พระเทวทัต เกิดในตระกูลกษัตริย์ ก็หมายความว่าเป็นผู้ที่เคยมีบุญหนักศักย์ใหญ่ มาก่อน ดังนั้นกรรมชั่วที่ท่านทำอย่างหนักในขณะมีชีวิตอยู่ย่อมส่งผลช้ากับท่าน
ดังคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทำนองว่า
บางคนทำกรรมชั่วเพียงเล็กน้อย แต่วิบากกรรมนั้นส่งผลอาย่างรวดเร็วถึงแก่ชีวิต
บางคนทำกรรมชั่วเพียงเล็กน้อย วิบากกรรมไม่ส่งผลเลยในชีวิตนั้น
บางคนทำกรรมชั่วอย่างหนักหนา วิบากกรรมส่งผลช้าในชีวิตนั้น.
บางคนทำกรรมช่วอย่างหนักหนา วิบากกรรมส่งผลถึงแก่ชีวิตอย่างเฉียบพลัน
มาดู กรรมและวิบากกรรมที่ส่งผลต่อพระเทวทัต ที่ล่าช้า จนได้ใจให้ทำกรรมหนัก เป็นครั้งที่สอง ดังนี้.
พระเทวทัต ได้บวชเป็นพระภิกษุ ก็อายุประมาณ 35 ปี หลังจากนั้นก็ปฏิบัติกรรมฐานได้อภิญญา 5 ก็หมายความว่าท่านมีบุญหนักศักย์ใหญ่มาก
แต่ด้วยความอิจฉา ต่อพระอรหันต์ต่างๆ มีพระโมคลัคลา สารีบุตร เป็นต้น ที่มาชาวบ้านชาวเมือง ต่างเลื่อมใสศรัทธา จึงได้ไปแสดงฤทธิ์ ให้เจ้าชายอชาติศรัตรู ที่เป็นบุตรของพระเจ้าพิมพิสาร ที่เป็นเด็กวัย 20 ให้เกิดศรัทธาต่อพระเทวทัต ก็ได้ลาภสักระจากเจ้าชายและบริวารของเจ้าชาย แต่ทำให้ฤทธิ์อภิญญาที่ได้นั้นเสื่อมไปทันทีหลังจากนั้น และด้วยลาภสักระเหล่านั้น ทำให้พระภิกษุต่างมาเป็นบริวารหรือมารวมกลุ่มกับท่านเทวทัตเป็นสิบรูป เช่นกัน คือเป็นภิกษุสงฆ์ กลุ่มพระเทวทัตนั้นเอง
เมื่อมีลาภสักระจากเจ้าชาย และมีกลุ่มภิกษุมาขึ้นกับตนมากขึ้น ใจก็เกิดอึกเหิมยากเป็นพระพุทธเจ้าแทน โดยกำจัดพระพุทธเจ้าไปเสีย ก็วางแผนยุยงให้เจ้าชาย ฆ่าบิดาตนเอง(พระเจ้าพิมพิสาร) แล้วกำจัดพระพุทธเจ้าเสีย เจ้าชายจะได้เป็นกษัตริย์ แล้วตั้งตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าแทน ดำเนินอยู่การหลายปี จนเจ้าชายฆ่าบิดาได้สำเร็จ
ยกตนเป็นกษัตริย์กรุงราชคฤห์ และช่วยเหลือทำกำลังคน และอุปกรณ์ต่างๆ ให้พระเทวทัต ปรุงพระชนชีพของพระพุทธเจ้า ทั้งให้คนไปฆ่าหลายครั้งก็ไม่สำเร็จด้วยอุบายต่างๆ ทั้งวางอุบายเอาช้างนาราคีรี ไปฆ่าพระพุทธเจ้าก็ไม่สำเร็จ ใช้เวลาเป็นปีๆ ก็ไม่สำเร็จ
จนพระเทวทัต ต้องลงมือเอง แอบบนหน้าฝา ผลักก้อนหินใหญ่ เพื่อหวังฆ่าพระพุทธเจ้า ขณะที่พระองค์เดินผ่าน แต่ไม่ตกถูกพระวรกายของพระพุทธเจ้า เพียงแต่สะเก็ดหิน ไปถูกพระบาทของพระพุทธเจ้า จนอ้อเลือด กรรมที่พระเทวทัตได้กระทำสำเร็จเพียงแค่นี้ ก็ถือว่าได้กระทำอนันตรกรรม หนักคือไม่สามารถบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ ไม่ว่าจะสร้างบารมีอย่างใดๆ ก็ตาม และเมื่อสิ้นชีวิตจะลงมหานรกในทันที แต่เมื่อพระเทวทัตยังมีชีวิตอยู่ก็ยังดำรงไปตามปกติ
