กระทู้นี้แชร์ ปสก. สำหรับผู้ที่มีคนใกล้ตัวเป็นมะเร็งได้ใช้เป็นแนวทางในการจัดการกับปัญหาต่างๆนะคะ
ขั้นแรก - คุณพ่อมีอาการค่อนข้างคล้ายกับคนเป็นกรดไหลย้อน(พ่อเล่าว่ามีอาการปวดแสบร้อนในอก กลืนอาหารไม่ได้ มีลมตีขึ้นมาตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลากลางคืนจะมีอาการค่อนข้างมาก ทำให้นอนแทบไม่ได้) ปกติคือแทบไม่เคยหาหมอ ไปแต่ร้านขายยา เล่าอาการให้ฟัง เค้าก็จัดยาแก้กรดไหลย้อนให้ทุกร้าน จนเห็นว่าอาการไม่ดีขึ้น และที่น่ากังวลคือน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ผอมจนเห็นกระดูก ภายในระยะเวลาแค่ 2 เดือนเท่านั้น น.น.หายไปประมาณ 20-30 กก. จึงตัดสินใจพาพ่อไปหาหมอ ตัดชิ้นเนื้อตรวจ และหมอให้ทำ ct scan จึงพบว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 3 ปลายๆค่ะ(รพ.ศิริราช)
ขั้น 2 - อ.หมอให้พ่อใส่สายอาหารทางจมูก เนื่องจากทานอาหารไม่ได้ ส่งผลต่อสุขภาพ ช่วยบรรเทาทรมานจากการหิว และมีผลต่อการรักษาในอนาคต เราและพ่อกังวลมากเนื่องจากทราบว่าการใส่สายอาหารนั้นค่อนข้างเจ็บ แต่อ.หมอบอกมันสำคัญมาก จึงตัดสินใจใส่สายทางจมูกค่ะ และพบว่ามันได้ผลดีจริงๆ คือ คุณพ่อสามารถกลับมาทานอาหารได้ ทำให้ไม่ต้องทนหิวอีกต่อไป แต่ต้องทานอาหารปั่นเหลวนะคะ จากการศึกษาข้อมูลเตรียมทำคีโม จึงได้ให้คุณพ่อทานไข่ขาวปั่นวันละประมาณ 8-10 ฟองทุกวัน + ผักต่างๆ(บลอคโคลี่ แครอท ฟักทอง ฯลฯ) น.น.เพิ่มขึ้นมาเท่าเดิมแล้วค่ะ สุขภาพแข็งแรงขึ้นมาก ได้อาหารดีมีประโยชน์
ขั้น 3-รพ.ศิริราชให้เลือกทำการฉายแสงกับรพ.อื่นที่ได้คิวเร็วกว่ารพ.ศิริราช หลังจากติดต่อรพ.ไปหลายที่พบว่า รพ.วชิระ(วชิรพยาบาล) ได้คิวเร็วสุด โทรนัดแล้ววันรุ่งขึ้นไปพบหมอได้ทันที จึงตัดสินใจเลือกรพ.วชิระค่ะ แจ้งคุณหมอว่ามาขอทำฉายแสง แต่อ.หมอที่วชิระให้ทำคีโมก่อน เราก็ทำตามค่ะ รวมทำคีโมที่วชิระ ไป 6 ครั้ง ทำครั้งละ 7 วัน ให้คีโมตลอด 24 ชม.เสียบสายคีโม+น้ำเกลือตลอด 7 วันที่อยู่รพ.เลยค่ะ (ภายหลังมาทราบว่า พ่อบอกทำคีโมแล้วปวดมาก เค้าว่าเหมือนมีเข็มมาทิ่มตามตัวตลอดเวลา อันนี้คงแล้วแต่คนนะคะ อาการต่างกันไป)
ในระหว่างนี้ ยังคงรักษาควบ 2 รพ.ค่ะ ทั้งศิริราชและวชิระ แต่ศิริราชดูแลด้านการใส่ท่อ วชิระดูแลด้านการรักษามะเร็ง(เนื่องจากศิริราชคิวยาวมากค่ะ) ภายหลังระหว่างการคีโม 6 ครั้งนี้ คุณพ่อได้ทำการผ่าตัดใส่สายอาหารทางหน้าท้อง ด้วยวิธีส่องกล้อง คุณพ่อแนะนำว่าถ้าต้องใส่สายเป็นระยะเวลานาน ควรใส่ทางหน้าท้อง จะดีกว่าใส่ทางจมูก (ตัดสินใจยากอีกเช่นกันค่ะ แต่เชื่อใจอ.หมอ จึงตกลงทำ)
