็น Bill Turcotte มือขวาของพระเอก คนนี้ขาดไม่ได้เลยนะ มีบทบาทมาก ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น คือรู้สึกว่าหล่อ 5555 มีสเน่ห์มากๆ ด้วย (มารู้ทีหลังว่าเป็นคนอังกฤษ โอยยย British Boy นี่สะดุดตาทุกคนจริงๆ) ดูเป็นเด็กน้อยที่ใช้แต่อารมณ์แต่ก็อยู่ภายใต้คำสั่งของ Jake เสมอมา ออกแนวจิ๊กโก๋ฝึกหัดแถวบ้านอะค่ะ 5555

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

          ที่ขาดไม่ได้ คนที่ทำให้เราเป็นบ้าเป็นหลังอยู่เป็นอาทิตย์ ตอนนี้ยังหยุดนึกถึงเค้าไม่ได้คือคนนี้เลย - Lee Harvey Oswald บุคคลในประวัติศาสตร์โลกจารึก หากใครเคยอ่านเรื่องการลอบสังหาร JFK อันโด่งดังจะเคยได้ยินชื่อเค้ามาบ้าง และหากว่าใครเคยดูคลิปวินาทีสังหาร ก็จะทราบกันดีว่ากระสุนที่ปลิดชีพ JFK ไม่ได้มีนัดเดียว รวมทั้งหมดแล้วหลายนัด แต่ตำรวจสรุปคดีภายในวันเดียวกันนั้นเลยว่า Lee Harvey Oswald คือมือปืนที่สังหารประธานาธิบดีและกระทำโดยคนเดียว

          นั่นแหละค่ะ ที่ทำให้ต่อมาเราติดใจในคดีมาก มากจนกว่าจะดึงตัวเองกลับมาได้ก็ใช้เวลานาน ทั้งที่คดี JFK เป็นคดีที่เราไม่เคยคิดอยากรู้ความจริง รู้สึกว่าคำตอบไม่มีวันเปิดเผย เรื่องนี้เอี่ยวการเมืองเต็มๆ แต่ที่เราติดใจคือติดใจในกระบวนการซัดทอดที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วว่าให้ Lee Harvey Oswald รับผิด และการสรุปคดีอย่างรวดเร็วทั้งที่มีคนน่าสงสัยอีกเพียบ ไม่ชันสูตรศพ JFK อย่างถูกขั้นตอนด้วย เอาเป็นว่า เรื่องนี้ริวจะไม่ยุ่ง เพราะว่ากันว่าอีกสิบปีเอกสารลับจะเปิดเผย ขอให้เปิดเผยแล้วเป็นข้อเท็จจริงด้วยเถอะ เราว่าเราอยู่ถึง 55555
          
          นอกเรื่องไปตามอินเนอร์ กลับเข้ามาค่ะ มาว่ากันที่นักแสดง คนนี้ Top Form



          Daniel Webber แสดงเป็น Lee Harvey Oswald ในเมื่อเรื่องนี้กล่างถึงคนในประวัติศาสตร์ ก็ย่อมต้องหาคนแสดงที่เหมือนกับคนในประวัติศาสตร์ บอกเลยว่า Daniel Webber คือ Lee Harvey Oswald ที่ยอดเยี่ยมมากๆ ถึงแม้ตัวเอกจะเป็น James Franco แต่ทุกครั้งที่ Daniel Webber ออกมา แต่ละฉากสำหรับเราคือตื่นเต้นเสมอ เพราะการแสดง สำเนียง ท่าทางและหน้าตาที่เหมือนกับตัวจริงทำให้เหมือนกับว่าเรากำลังดูเค้าอยู่จริงๆ



          ในส่วนของสำเนียงนั้น Lee Harvey Oswald ถ้าใครเคยดูเค้าพูด (ในยูทูป) จะเห็นว่าเค้ามีลักษณะการเคลื่อนไหวที่เฉพาะมากๆ มีสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ เราฟังแล้วเหมือนสำเนียงเทกซัสผสมรัสเซีย เพราะฉะนั้น คนแสดงก็ต้องพูดติดสำเนียงนั่นแหละ และ Daniel Webber ก็ทำออกมาได้ดี ดีมากๆ การออกเสียง การลงจังหวะ ใบหน้าขณะพูด คือเอาไปเลยร้อยดาว
          หลายๆ ฉากของ Lee Harvey Oswald ในซีรีส์จะต่างจากหนังเรื่อง JFK (1991) คือด้วยความที่พระเอกต้องเป็น stalker จำเป็น ก็เลยต้องไปอยู่ใกล้ๆ ไปแอบดักฟัง ทำให้เราจะเห็นการตีความของ Stephen King และผู้กำกับในแง่มุมที่คนอย่างเราไม่มีวันได้เห็น คือเป็นมุมชีวิตประจำวัน อยู่ในบ้าน เล่นกับลูก อยู่กับภรรยาอะไรแบบนี้ ซึ่งในมุมนี้เราว่าทำออกมาได้ดีมากเลย ดูเป็น Oswald ที่ไม่น่าจะมีใครได้เห็นเท่าไหร่ และ Oswald คนนี้ก็เดินเหินได้เหมือน Oswald ตัวจริง การเชิดหน้า การอกผาย คือแบบ โอย นักแสดงคนนี้กินขาดมาก (Oswald ชอบอ่านหนังสือด้วย อันนี้ไม่รู้เสริมเข้ามารึเปล่า)

- ต่อที่คห.1
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่