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสร้างและวางรากฐานพุทธศาสนาในกรุงราชคฤห์(มคต) เป็นปึกแผ่นแล้ว เป็นเวลาหลายปี พระพุทธเจ้าก็จะทรงย้ายไปยังเมือง โกศล(สาวถี) ก็พอดีกับพระเจ้าอชาติศรัทตรู มีความลุ่มร้อนใจมากตั้งแต่ฆ่าพระบิดาตนเอง จนหมอชีวกะ ได้แนะนำให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
เมื่อพระเจ้าอชาติศรัทตรู ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จึงแสดงตนเป็นพุทธมากะ แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมใดๆ ได้เพราะได้ทำอนันตรกรรมฆ่าบิดาของตนเอง และเมื่อสิ้นชีวิตก็จะลงมหานรกทันที แต่เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ยังเป็นกษัตริย์ ไปตามกำหนดแห่งบุญปางก่อน
ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าอชาติศรัทตรู ก็ไม่สนับสนุนพระเทวทัตอีกเลย ทำให้ขาดลาภสักระหมดสิ้น กลุ่มพระเทวทัตก็อยู่อย่างลำบากอยู่ในกรุงราชคฤห์ เป็นเวลานานหลายปี
หลายปีต่อมา พระพุทธเจ้าจึงตั้งพุทธศาสนามั่นคงในกรุงโกศล(สาวัตถี) แต่กลุ่มเพระเทวทัตอยู่ในกรุงราชคฤห์ ลำบากแล่นแค้น พระเทวทัต ก็อายุประมาณ 60 ปีไปแล้ว จึงได้ออกอุบายให้กลุ่มภิกษุตนถือศีลให้ยิ่งกว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ คือไม่กินเนื้อสัตว์ นอนโคนต้นไม้ ไม่อยู่กุฏิ เพิงพัก อยู่เป็นปีๆ ดูเป็นผู้เคร่งครัดต่อศีลมาก จนมีพระบวชใหม่ และชาวบ้านต่างมานับถือบูชามากขึ้น
จนมีพระภิกษุในสำนักตนหลายร้อยรูป และมีกลุ่มประชาชนที่นิยมความเคร่ง มานับถือมากขึ้น จนพระเทวทัตเกิดลำพองในตนเอง คิดตั้งตนเป็นใหญ่จะแยกภิกษุเป็นของตนเป็นอนาจักรของตนขึ้นมา ออกอุบายที่จะขอให้พระพุทธเจ้าบัญญัติศีลเพิ่ม ในข้อ ไม่ทานเนื้อสัตว์ และอยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงยินยอมก็จะอ้างตนแยกออกมาอย่างชอบธรรมตามความคิดของพระเทวทัต
พระเทวทัตดินทางไปกรุงโกศลไปหาพระพุทธเจ้า เพื่อขอให้บัญญัติศีลเพิ่มตามต้องการ แต่พระพุทธเจ้าทรงไม่ยินยอมตาม พระเทวทัตจึงประกาศในที่ประชุมสงฆ์ นั้นว่าเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ทรงยินยอม ตนก็ขอแยกภิกษุสงฆ์ เป็นกลุ่มของตนในเมืองราชคฤห์จากพระพุทธเจ้า
