ด่วน! ศาลอนุมัติหมายจับ 'ธัมมชโย' แล้ว

กระทู้คำถาม
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/698626

วีระศักดิ์ พงศ์อักษร ‏@MrNaling  
ทนาย'ธัมมชโย' บอกรอแจ้งข่าวศาลออกหมายจับให้เจ้าอาวาสรู้ก่อน ยังไม่ตอบมอบตัวหรือไม่ ยันยังอาพาธ #nationtv
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
สมเด็จพระสังฆราช ท่านอาพาธก็มารักษาพระอาการอยู่รพ จุฬา
สมเด็จวัดปากน้ำ ท่านก็มารักษาที่ศิริราช
หลวงพ่อคูณ หลวงพ่อปัญญา หลวงตามหาบัว หรือพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหลาย เวลาท่านอาพาธท่านรีบมารักษาตัวในรพ.
รีบรักษาตัวให้หาย เพื่อที่จะได้ไปปฏิบัติศาสนกิจเพื่อปวงประชา
ไม่มีรูปไหนที่ป่วยแล้วหมอให้เก็บตัวนอนนิ่งๆแต่สามารถนั่งรถตู้ไปนู่นนี่นั่นหรอกนะ
ฤา ในสำนักจะมีหมอ มียาที่ดีกว่าจุฬา รามา ศิริราช ถึงรักษากันเองได้
บอกหน่อยหมอจะได้ส่งคนไข้ไปหามั่ง
ความคิดเห็นที่ 38
ถึงแม้ศาลจะออกหมายจับแล้วก็ตาม
แต่สิ่งที่ประชาชนได้ฟังนั้น
ยังเป็นความจริงที่ไม่ครบทุกด้าน
เพราะความจริงที่ต้องฟังมีอยู่ 6 เรื่อง

1) ความจริงจากผู้ถูกกล่าวหา
2) ความจริงจากผู้ร้องทุกข์
3) ความจริงจากผู้เสียหาย
4) ความจริงจากคณะแพทย์
5) ความจริงเรื่องข้อกฎหมายฟอกเงินและรับของโจร
6) ความจริงเรื่องระเบียบปฏิบัติในการใช้กฎหมายกับพระสงฆ์
ที่จะเป็นบรรทัดฐานต่อสังฆมณฑลและชาวพุทธตลอดไปในภายหน้า

จริงอยู่ที่หลายเดือนมานี้
ทุกคนได้พยายามให้ข้อมูลต่างๆ แก่สังคม
ไปตามความเข้าใจของตัวเองอยู่วันละหลายชั่วโมง

แต่สังคมก็อาจยังได้รับทราบข้อมูลไม่ครบทุกด้าน
จึงยังไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ
ให้เกิดภาพรวมพอที่จะชั่งน้ำหนักได้ว่า
คดีนี้มีมูลฐานความผิดเพียงพอจะตั้งข้อหาได้หรือไม่
และควรจะเชื่อมุมมองทางกฎหมายของใครดี
ระหว่างวัด สหกรณ์ ดีเอสไอ ผู้ร้องทุกข์

1. ในแง่ผู้มีอำนาจตามกฎหมาย
การขอออกหมายจับเป็นสิทธิของดีเอสไอ
การอนุมัติก็เป็นดุลพินิจของศาล
การจะสั่งฟ้องไม่สั่งฟ้องก็เป็นอำนาจของอัยการ
เรื่องนี้ประชาชนทราบดีและรัฐก็ให้อำนาจเต็มที่

2. ในแง่ของคณะแพทย์
การวินิจฉัยระดับความเจ็บป่วยเป็นสิทธิขาดของคณะแพทย์
แต่คำวินิจฉัยของแพทย์มีน้ำหนักในทางกฎหมายหรือไม่
เพราะอะไรถึงมีผล และเพราะอะไรถึงไม่มีผล
ซึ่งเรื่องนี้ประชาชนก็ยังไม่ได้รับความกระจ่าง

3. ในแง่ของสหกรณ์
ต้องแบ่งผู้เสียหายเป็น 2 ส่วน คือ
1) สหกรณ์ 2)  สมาชิกสหกรณ์

... กรณีแรก ถ้าสหกรณ์เป็นผู้เสียหาย
คู่กรณีตรงนี้จะต้องเป็นสหกรณ์กับคุณศุภชัย
เพราะคุณศุภชัยเป็นผู้นำเงินออกมาจากสหกรณ์