การผ่าตัดใส่สายอาหารทางหน้าท้อง ด้วยวิธีส่องกล้องที่ศิริราชนั้น ต้องบอกว่าอ.หมอเก่ง สุภาพและใจดีมากค่ะ การผ่าตัดสำเร็จไปได้ด้วยดี ผ่าเสร็จออกมา พ่อบอกเจ็บนิดหน่อยเท่านั้น รวมแล้วพ่อทำผ่าส่องกล้องใส่สายอาหารที่ท้อง 2 ครั้งค่ะ ครั้งแรกเสียเงิน 15,000 บาท เป็นสายแบบจุกลม เหมือนห่วงยาง ข้อดีคือไม่มีสายยาวๆให้เกะกะ ข้อเสียคือถ้าน.น.เพิ่ม ท้องป่องทำให้จุกมันตึงกับท้อง เนืองจากมันปรับขนาดเองไม่ได้ จึงต้องเกิดการผ่าครั้งที่ 2 ค่ะ ครั้งนี้เอาแบบสายยาวๆท้องป่องมากน้อยก็รับได้หมด แต่แบบยาวมันเกะกะค่ะ แต่จะแบบไหนก็ตามต้องทำความสะอาดแผลเช้า+เย็นทุกครั้งนะคะ (การผ่าแบบส่องกล้องที่ศิริราช ราบรื่นดีทุกครั้งค่ะ พ่อแข็งแรง ดูโอเคทุกครั้ง วันรุ่งของการผ่า ก็สามารถลุกเดินได้เอง ทำทุกสิ่งได้เองค่ะ)
ขั้น 4-ระยะที่ผ่านมามีการผ่าส่องกล้องใส่สายอาหาร(รพ.ศิริราช) + คีโม 6 ครั้ง(รพ.วชิระ) การทำคีโมช่วงท้ายๆที่วชิระ อ.หมอให้ทำฉายแสงควบไปด้วยเลยค่ะ ทั้งหมดประมาณ 45 วัน(ทำวันละประมาณ 30 นาที) คุณพ่อนั่งรถเมล์ไปกลับได้ด้วยตัวเองทุกวันจากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพ(รพ.วชิระ) ช่วงนี้คุณพ่อแข็งแรงมากค่ะ ทั้งยังสามารถเอาสายอาหารออก และทานทางปากได้แล้วด้วย พ่อดีใจมาก เพราะการทานอาหารทางปาก ทำให้ได้รู้รสชาติ หลังจากต้องทานทางสายอาหาร ที่ผ่านท้องอย่างเดียว ไม่เคยผ่านปากเลย เข้าใจเลยค่ะ เวลาเห็นคนอื่นทานแล้วตัวเองทานไม่ได้ เป็นแบบนี้มาหลายเดือน สงสารพ่อมากค่ะ ไม่เคยทานอาหารต่อหน้าพ่อเลย กลัวจะทำให้เค้ารู้สึกอยากทานบ้าง) ผลการรักษาในช่วงนั้นพบว่าก้อนมะเร็งฝ่อไปแล้ว เลยสามารถทานอาหารได้ ตอนนั้นดีใจมากคิดว่าในที่สุดพ่อก็หาย หลังจากทนลำบากมานาน
ลืมบอกค่ะ ว่าระหว่างนี้ คุณพ่อต้องฉีดยาละลายลิ่มเลือด clexane ที่หน้าท้องวันละ 2 เข็มทุกวันค่ะ(เช้า+เย็น) ทราบมาว่าเกิดจากมะเร็งและการทำคีโมค่ะ เป็นผลข้างเคียง
ขั้น 5-พ่อเริ่มกลับมาทานไม่ได้อีกครั้ง อ.หมอแจ้งว่ามะเร็งได้เกิดเป็นก้อนใหม่อีก ทำให้หลอดอาหารตีบและกินไม่ได้เช่นเดิม หมอที่วชิระให้เลือกผ่าใส่สายอาหารที่ท้องที่รพ.วชิระเลย จะได้สะดวก ขณะนั้นพ่อทานอาหารไม่ค่อยได้เหมือนแต่ก่อน แม้แต่น้ำก็ยังกลืนลำบากมาก ทำให้การทรมานจากการหิวกลับมาอีกครั้งนึง จึงตัดสินใจทำที่วชิระ(เนื่องจากด้วยเอาสะดวก และอ.หมอประจำไข้ที่วชิระ ดุและพูดจาไม่ค่อยดีค่ะ แล้วแต่อารมณ์เค้า เอาแน่นอนไม่ได้เลย คุณพ่อกลัวหมอที่นี่มาก ไม่กล้าขัดหมอเลย ต้องขอบอกนะคะว่าในความเป็นจริงแล้ว ทางครอบครัวรวมทั้งพ่อเองอยากทำที่ศิริราช เนื่องจากได้ผลดีทุกครั้ง) ในที่สุดก็ตกลงใจทำที่วชิระ วันแรกหมอฝ่ายศัลยกรรมได้ลองใช้การผ่าส่องกล้องแต่พบว่าหลอดคอตีบทำให้ส่องกล้องลงไปผ่าตัดไม่ได้ วันถัดมาจึงให้คุณพ่อผ่าท้องจากข้างนอก เข้าไปในกระเพาะอาหารแทน อาจเป็นเพราะการผ่าแบบข้างนอกนี่เป็นครั้งแรกหรืออย่างไรไม่ทราบ แต่ที่ทราบคือ พ่อกลัว กังวล และออกจากห้องผ่ามาพ่อเจ็บมาก ลุก หรือแม้แต่ขยับตัวบนเตียงยังแทบไม่ไหวค่ะ สงสารพ่อ ได้แต่พูดให้กำลังใจว่าเพื่อให้ทานอาหารได้ต้องทนเจ็บสักหน่อย แต่มันไม่ได้จบแค่นั้น ถัดมาอีก 2 วันหมอโทรมาแต่เช้าแจ้งขออนุญาตพาพ่อเข้าผ่าตัดฉุกเฉินด่วน