เป็นอันว่า พระเทวทัตได้ทำอนันตรกรรมอีกข้อหนึ่งได้สำเร็จ คือแยกสงฆ์ออกไปเป็นส่วนของตนหรืออนาจักรตน จากที่ได้ทำอกุศลกรรมมาเรื่อยๆ และมาทำกรรมครั้งนี้เป็นทวีคูณ วิบากกรรมจึงเริ่มส่งผลเร็วและเฉียบขาดขึ้นตามลำดับ
เมื่อพระเทวทัตกลับไปยังกรุงราชคฤห์ จึงตั้งกลุ่มสงฆ์เป็นของตนเองเรียนแบบตามพระพุทธเจ้า และคิดว่าตนเองเคร่งกว่าเหนือกว่า มีภิกษุใหม่กลุ่มใหญ่รายล้อมทั้ง 500 กว่ารูป ข่าวจึงดังไปทั่ว ทำให้พระสารีบุตร และพระโมคลา ถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงให้พระสารีบุตรและพระโมคลา ไปตามพระภิกษุใหม่เหล่านั้นกลับมา
ด้วยความลำพองของพระเทวทัต คิดว่ากลุ่มตนเองเคร่งกว่า ต้องมีพระภิกษุใหม่หรือเก่าต้องการแยกตัวจากพระพุทธเจ้ามาขึ้นกับตนเองมากขึ้น เมื่อเห็นพระสารีบุตรและพระโมคลา มาที่สำนักตนคิดว่า พระโมคลา-สารีบุตร เปลี่ยนใจมาอยู่ร่วมสำนักตนด้วยเพราะเคร่งในศีลว่า ทั้งที่พระแก่ร่วมกับท่านทัดทานบอกแล้วว่าจะมีปัญหา แต่พระเทวทัตไม่ฟัง
ด้วยเห็นว่า พระสารีบุตร-โมคลา นั้นมีปัญญาและเก่ง จึงให้พระสารีบุตร-โมคลา เทศนา กลุ่มพระภิกษุสงฆ์ 500 กว่ารูป ที่ตนกำลังเทศนาอยู่แทน โดยคิดจะเรียนแบบพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงให้พระสารีบุตร-โมคลา เทศนาแทนในตอนท้ายอยู่บ่อยๆ
โดยตนเองก็จะไปนอนพักแบบพระพุทธเจ้าที่ทรงปฏิบัติ แล้วพระเทวทัตก็เผลอหลับไป ฝ่าย พระสารีบุตร-โมคลา ก็เทศนาให้พระทั้งหมดฟังจนแจ่มแจ้งในธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ได้นำพระภิกษุใหม่ ทั้ง 500 รูปนั้น จากไป เหลือพระแก่ 4-5 รูป ที่ยังสนับสนุนพระเทวทัตอยู่
เมื่อพระเทวทัตตื่นขึ้นมา ไม่เห็นกลุ่มพระภิกษุตนเอง จึงถามพระแก่ๆ นั้น พระนั้นก็บอกว่า พระสารีบุตร-โมคลา ได้นำพาพระเหล่านั้นไปหมดสิ้นแล้ว พระเทวทัตได้ฟังดังนั้น เกิดเครียดแค้นกดดันร่างกายจนเกิดความร้อนตีขึ้นจากภายในอกตน กระอักออกมาเป็นเลือด และเป็นไข้ปางตายอยู่เป็นเวลา 9 เดือน โดยมีพระ 4-5 รูป นั้นคอยดูแล
แล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัสพยากรณ์ว่า ต่อไปพระเทวทัตจะถูกธรณีสูบลงมหานรก ไม่สามารถเข้าเฝ้าพระองค์ได้ และคำพยากรณ์นี้กลายเป็นที่รู้ไปทั้งเมือง โกศล และราชคฤห์