... กรณีที่สอง ถ้าสมาชิกเป็นผู้เสียหาย
คู่กรณีตรงนี้จะต้องเป็นสมาชิกสหกรณ์กับสหกรณ์
เพราะสหกรณ์เป็นผู้ดูแลเงินของสมาชิกสหกรณ์

จากกรณีทั้งสองกรณีนี้ ทำให้เกิดความสับสนขึ้นว่า

1. เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ซึ่งอยู่ในฐานะของผู้รับเงินบริจาคจากคุณศุภชัย
กลายมาเป็นคู่กรณีกับสมาชิกสหกรณ์บางกลุ่มได้อย่างไร
เพราะท่านไม่ใช่ผู้ที่ไปนำเงินของสมาชิกกลุ่มนั้น
ออกมาจากสหกรณ์ ท่านจึงไม่ใช่ผู้ที่ทำให้
สมาชิกสหกรณ์กลุ่มนั้นเสียหาย

2. ตามหลักแล้ว เมื่อสมาชิกสหกรณ์ไม่ได้นำเงิน
มาฝากไว้กับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายโดยตรง
แต่ได้นำเงินไปฝากไว้กับสหกรณ์โดยตรง
แล้วท่านจะกลายเป็นผู้สร้างความเสียหายให้สมาชิกได้อย่างไร
ที่ถูกต้องสมาชิกกลุ่มนั้นควรจะไปร้องทุกข์กับสหกรณ์มิใช่หรือ
แต่ทำไมถึงมากล่าวโทษเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

4. ในแง่การตั้งข้อหาฟอกเงินและรับของโจร
การตั้งข้อหาฟอกเงิน จะทำได้ก็ต่อเมื่อ
ทำผิดครบ 3 ขั้นตอน คือ
1) เงินนั้นได้มาอย่างผิดกฎหมาย
2) นำมาทำธุรกรรมให้ถูกต้องตามกฎหมาย กลายเป็นเงินสะอาด
3) เงินนั้นกลับคืนสู่มือเจ้าของ กลายเป็นเงินถูกกฎหมาย  

แต่ในกรณีของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
กลับไม่เข้าข่ายแม้แต่น้อย เพราะว่า
1) ท่านไม่ได้ครอบครองเงินที่ผิดกฎหมาย
2) ท่านไม่เคยนำเงินส่วนตัวไปฝากกับสหกรณ์
3) ท่านกับสหกรณ์ก็ไม่เคยทำธุรกรรมร่วมกัน
4) สหกรณ์ก็ยืนยันไม่พบหลักฐานว่าท่านทำธุรกรรมกับสหกรณ์
5) เงินที่คุณศุภชัยบริจาคมาก็เป็นเช็คทั้งหมด สามารถตรวจสอบ
เส้นทางการเงินได้ชัดเจน
6) การรับเงินบริจาคของท่าน ก็รับมาอย่างเปิดเผย
และนำไปใช้สร้างศาสนสถานตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค
ซึ่งเป็นการสร้างสาธารณประโยชน์ ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัว

ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนไม่น้อย
เพราะไม่ว่าพิจารณาอย่างไร ก็ไม่เข้าข่ายการฟอกเงินทั้ง 3 ขั้นตอน
แต่ทำไมดีเอสไอถึงตั้งข้อหาว่าฟอกเงินและรับของโจร
กับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เป็นการตั้งข้อหาที่รุนแรงกว่าเหตุหรือไม่

5. ในแง่บรรทัดฐานการใช้กฎหมายกับพระสงฆ์
การออกหมายจับพระสงฆ์ที่ไม่ใช่คู่กรณีกับผู้เสียหายโดยตรงเช่นนี้

1) จะกลายเป็นบรรทัดฐานในการใช้กฎหมาย
โดยไม่มีมูลฐานความผิดกับพระสงฆ์ทั้งสังฆมณฑลได้หรือไม่

2) จะกลายเป็นการเปิดช่องกฎหมายให้ผู้ไม่หวังดี
สามารถกลั่นแกล้งพระสงฆ์ทั้งสังฆมณฑลได้โดยง่ายหรือไม่

3) จะกลายเป็นการเปิดช่องเช่นนี้จะกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาหรือไม่

4) จะกระทบกระเทือนต่อการรักษาพระธรรมวินัยของสงฆ์หรือไม่

5) จะกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาหรือไม่

5) ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา อันเป็นผลจากการออกหมายจับโดยไม่ตรงกับคู่กรณีเช่นนี้ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอนาคต

คำถามต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ประชาชนจำนวนไม่น้อย
กำลังสับสนและสงสัยว่าอะไรคือบรรทัดฐานที่ถูกต้อง
ในการใช้กฎหมายกับพระสงฆ์ทั้งสังฆมณฑล
และประชาชนชาวพุทธทั้งประเทศต่อไปในอนาคต

-------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 18
ชิแตงโม โป้งคุกกกกกกก!!!