เนื่องจากมีเลือดออกในช่องท้องที่ผ่าตัดเมื่อวานก่อน ยังไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร (อย่างที่บอกค่ะ พ่อฉีดยาละลายลิ่มเลือดทุกวัน เช้าและเย็น แต่ก่อนผ่าครั้งแรกคุณหมอให้หยุดฉีดยาละลายลิ่มเลือดแค่ไม่ถึง 20 ชม. ก็ให้เข้าห้องผ่าตัดเลย ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับที่ทำให้เลือดหยุดไหลช้ารึเปล่านะคะ ยาฉีดนี้ทำให้เลือดเหลว หยุดไหลยาก ฉะนั้นช่วงแรกที่ฉีดคุณหมอยังเตือนว่าพยายามอย่าให้มีแผล ถ้ามีแผลแล้วเลือดไหลหยุดช้าให้รีบหาหมอทันที) ออกจากห้องผ่าครั้งที่ 2 นี้พ่อไปอยู่ห้อง ICU ค่ะ ดูท่านไม่ค่อยดีเลย เนือ่งจากผ่าซ้ำกัน 2 ครั้งติด แผลจึงกว้างกว่าเดิม และก่อนนี้พ่อก็ทานอาหารไม่ค่อยได้ แถมต้องงดอาหารและน้ำ(จากที่แทบทานไมไ่ด้อยู่แล้ว เพื่อเข้าห้องผ่าตัด2ครั้งติดๆนี้ ทำให้ผอมลงไปมากค่ะ)
ขั้น 6-หลังผ่าฉุกเฉินครั้ง 2 ของวชิระ อีก4-5 วัน หมอก็ให้เข้าห้องผ่าตัดครั้ง 3 อีก โดยแจ้งว่ากระเพาะอาหารไม่ทำงาน ด้วยความจำใจต้องยอมให้พ่อเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้ง รู้เลยว่าพ่อกลัวมากๆ สีหน้าเป็นกังวล รู้ว่าเค้าเจ็บ เค้าทรมาน ทุกครั้งที่เข้าผ่าหมอจะแจ้งว่าหมอจะกว้างขึ้นกว่าเดิมนะ พ่ออายุมากแล้ว ทานอาหารแทบไม่ได้มาสักพัก แล้วต้องทนกับการผ่าตัดแบบถี่ๆ ทำให้สุขภาพกายและจิตท่านแย่ลงมากค่ะ เราทุกคนทุกข์ใจไม่แพ้กัน ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่พ่อเข้าผ่าตัดค่ะ คุณหมอเย็บแผลรูเดิมที่หน้าท้อง และเจาะรูใหม่ เพื่อใส่สายอาหารลงไปที่ลำไส้เล็กตอนต้น(ที่ติดกับกระเพาะอาหารแทนค่ะ) หมอแจ้งว่าทานอาหารได้ปกติเหมือนเจาะลงกระเพาะเลย ดูดซึมได้เหมือนกัน แต่เมื่อให้คุณพ่อได้ลองทานอาหาร เราจึงพบว่าการให้อาหารลงลำไส้นั้น มันคือความทรมานดีๆนี่เอง เพราะคุณพอ่ไม่ได้รู้สึกถึงการได้รับอาหารเลย เค้าไม่รู้สึกอิ่ม ฉะนั้นหลังจากการให้อาหารแบบนี้ ท่านใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหิวตลอดเวลา เพราะกระเพาะอาหารไม่เคยได้รับอาหาร เหมือนคนที่ไม่รู้สึกว่าได้กินข้าวแล้ว มันแย่มากๆค่ะ พ่อนอนบนเตียงตลอด ลุกไม่ไหว ขยับไม่ได้ เพราะเจ็บแผลมาก (มีแผลยาว 1 คืบ + รูเจาะที่กระเพาะ 1 รู + รูเจาะเข้าที่ลำไส้เล็ก 1 รู รวมเป็นแผล 3 ที่ค่ะ)
ขั้น 7-หลังจากนั้นไม่นาน เที่ยงคืนกว่ารพ.โทรมาแจ้งขอใส่สายออกซิเจนทางปาก เนื่องจากคนไข้หายใจไม่ออก ตัดสินใจให้พ่อใส่สาย ถึงจะรู้ว่าเจ็บขนาดไหนก็ต้องยอมค่ะ เพราะหายใจไม่ออกทรมานมาก(พ่อเคยบอกค่ะ ตั้งแต่เป็นมะเร็งมา ส่งผลต่อการหายใจทำให้หายใจติดขัด โดยเฉพาะเวลากลางคืนเป็นมาก จนแต่ก่อนที่นอนอยู่บ้าน ต้องโทรเรียกรถพยาบาลมาอยู่บ่อยๆกลางดึก) ต่อมาหมอมาแจ้งกับทางเราด้วยว่าพ่อติดเชื้อที่ปอดเมื่อตอนผ่าตัด(ร่างกายอ่อนแอลง) ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ตั้งแต่ใส่สายอ๊อกฯทำให้เราไม่สามารถคุยกับพ่อได้อีกต่อไป