ในเดือนที่ 9 พระเทวทัตเกิดมีสตินึกทบทวนตนเองได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงให้อภัยและเมตตาต่อท่าน แม้รู้ว่า ท่านจะฆ่าพระองค์หลายครั้ง ก็ไม่ทรงไล่ไม่ทรงขับออกไปเลย มีแต่ตนเองเท่านั้นที่กระทำต่อพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา หลายสิบปีมาแล้วจนอายุแก่แล้ว เมื่อสำนึกได้ก็ประสงค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขออภัยจากพระองค์
จึงให้พระ 4-5 รูป ที่ยังอยู่กับตน ทำแคร่ แล้วแบกตนจากกรุงราชคฤห์ ไปยังกรุงโกศล เพื่อไปกราบเท้าขออภัยต่อพระพุทธเจ้า เมื่อเข้าเขตกรุงสาวัตถี พระเทวทัตหยุดพักลงจากแคร่ เพื่อชำระร่างกายให้สะอาด เพียงลงจากแคร่ เท้าเหยียบพื้นดิน ก็โดนธรณีสูบไปทันที ลงสู่มหานรกลึกสุดหนักที่สุด และยาวนานหลายเท่าเพราะ ได้ทำอนัตรกรรม ซ้อนกันถึง 2 ครั้งในชีวิตเดียวนั้น
ส่วนพระเจ้าอชาติศัทตรู ภายหลังก็โดนบุตรชายฆ่าชิ่งเป็นกษัตริย์ และลงสู่นรก เช่นกัน
เช่นเดียวกับพระในยุคปัจจุบันที่สร้างอานาจักรตน ยกตนเทียมหรือมากกว่าพระพุทธเจ้า โดยอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า กล่าวอวดอุตริมนุษย์ธรรมที่ไม่มีในตน ขาดจากความเป็นพระภิกษุสงฆ์และยังหลอกลวง ทั้งมนุษย์และเทวดา คือเป็นมหาโจรทั้ง 3 โลก แม้จะทำกรรมที่ดูแล้วน้อยกว่าพระเทวทัต หรือพระเจ้าอชาตศัทตรู แต่ก็ได้กระทำอกุศลกรรมติดต่อกันอย่างยาวนาน วิบากกรรมได้ส่งผลแล้ว และจะตามติดไปจนตาย แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่เป็นธรรมดาที่ย่อมมีผู้หลงเชื่อ ซึ่งเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งหลาย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทำนองว่า
ผู้ที่อวดอุตริมนุษย์ธรรมที่ไม่มีอยู่ในตนแล้วหลอกลวง เป็นยอดมหาโจร ทั้งโลกมนุษย์และสวรรค์ เพราะแม้เทวดาผู้ยังเป็นปุถุชน ก็ยังหลงเชื่อผู้ทุศีลเหล่านี้ได้ และทำให้เสียโอกาสในธรรมที่ดีที่ถูกต้องไป.
แม้แต่พระเกษมที่เป็นข่าวดัง เมื่อได้กระทำกรรมหนักปาราชิกแล้วก็ยังมีผู้ที่หลงเชื่อและยึดติดค่อยบริการเป็นธรรมดา แต่ก็ถือว่ายังดีอยู่บ้างที่เกิดสำนึกได้ก่อนจะสิ้นชีวิตด้วยการหลอกลวงในผ้าเหลืองเสียก่อน ยังพอแก้ไขได้ พอที่จะหลีกเลี่ยงตกลงสู่มหานรกทันทีเมื่อสิ้นชีวิตที่ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้
โลกในยุคปัจจุบันชั่งเชื่อแต่ติดกับดัก ในการโฆษนาจริงหนอ และโลกปัจจุบันนี้ก็เป็นโลกแห่งการโฆษณาเสียด้วย ดังนั้นจึงหลงเชื่อยึดติดในการหลอกลวงโฆษณา กันมากมายเหลือเกิน วิถีของสัตว์ทั้งหลายเป็นธรรมชาติเข่นนี้เองหนอ.