เอาบุญมาฝากครัช อมยิ้ม02

ความคิดเห็นที่ 35
เอาจากบรรยากาศคนรอบตัว-เพื่อนฝูงที่พูดคุยกัน
ต้องยอมรับว่าตอนนี้ "ภาพลักษณ์" ของ ธัมมชโย ดูไม่ดีเลยจริงๆครับ

ผมตัดพวก "ติ่ง-สาวก" กับพวก "Anti-ต่อต้าน" วัดนี้ออกไป
เพราะ 2 กลุ่มสุดโต่งพวกนี้ ไม่ฟังใครอยู่แล้ว
เอาเฉพาะคนที่กลางๆ ฟังเหตุฟังผล พอคุยกันได้

แทบทุกคนไม่เชื่อว่า ธัมมชโย ป่วยจริง ครับ
ซึ่งมาจากรูปภาพ (หน้ารูปนึง-ขารูปนึง) ทนายให้ข่าวแบบลับๆล่อๆ-แบ่งรับแบ่งสู้ และ clip หลายต่อหลาย clip ที่แพร่ระบาดใน net
หรือการไม่ยอมไปโรงพยาบาล แพทย์ที่ออกมารับรองก็เป็นแพทย์คลีนิค-ลูกศิษย์ของวัด ฯลฯ
ซึ่งทำให้กระแสสังคม เทไปสนับสนุน DSI
Page Social ดังๆก็เอาหลวงพ่อ+วัด มาล้อเล่นกันสนุกสนาน
สถานการณ์แบบนี้ มันไม่เป็นผลดีเลย

ผมว่า ลูกศิษย์ท่าน ต้องทบทวนใหม่แล้วละครับ
คือถ้า หลวงพ่อธัมมชโย ท่านป่วยจริง-ขาบวมจริง-เดินทางไม่ได้จริง
ทีมประชาสัมพันธ์ของวัดน่าจะทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้สาธารณะทราบข้อเท็จจริง
เช่น
เชิญตัวแทนสื่อสัก 10-20 ฉบับ (เน้นไปที่สื่อที่ Anti เลย) ให้เข้าพบหลวงพ่อถึงเตียงและให้เห็นสภาพขาด้วยตัวเอง
โดยทีมสื่อที่เข้าไปนั้น ให้สื่อฯเป็นผู้จัดหาแพทย์ระดับอาจารย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้เอง (เดี๋ยวจะโดนหาว่าหมอเป็นลูกศิษย์วัดอีก) ไปช่วยตรวจดู-ซักถามอาการด้วย
ซึ่งแน่นอนว่า สื่อทุกฉบับก็จะต้องลงไปตามสิ่งที่เห็นและคำให้สัมภาษณ์ของอาจารย์หมอ ที่มาตรวจดูอาการหลวงพ่อ
ซึ่งผมว่า ไม่น่าจะมีอะไรเสียหายนะ เหมือนตอนหลวงพ่อคูณอาพาธ ที่สื่อก็ตามไปเกาะติดทำข่าวกันเป็นเรื่องปกติ
เพราะการไปทำข่าวหลวงพ่อคูณป่วย หรือมีภาพถ่ายท่านขณะอาพาธ (ถ่ายโดยสื่อฯ) ก็ไม่ได้ทำให้หลวงพ่อคูณดูเสื่อมเสียแต่อย่างใด
กลับกันทำให้ประชาชน ยิ่งรักและเห็นใจท่านมากขึ้นไปอีก

เพียงเท่านี้ กระแสสังคมก็จะหันกลับมาต่อต้าน DSI ที่ดูเหมือนจะรังแกพระที่อาพาธ โดยทางวัดไม่ต้องทำอะไร
ไม่ต้องไปฟ้อง DSI, ไม่ต้องปลุกคนมาล้อมวัด-ก่อม้อบ-ประท้วง, ไม่ต้องระดมคนไปทำสงคราม Cyber ฯลฯ
ให้กระแสสังคมตีกลับไปเล่นงานฝั่งเค้าเอง ให้ความจริงทำหน้าที่ของมัน ไม่ต้องจัดตั้งหรือปรุงแต่งอะไร

ไม่เข้าใจเลย
ว่า เรื่องง่ายๆแบบนี้ ทำไมลูกศิษย์ของวัด ถึงคิดไม่ออกกัน ?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่