แรงจะเขียนหนังสือสื่อสารกัน พ่อก็ไม่มีแรง เป็นความทุกข์ใจมากค่ะ ที่เค้าเป็นอะไรอยากบอกอะไรแล้วสื่อสารกับเรา แล้วเราไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ในตอนนั้นรู้เลยว่าอยากได้ยินเสียงพ่อมากขนาดไหน อยากคุยกับพ่ออีกครั้ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วค่ะ ต่อมาคุณหมอขอเจาะเส้นเลือดใหญ่ที่คอ เพื่อส่งสายไปดูดน้ำที่ขั้วหัวใจเอาไปตรวจว่าพ่อติดเชื้อในปอดตัวไหนกันแน่จะได้ให้ยาถูกกับเชื้อที่ติด ซึ่งทางเราไม่ยอมค่ะ เพราะแค่ตอนนี้เค้าก็ดูไม่ไหวมากแล้ว ไม่อยากให้ต้องทรมานไปกว่านี้ หมอขอมาหลายครั้งมาก แต่เราไม่ยอม ในที่สุดแล้ว อ.หมอประจำไข้ตั้งแต่ตอนแรกที่บอกให้เราเจาะใส่สายอาหารที่นี่ ก็มาพบเราที่แผนกศัลยกรรมเพื่อแจ้งว่าคนไข้เข้าระยะสุดท้ายแล้ว หยุดการรักษาทุกอย่าง เพื่อให้คนไข้ไม่ต้องเจ็บตัวอีกและได้ไปอย่างสบาย
ขั้น 8-พ่อได้รับมอร์ฟีนมาตลอด โดยเริ่มจากน้อย และขยับให้ยาเพิ่มทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกว่ายาเริ่มจะค่อยได้ผลในการบรรเทาความปวด ทุกครั้งที่ปวดจะสังเกตได้จากพ่อจะหน้านิ่วคิ้วขมวดและพยายามบอกว่าปวดท้อง เราก็จะเรียกพยาบาลเพื่อขอยา พยาบาลที่นี่โดยรวมแล้วหลายคน น่ารักมากค่ะ ใส่ใจดูแลคนไข้ดีมาก พี่ผู้ช่วยพยาบาลก็น่ารักมากๆค่ะ ดูแลดีมากจริงๆ ระยะนี้เราทุกคนต้องคอยหมั่นสังเกตหน้าจอ เพื่อดูค่าความดัน การเต้นของหัวใจและค่าอ๊อกฯในเลือดอยู่เรื่อยๆค่ะ ว่ามีตัวไหนตกลงบ้าง ถ้าค่าลดน้อยลงต้องเรียกพยาบาลมาช่วยดูให้ 2 วันสุดท้าย พ่อเริ่มหลับลึกมากขึ้น แทบไม่ลืมตามาเลย จนในที่สุดค่าความดัน และการเต้นของหัวใจก็ลดลงเรื่อยๆ จนเครื่องไม่สามารถวัดค่าใดๆอีกต่อไปได้ค่ะ พ่อจากไปอย่างสงบ(เหมือนอย่างคนอื่นๆที่ให้มอร์ฟีน ก็จากไปแบบสงบเกือบทุกคนนะคะ เท่าที่ได้ศึกษามา)
เราไม่ได้คิดมาก่อนว่าพ่อที่แข็งแรงมากนั่งรถเมล์จาก ตจว เข้ามา กทม ได้เอง เมื่อปลายเดือนก.พ. จะไม่ได้กลับไปบ้านอีก เพราะนี้คือการมาพบหมอตามระยะทุก 3 เดือนตามปกติที่เคยทำมา เพื่อเช็คมะเร็งที่รักษาไปจบคอร์สแล้วแค่นั้นเอง กลับต้องมาทำการผ่าตัดถึง 3 ครั้งภายในระยะเวลาไม่ถึง 20 วัน พ่อเข้ารพ.วชิระครั้งสุดท้ายด้วยการนั่งรถเมล์มาเองในเดือนกุมภาและนอนอยู่รพ.ตลอดระยะเวลาการผ่าตัดและให้มอร์ฟีนรวมประมาณ 2 เดือนพอดี(ระหว่างที่นอน 1 เดือนหลังนี้พ่อได้มีแผลกดทับที่ก้นและก้นกบ เนื่องจากนอนบนเตียงตลอดเวลา และไม่สามารรถขยับได้เอง ต้องใส่แพมเพิร์ส ให้สายอาหาร) ในเดือนเมษายน พ่อจึงได้จากไปอย่างสงบ