เสนอบทความเรื่องกรรมและวิบากกรรมอย่างพระเทวทัตที่ไม่ปาราชิก เทียบกับพระทุศีลยังหลอกลวงว่าเป็นในพระปัจจุบัน.
ดังคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทำนองว่า
บางคนทำกรรมชั่วเพียงเล็กน้อย แต่วิบากกรรมนั้นส่งผลอาย่างรวดเร็วถึงแก่ชีวิต
บางคนทำกรรมชั่วเพียงเล็กน้อย วิบากกรรมไม่ส่งผลเลยในชีวิตนั้น
บางคนทำกรรมชั่วอย่างหนักหนา วิบากกรรมส่งผลช้าในชีวิตนั้น.
บางคนทำกรรมช่วอย่างหนักหนา วิบากกรรมส่งผลถึงแก่ชีวิตอย่างเฉียบพลัน
มาดู กรรมและวิบากกรรมที่ส่งผลต่อพระเทวทัต ที่ล่าช้า จนได้ใจให้ทำกรรมหนัก เป็นครั้งที่สอง ดังนี้.
พระเทวทัต ได้บวชเป็นพระภิกษุ ก็อายุประมาณ 35 ปี หลังจากนั้นก็ปฏิบัติกรรมฐานได้อภิญญา 5 ก็หมายความว่าท่านมีบุญหนักศักย์ใหญ่มาก
แต่ด้วยความอิจฉา ต่อพระอรหันต์ต่างๆ มีพระโมคลัคลา สารีบุตร เป็นต้น ที่มาชาวบ้านชาวเมือง ต่างเลื่อมใสศรัทธา จึงได้ไปแสดงฤทธิ์ ให้เจ้าชายอชาติศรัตรู ที่เป็นบุตรของพระเจ้าพิมพิสาร ที่เป็นเด็กวัย 20 ให้เกิดศรัทธาต่อพระเทวทัต ก็ได้ลาภสักระจากเจ้าชายและบริวารของเจ้าชาย แต่ทำให้ฤทธิ์อภิญญาที่ได้นั้นเสื่อมไปทันทีหลังจากนั้น และด้วยลาภสักระเหล่านั้น ทำให้พระภิกษุต่างมาเป็นบริวารหรือมารวมกลุ่มกับท่านเทวทัตเป็นสิบรูป เช่นกัน คือเป็นภิกษุสงฆ์ กลุ่มพระเทวทัตนั้นเอง
เมื่อมีลาภสักระจากเจ้าชาย และมีกลุ่มภิกษุมาขึ้นกับตนมากขึ้น ใจก็เกิดอึกเหิมยากเป็นพระพุทธเจ้าแทน โดยกำจัดพระพุทธเจ้าไปเสีย ก็วางแผนยุยงให้เจ้าชาย ฆ่าบิดาตนเอง(พระเจ้าพิมพิสาร) แล้วกำจัดพระพุทธเจ้าเสีย เจ้าชายจะได้เป็นกษัตริย์ แล้วตั้งตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าแทน ดำเนินอยู่การหลายปี จนเจ้าชายฆ่าบิดาได้สำเร็จ
ยกตนเป็นกษัตริย์กรุงราชคฤห์ และช่วยเหลือทำกำลังคน และอุปกรณ์ต่างๆ ให้พระเทวทัต ปรุงพระชนชีพของพระพุทธเจ้า ทั้งให้คนไปฆ่าหลายครั้งก็ไม่สำเร็จด้วยอุบายต่างๆ ทั้งวางอุบายเอาช้างนาราคีรี ไปฆ่าพระพุทธเจ้าก็ไม่สำเร็จ ใช้เวลาเป็นปีๆ ก็ไม่สำเร็จ
จนพระเทวทัต ต้องลงมือเอง แอบบนหน้าฝา ผลักก้อนหินใหญ่ เพื่อหวังฆ่าพระพุทธเจ้า ขณะที่พระองค์เดินผ่าน แต่ไม่ตกถูกพระวรกายของพระพุทธเจ้า เพียงแต่สะเก็ดหิน ไปถูกพระบาทของพระพุทธเจ้า จนอ้อเลือด กรรมที่พระเทวทัตได้กระทำสำเร็จเพียงแค่นี้ ก็ถือว่าได้กระทำอนันตรกรรม หนักคือไม่สามารถบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ ไม่ว่าจะสร้างบารมีอย่างใดๆ ก็ตาม และเมื่อสิ้นชีวิตจะลงมหานรกในทันที แต่เมื่อพระเทวทัตยังมีชีวิตอยู่ก็ยังดำรงไปตามปกติ
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสร้างและวางรากฐานพุทธศาสนาในกรุงราชคฤห์(มคต) เป็นปึกแผ่นแล้ว เป็นเวลาหลายปี พระพุทธเจ้าก็จะทรงย้ายไปยังเมือง โกศล(สาวถี) ก็พอดีกับพระเจ้าอชาติศรัทตรู มีความลุ่มร้อนใจมากตั้งแต่ฆ่าพระบิดาตนเอง จนหมอชีวกะ ได้แนะนำให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
เมื่อพระเจ้าอชาติศรัทตรู ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จึงแสดงตนเป็นพุทธมากะ แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมใดๆ ได้เพราะได้ทำอนันตรกรรมฆ่าบิดาของตนเอง และเมื่อสิ้นชีวิตก็จะลงมหานรกทันที แต่เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ยังเป็นกษัตริย์ ไปตามกำหนดแห่งบุญปางก่อน
ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าอชาติศรัทตรู ก็ไม่สนับสนุนพระเทวทัตอีกเลย ทำให้ขาดลาภสักระหมดสิ้น กลุ่มพระเทวทัตก็อยู่อย่างลำบากอยู่ในกรุงราชคฤห์ เป็นเวลานานหลายปี
หลายปีต่อมา พระพุทธเจ้าจึงตั้งพุทธศาสนามั่นคงในกรุงโกศล(สาวัตถี) แต่กลุ่มเพระเทวทัตอยู่ในกรุงราชคฤห์ ลำบากแล่นแค้น พระเทวทัต ก็อายุประมาณ 60 ปีไปแล้ว จึงได้ออกอุบายให้กลุ่มภิกษุตนถือศีลให้ยิ่งกว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ คือไม่กินเนื้อสัตว์ นอนโคนต้นไม้ ไม่อยู่กุฏิ เพิงพัก อยู่เป็นปีๆ ดูเป็นผู้เคร่งครัดต่อศีลมาก จนมีพระบวชใหม่ และชาวบ้านต่างมานับถือบูชามากขึ้น
จนมีพระภิกษุในสำนักตนหลายร้อยรูป และมีกลุ่มประชาชนที่นิยมความเคร่ง มานับถือมากขึ้น จนพระเทวทัตเกิดลำพองในตนเอง คิดตั้งตนเป็นใหญ่จะแยกภิกษุเป็นของตนเป็นอนาจักรของตนขึ้นมา ออกอุบายที่จะขอให้พระพุทธเจ้าบัญญัติศีลเพิ่ม ในข้อ ไม่ทานเนื้อสัตว์ และอยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงยินยอมก็จะอ้างตนแยกออกมาอย่างชอบธรรมตามความคิดของพระเทวทัต
พระเทวทัตดินทางไปกรุงโกศลไปหาพระพุทธเจ้า เพื่อขอให้บัญญัติศีลเพิ่มตามต้องการ แต่พระพุทธเจ้าทรงไม่ยินยอมตาม พระเทวทัตจึงประกาศในที่ประชุมสงฆ์ นั้นว่าเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ทรงยินยอม ตนก็ขอแยกภิกษุสงฆ์ เป็นกลุ่มของตนในเมืองราชคฤห์จากพระพุทธเจ้า