ฝากไว้นะคะ โพสต์นี้เขียนไว้เพื่ออยากแชร์ปสก. ไม่ได้ต้องการสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ใคร ที่เอ่ยชื่อรพ.เพื่อให้ทราบแนวทางการรักษาและหมอไม่ได้เหมือนกันทุกคน ฉะนั้นอย่านำที่อ่านมาไปตัดสินหมอทั้งหมดค่ะ แค่อยากให้ทุกคนได้รู้และหาทางแก้ไขในบางส่วนได้ อย่างหมอบางคน พูดกับคนไข้ไม่ดีเลย ไม่ดีมากๆค่ะ พูดตัดกำลังใจคนไข้ เช่น มีหมอท่านนึงบอกว่า "เดี๋ยวปีหน้าลุงก็ไม่อยู่โลกนี้แล้ว" พูดกันตรงๆแบบนี้เลย พ่อเครียดมากค่ะ ตั้งแต่หมอหญิงคนนี้พูดมา พ่อนอนไม่ได้เลย เครียด กลัว กังวลไปหมด ช่วงนั้นทำให้สุขภาพใจพ่อแย่มาก ส่งผลไปถึงสุขภาพกายก็ทรุดลง โกรธหมอคนนั้นมากค่ะ แต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องพูดให้กำลังใจพ่อกันอยู่นอนเป็นเดือนๆเลย กว่าเค้าจะหายกังวลใจได้
ด้านครอบครัว ที่บอกเล่ามานี้คนมีโอกาสหายขาดก็เยอะค่ะ แต่หลายคนที่เป็นแบบคุณพ่อ เหมือนการรักษาได้ผลดี กำลังหายจากโรค แต่กลับมาเป็นอีก ที่สำคัญคือการใส่ท่อหายใจทำให้พ่อพูดไม่ได้ อยากบอกทุกคนค่ะ ยังมีโอกาส พูดคุย กอด บอกรักเค้าให้มากที่สุด เคลียเรื่องคาใจให้มากที่สุดเพราะเราไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น
ุเมื่อคุณพ่อเป็นมะเร็งหลอดอาหาร ขอแชร์ประสบการณ์ค่ะ
ขั้นแรก - คุณพ่อมีอาการค่อนข้างคล้ายกับคนเป็นกรดไหลย้อน(พ่อเล่าว่ามีอาการปวดแสบร้อนในอก กลืนอาหารไม่ได้ มีลมตีขึ้นมาตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลากลางคืนจะมีอาการค่อนข้างมาก ทำให้นอนแทบไม่ได้) ปกติคือแทบไม่เคยหาหมอ ไปแต่ร้านขายยา เล่าอาการให้ฟัง เค้าก็จัดยาแก้กรดไหลย้อนให้ทุกร้าน จนเห็นว่าอาการไม่ดีขึ้น และที่น่ากังวลคือน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ผอมจนเห็นกระดูก ภายในระยะเวลาแค่ 2 เดือนเท่านั้น น.น.หายไปประมาณ 20-30 กก. จึงตัดสินใจพาพ่อไปหาหมอ ตัดชิ้นเนื้อตรวจ และหมอให้ทำ ct scan จึงพบว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 3 ปลายๆค่ะ(รพ.ศิริราช)
ขั้น 2 - อ.หมอให้พ่อใส่สายอาหารทางจมูก เนื่องจากทานอาหารไม่ได้ ส่งผลต่อสุขภาพ ช่วยบรรเทาทรมานจากการหิว และมีผลต่อการรักษาในอนาคต เราและพ่อกังวลมากเนื่องจากทราบว่าการใส่สายอาหารนั้นค่อนข้างเจ็บ แต่อ.หมอบอกมันสำคัญมาก จึงตัดสินใจใส่สายทางจมูกค่ะ และพบว่ามันได้ผลดีจริงๆ คือ คุณพ่อสามารถกลับมาทานอาหารได้ ทำให้ไม่ต้องทนหิวอีกต่อไป แต่ต้องทานอาหารปั่นเหลวนะคะ จากการศึกษาข้อมูลเตรียมทำคีโม จึงได้ให้คุณพ่อทานไข่ขาวปั่นวันละประมาณ 8-10 ฟองทุกวัน + ผักต่างๆ(บลอคโคลี่ แครอท ฟักทอง ฯลฯ) น.น.เพิ่มขึ้นมาเท่าเดิมแล้วค่ะ สุขภาพแข็งแรงขึ้นมาก ได้อาหารดีมีประโยชน์
ขั้น 3-รพ.ศิริราชให้เลือกทำการฉายแสงกับรพ.อื่นที่ได้คิวเร็วกว่ารพ.ศิริราช หลังจากติดต่อรพ.ไปหลายที่พบว่า รพ.วชิระ(วชิรพยาบาล) ได้คิวเร็วสุด โทรนัดแล้ววันรุ่งขึ้นไปพบหมอได้ทันที จึงตัดสินใจเลือกรพ.วชิระค่ะ แจ้งคุณหมอว่ามาขอทำฉายแสง แต่อ.หมอที่วชิระให้ทำคีโมก่อน เราก็ทำตามค่ะ รวมทำคีโมที่วชิระ ไป 6 ครั้ง ทำครั้งละ 7 วัน ให้คีโมตลอด 24 ชม.เสียบสายคีโม+น้ำเกลือตลอด 7 วันที่อยู่รพ.เลยค่ะ (ภายหลังมาทราบว่า พ่อบอกทำคีโมแล้วปวดมาก เค้าว่าเหมือนมีเข็มมาทิ่มตามตัวตลอดเวลา อันนี้คงแล้วแต่คนนะคะ อาการต่างกันไป)