เป็นอันว่า พระเทวทัตได้ทำอนันตรกรรมอีกข้อหนึ่งได้สำเร็จ คือแยกสงฆ์ออกไปเป็นส่วนของตนหรืออนาจักรตน จากที่ได้ทำอกุศลกรรมมาเรื่อยๆ และมาทำกรรมครั้งนี้เป็นทวีคูณ วิบากกรรมจึงเริ่มส่งผลเร็วและเฉียบขาดขึ้นตามลำดับ
เมื่อพระเทวทัตกลับไปยังกรุงราชคฤห์ จึงตั้งกลุ่มสงฆ์เป็นของตนเองเรียนแบบตามพระพุทธเจ้า และคิดว่าตนเองเคร่งกว่าเหนือกว่า มีภิกษุใหม่กลุ่มใหญ่รายล้อมทั้ง 500 กว่ารูป ข่าวจึงดังไปทั่ว ทำให้พระสารีบุตร และพระโมคลา ถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงให้พระสารีบุตรและพระโมคลา ไปตามพระภิกษุใหม่เหล่านั้นกลับมา
ด้วยความลำพองของพระเทวทัต คิดว่ากลุ่มตนเองเคร่งกว่า ต้องมีพระภิกษุใหม่หรือเก่าต้องการแยกตัวจากพระพุทธเจ้ามาขึ้นกับตนเองมากขึ้น เมื่อเห็นพระสารีบุตรและพระโมคลา มาที่สำนักตนคิดว่า พระโมคลา-สารีบุตร เปลี่ยนใจมาอยู่ร่วมสำนักตนด้วยเพราะเคร่งในศีลว่า ทั้งที่พระแก่ร่วมกับท่านทัดทานบอกแล้วว่าจะมีปัญหา แต่พระเทวทัตไม่ฟัง
ด้วยเห็นว่า พระสารีบุตร-โมคลา นั้นมีปัญญาและเก่ง จึงให้พระสารีบุตร-โมคลา เทศนา กลุ่มพระภิกษุสงฆ์ 500 กว่ารูป ที่ตนกำลังเทศนาอยู่แทน โดยคิดจะเรียนแบบพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงให้พระสารีบุตร-โมคลา เทศนาแทนในตอนท้ายอยู่บ่อยๆ
โดยตนเองก็จะไปนอนพักแบบพระพุทธเจ้าที่ทรงปฏิบัติ แล้วพระเทวทัตก็เผลอหลับไป ฝ่าย พระสารีบุตร-โมคลา ก็เทศนาให้พระทั้งหมดฟังจนแจ่มแจ้งในธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ได้นำพระภิกษุใหม่ ทั้ง 500 รูปนั้น จากไป เหลือพระแก่ 4-5 รูป ที่ยังสนับสนุนพระเทวทัตอยู่
เมื่อพระเทวทัตตื่นขึ้นมา ไม่เห็นกลุ่มพระภิกษุตนเอง จึงถามพระแก่ๆ นั้น พระนั้นก็บอกว่า พระสารีบุตร-โมคลา ได้นำพาพระเหล่านั้นไปหมดสิ้นแล้ว พระเทวทัตได้ฟังดังนั้น เกิดเครียดแค้นกดดันร่างกายจนเกิดความร้อนตีขึ้นจากภายในอกตน กระอักออกมาเป็นเลือด และเป็นไข้ปางตายอยู่เป็นเวลา 9 เดือน โดยมีพระ 4-5 รูป นั้นคอยดูแล
แล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัสพยากรณ์ว่า ต่อไปพระเทวทัตจะถูกธรณีสูบลงมหานรก ไม่สามารถเข้าเฝ้าพระองค์ได้ และคำพยากรณ์นี้กลายเป็นที่รู้ไปทั้งเมือง โกศล และราชคฤห์
ในเดือนที่ 9 พระเทวทัตเกิดมีสตินึกทบทวนตนเองได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงให้อภัยและเมตตาต่อท่าน แม้รู้ว่า ท่านจะฆ่าพระองค์หลายครั้ง ก็ไม่ทรงไล่ไม่ทรงขับออกไปเลย มีแต่ตนเองเท่านั้นที่กระทำต่อพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา หลายสิบปีมาแล้วจนอายุแก่แล้ว เมื่อสำนึกได้ก็ประสงค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขออภัยจากพระองค์
จึงให้พระ 4-5 รูป ที่ยังอยู่กับตน ทำแคร่ แล้วแบกตนจากกรุงราชคฤห์ ไปยังกรุงโกศล เพื่อไปกราบเท้าขออภัยต่อพระพุทธเจ้า เมื่อเข้าเขตกรุงสาวัตถี พระเทวทัตหยุดพักลงจากแคร่ เพื่อชำระร่างกายให้สะอาด เพียงลงจากแคร่ เท้าเหยียบพื้นดิน ก็โดนธรณีสูบไปทันที ลงสู่มหานรกลึกสุดหนักที่สุด และยาวนานหลายเท่าเพราะ ได้ทำอนัตรกรรม ซ้อนกันถึง 2 ครั้งในชีวิตเดียวนั้น
ส่วนพระเจ้าอชาติศัทตรู ภายหลังก็โดนบุตรชายฆ่าชิ่งเป็นกษัตริย์ และลงสู่นรก เช่นกัน
เช่นเดียวกับพระในยุคปัจจุบันที่สร้างอานาจักรตน ยกตนเทียมหรือมากกว่าพระพุทธเจ้า โดยอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า กล่าวอวดอุตริมนุษย์ธรรมที่ไม่มีในตน ขาดจากความเป็นพระภิกษุสงฆ์และยังหลอกลวง ทั้งมนุษย์และเทวดา คือเป็นมหาโจรทั้ง 3 โลก แม้จะทำกรรมที่ดูแล้วน้อยกว่าพระเทวทัต หรือพระเจ้าอชาตศัทตรู แต่ก็ได้กระทำอกุศลกรรมติดต่อกันอย่างยาวนาน วิบากกรรมได้ส่งผลแล้ว และจะตามติดไปจนตาย แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่เป็นธรรมดาที่ย่อมมีผู้หลงเชื่อ ซึ่งเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งหลาย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทำนองว่า
ผู้ที่อวดอุตริมนุษย์ธรรมที่ไม่มีอยู่ในตนแล้วหลอกลวง เป็นยอดมหาโจร ทั้งโลกมนุษย์และสวรรค์ เพราะแม้เทวดาผู้ยังเป็นปุถุชน ก็ยังหลงเชื่อผู้ทุศีลเหล่านี้ได้ และทำให้เสียโอกาสในธรรมที่ดีที่ถูกต้องไป.
แม้แต่พระเกษมที่เป็นข่าวดัง เมื่อได้กระทำกรรมหนักปาราชิกแล้วก็ยังมีผู้ที่หลงเชื่อและยึดติดค่อยบริการเป็นธรรมดา แต่ก็ถือว่ายังดีอยู่บ้างที่เกิดสำนึกได้ก่อนจะสิ้นชีวิตด้วยการหลอกลวงในผ้าเหลืองเสียก่อน ยังพอแก้ไขได้ พอที่จะหลีกเลี่ยงตกลงสู่มหานรกทันทีเมื่อสิ้นชีวิตที่ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้
โลกในยุคปัจจุบันชั่งเชื่อแต่ติดกับดัก ในการโฆษนาจริงหนอ และโลกปัจจุบันนี้ก็เป็นโลกแห่งการโฆษณาเสียด้วย ดังนั้นจึงหลงเชื่อยึดติดในการหลอกลวงโฆษณา กันมากมายเหลือเกิน วิถีของสัตว์ทั้งหลายเป็นธรรมชาติเข่นนี้เองหนอ.