ในระหว่างนี้ ยังคงรักษาควบ 2 รพ.ค่ะ ทั้งศิริราชและวชิระ แต่ศิริราชดูแลด้านการใส่ท่อ วชิระดูแลด้านการรักษามะเร็ง(เนื่องจากศิริราชคิวยาวมากค่ะ) ภายหลังระหว่างการคีโม 6 ครั้งนี้ คุณพ่อได้ทำการผ่าตัดใส่สายอาหารทางหน้าท้อง ด้วยวิธีส่องกล้อง คุณพ่อแนะนำว่าถ้าต้องใส่สายเป็นระยะเวลานาน ควรใส่ทางหน้าท้อง จะดีกว่าใส่ทางจมูก (ตัดสินใจยากอีกเช่นกันค่ะ แต่เชื่อใจอ.หมอ จึงตกลงทำ)
การผ่าตัดใส่สายอาหารทางหน้าท้อง ด้วยวิธีส่องกล้องที่ศิริราชนั้น ต้องบอกว่าอ.หมอเก่ง สุภาพและใจดีมากค่ะ การผ่าตัดสำเร็จไปได้ด้วยดี ผ่าเสร็จออกมา พ่อบอกเจ็บนิดหน่อยเท่านั้น รวมแล้วพ่อทำผ่าส่องกล้องใส่สายอาหารที่ท้อง 2 ครั้งค่ะ ครั้งแรกเสียเงิน 15,000 บาท เป็นสายแบบจุกลม เหมือนห่วงยาง ข้อดีคือไม่มีสายยาวๆให้เกะกะ ข้อเสียคือถ้าน.น.เพิ่ม ท้องป่องทำให้จุกมันตึงกับท้อง เนืองจากมันปรับขนาดเองไม่ได้ จึงต้องเกิดการผ่าครั้งที่ 2 ค่ะ ครั้งนี้เอาแบบสายยาวๆท้องป่องมากน้อยก็รับได้หมด แต่แบบยาวมันเกะกะค่ะ แต่จะแบบไหนก็ตามต้องทำความสะอาดแผลเช้า+เย็นทุกครั้งนะคะ (การผ่าแบบส่องกล้องที่ศิริราช ราบรื่นดีทุกครั้งค่ะ พ่อแข็งแรง ดูโอเคทุกครั้ง วันรุ่งของการผ่า ก็สามารถลุกเดินได้เอง ทำทุกสิ่งได้เองค่ะ)
ขั้น 4-ระยะที่ผ่านมามีการผ่าส่องกล้องใส่สายอาหาร(รพ.ศิริราช) + คีโม 6 ครั้ง(รพ.วชิระ) การทำคีโมช่วงท้ายๆที่วชิระ อ.หมอให้ทำฉายแสงควบไปด้วยเลยค่ะ ทั้งหมดประมาณ 45 วัน(ทำวันละประมาณ 30 นาที) คุณพ่อนั่งรถเมล์ไปกลับได้ด้วยตัวเองทุกวันจากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพ(รพ.วชิระ) ช่วงนี้คุณพ่อแข็งแรงมากค่ะ ทั้งยังสามารถเอาสายอาหารออก และทานทางปากได้แล้วด้วย พ่อดีใจมาก เพราะการทานอาหารทางปาก ทำให้ได้รู้รสชาติ หลังจากต้องทานทางสายอาหาร ที่ผ่านท้องอย่างเดียว ไม่เคยผ่านปากเลย เข้าใจเลยค่ะ เวลาเห็นคนอื่นทานแล้วตัวเองทานไม่ได้ เป็นแบบนี้มาหลายเดือน สงสารพ่อมากค่ะ ไม่เคยทานอาหารต่อหน้าพ่อเลย กลัวจะทำให้เค้ารู้สึกอยากทานบ้าง) ผลการรักษาในช่วงนั้นพบว่าก้อนมะเร็งฝ่อไปแล้ว เลยสามารถทานอาหารได้ ตอนนั้นดีใจมากคิดว่าในที่สุดพ่อก็หาย หลังจากทนลำบากมานาน
ลืมบอกค่ะ ว่าระหว่างนี้ คุณพ่อต้องฉีดยาละลายลิ่มเลือด clexane ที่หน้าท้องวันละ 2 เข็มทุกวันค่ะ(เช้า+เย็น) ทราบมาว่าเกิดจากมะเร็งและการทำคีโมค่ะ เป็นผลข้างเคียง
ขั้น 5-พ่อเริ่มกลับมาทานไม่ได้อีกครั้ง อ.หมอแจ้งว่ามะเร็งได้เกิดเป็นก้อนใหม่อีก ทำให้หลอดอาหารตีบและกินไม่ได้เช่นเดิม หมอที่วชิระให้เลือกผ่าใส่สายอาหารที่ท้องที่รพ.วชิระเลย จะได้สะดวก ขณะนั้นพ่อทานอาหารไม่ค่อยได้เหมือนแต่ก่อน แม้แต่น้ำก็ยังกลืนลำบากมาก ทำให้การทรมานจากการหิวกลับมาอีกครั้งนึง จึงตัดสินใจทำที่วชิระ(เนื่องจากด้วยเอาสะดวก และอ.หมอประจำไข้ที่วชิระ ดุและพูดจาไม่ค่อยดีค่ะ แล้วแต่อารมณ์เค้า เอาแน่นอนไม่ได้เลย คุณพ่อกลัวหมอที่นี่มาก ไม่กล้าขัดหมอเลย ต้องขอบอกนะคะว่าในความเป็นจริงแล้ว ทางครอบครัวรวมทั้งพ่อเองอยากทำที่ศิริราช เนื่องจากได้ผลดีทุกครั้ง) ในที่สุดก็ตกลงใจทำที่วชิระ วันแรกหมอฝ่ายศัลยกรรมได้ลองใช้การผ่าส่องกล้องแต่พบว่าหลอดคอตีบทำให้ส่องกล้องลงไปผ่าตัดไม่ได้ วันถัดมาจึงให้คุณพ่อผ่าท้องจากข้างนอก เข้าไปในกระเพาะอาหารแทน อาจเป็นเพราะการผ่าแบบข้างนอกนี่เป็นครั้งแรกหรืออย่างไรไม่ทราบ แต่ที่ทราบคือ พ่อกลัว กังวล และออกจากห้องผ่ามาพ่อเจ็บมาก ลุก หรือแม้แต่ขยับตัวบนเตียงยังแทบไม่ไหวค่ะ สงสารพ่อ ได้แต่พูดให้กำลังใจว่าเพื่อให้ทานอาหารได้ต้องทนเจ็บสักหน่อย แต่มันไม่ได้จบแค่นั้น ถัดมาอีก 2 วันหมอโทรมาแต่เช้าแจ้งขออนุญาตพาพ่อเข้าผ่าตัดฉุกเฉินด่วน เนื่องจากมีเลือดออกในช่องท้องที่ผ่าตัดเมื่อวานก่อน ยังไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร (อย่างที่บอกค่ะ พ่อฉีดยาละลายลิ่มเลือดทุกวัน เช้าและเย็น แต่ก่อนผ่าครั้งแรกคุณหมอให้หยุดฉีดยาละลายลิ่มเลือดแค่ไม่ถึง 20 ชม. ก็ให้เข้าห้องผ่าตัดเลย ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับที่ทำให้เลือดหยุดไหลช้ารึเปล่านะคะ ยาฉีดนี้ทำให้เลือดเหลว หยุดไหลยาก ฉะนั้นช่วงแรกที่ฉีดคุณหมอยังเตือนว่าพยายามอย่าให้มีแผล ถ้ามีแผลแล้วเลือดไหลหยุดช้าให้รีบหาหมอทันที) ออกจากห้องผ่าครั้งที่ 2 นี้พ่อไปอยู่ห้อง ICU ค่ะ ดูท่านไม่ค่อยดีเลย เนือ่งจากผ่าซ้ำกัน 2 ครั้งติด แผลจึงกว้างกว่าเดิม และก่อนนี้พ่อก็ทานอาหารไม่ค่อยได้ แถมต้องงดอาหารและน้ำ(จากที่แทบทานไมไ่ด้อยู่แล้ว เพื่อเข้าห้องผ่าตัด2ครั้งติดๆนี้ ทำให้ผอมลงไปมากค่ะ)
ขั้น 6-หลังผ่าฉุกเฉินครั้ง 2 ของวชิระ อีก4-5 วัน หมอก็ให้เข้าห้องผ่าตัดครั้ง 3 อีก โดยแจ้งว่ากระเพาะอาหารไม่ทำงาน ด้วยความจำใจต้องยอมให้พ่อเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้ง รู้เลยว่าพ่อกลัวมากๆ สีหน้าเป็นกังวล รู้ว่าเค้าเจ็บ เค้าทรมาน ทุกครั้งที่เข้าผ่าหมอจะแจ้งว่าหมอจะกว้างขึ้นกว่าเดิมนะ พ่ออายุมากแล้ว ทานอาหารแทบไม่ได้มาสักพัก แล้วต้องทนกับการผ่าตัดแบบถี่ๆ ทำให้สุขภาพกายและจิตท่านแย่ลงมากค่ะ เราทุกคนทุกข์ใจไม่แพ้กัน ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่พ่อเข้าผ่าตัดค่ะ คุณหมอเย็บแผลรูเดิมที่หน้าท้อง และเจาะรูใหม่ เพื่อใส่สายอาหารลงไปที่ลำไส้เล็กตอนต้น(ที่ติดกับกระเพาะอาหารแทนค่ะ) หมอแจ้งว่าทานอาหารได้ปกติเหมือนเจาะลงกระเพาะเลย ดูดซึมได้เหมือนกัน แต่เมื่อให้คุณพ่อได้ลองทานอาหาร เราจึงพบว่าการให้อาหารลงลำไส้นั้น มันคือความทรมานดีๆนี่เอง เพราะคุณพอ่ไม่ได้รู้สึกถึงการได้รับอาหารเลย เค้าไม่รู้สึกอิ่ม ฉะนั้นหลังจากการให้อาหารแบบนี้ ท่านใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหิวตลอดเวลา เพราะกระเพาะอาหารไม่เคยได้รับอาหาร เหมือนคนที่ไม่รู้สึกว่าได้กินข้าวแล้ว มันแย่มากๆค่ะ พ่อนอนบนเตียงตลอด ลุกไม่ไหว ขยับไม่ได้ เพราะเจ็บแผลมาก (มีแผลยาว 1 คืบ + รูเจาะที่กระเพาะ 1 รู + รูเจาะเข้าที่ลำไส้เล็ก 1 รู รวมเป็นแผล 3 ที่ค่ะ)
ขั้น 7-หลังจากนั้นไม่นาน เที่ยงคืนกว่ารพ.โทรมาแจ้งขอใส่สายออกซิเจนทางปาก เนื่องจากคนไข้หายใจไม่ออก ตัดสินใจให้พ่อใส่สาย ถึงจะรู้ว่าเจ็บขนาดไหนก็ต้องยอมค่ะ เพราะหายใจไม่ออกทรมานมาก(พ่อเคยบอกค่ะ ตั้งแต่เป็นมะเร็งมา ส่งผลต่อการหายใจทำให้หายใจติดขัด โดยเฉพาะเวลากลางคืนเป็นมาก จนแต่ก่อนที่นอนอยู่บ้าน ต้องโทรเรียกรถพยาบาลมาอยู่บ่อยๆกลางดึก) ต่อมาหมอมาแจ้งกับทางเราด้วยว่าพ่อติดเชื้อที่ปอดเมื่อตอนผ่าตัด(ร่างกายอ่อนแอลง) ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ตั้งแต่ใส่สายอ๊อกฯทำให้เราไม่สามารถคุยกับพ่อได้อีกต่อไป แรงจะเขียนหนังสือสื่อสารกัน พ่อก็ไม่มีแรง เป็นความทุกข์ใจมากค่ะ ที่เค้าเป็นอะไรอยากบอกอะไรแล้วสื่อสารกับเรา แล้วเราไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ในตอนนั้นรู้เลยว่าอยากได้ยินเสียงพ่อมากขนาดไหน อยากคุยกับพ่ออีกครั้ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วค่ะ ต่อมาคุณหมอขอเจาะเส้นเลือดใหญ่ที่คอ เพื่อส่งสายไปดูดน้ำที่ขั้วหัวใจเอาไปตรวจว่าพ่อติดเชื้อในปอดตัวไหนกันแน่จะได้ให้ยาถูกกับเชื้อที่ติด ซึ่งทางเราไม่ยอมค่ะ เพราะแค่ตอนนี้เค้าก็ดูไม่ไหวมากแล้ว ไม่อยากให้ต้องทรมานไปกว่านี้ หมอขอมาหลายครั้งมาก แต่เราไม่ยอม ในที่สุดแล้ว อ.หมอประจำไข้ตั้งแต่ตอนแรกที่บอกให้เราเจาะใส่สายอาหารที่นี่ ก็มาพบเราที่แผนกศัลยกรรมเพื่อแจ้งว่าคนไข้เข้าระยะสุดท้ายแล้ว หยุดการรักษาทุกอย่าง เพื่อให้คนไข้ไม่ต้องเจ็บตัวอีกและได้ไปอย่างสบาย
ขั้น 8-พ่อได้รับมอร์ฟีนมาตลอด โดยเริ่มจากน้อย และขยับให้ยาเพิ่มทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกว่ายาเริ่มจะค่อยได้ผลในการบรรเทาความปวด ทุกครั้งที่ปวดจะสังเกตได้จากพ่อจะหน้านิ่วคิ้วขมวดและพยายามบอกว่าปวดท้อง เราก็จะเรียกพยาบาลเพื่อขอยา พยาบาลที่นี่โดยรวมแล้วหลายคน น่ารักมากค่ะ ใส่ใจดูแลคนไข้ดีมาก พี่ผู้ช่วยพยาบาลก็น่ารักมากๆค่ะ ดูแลดีมากจริงๆ ระยะนี้เราทุกคนต้องคอยหมั่นสังเกตหน้าจอ เพื่อดูค่าความดัน การเต้นของหัวใจและค่าอ๊อกฯในเลือดอยู่เรื่อยๆค่ะ ว่ามีตัวไหนตกลงบ้าง ถ้าค่าลดน้อยลงต้องเรียกพยาบาลมาช่วยดูให้ 2 วันสุดท้าย พ่อเริ่มหลับลึกมากขึ้น แทบไม่ลืมตามาเลย จนในที่สุดค่าความดัน และการเต้นของหัวใจก็ลดลงเรื่อยๆ จนเครื่องไม่สามารถวัดค่าใดๆอีกต่อไปได้ค่ะ พ่อจากไปอย่างสงบ(เหมือนอย่างคนอื่นๆที่ให้มอร์ฟีน ก็จากไปแบบสงบเกือบทุกคนนะคะ เท่าที่ได้ศึกษามา)
เราไม่ได้คิดมาก่อนว่าพ่อที่แข็งแรงมากนั่งรถเมล์จาก ตจว เข้ามา กทม ได้เอง เมื่อปลายเดือนก.พ. จะไม่ได้กลับไปบ้านอีก เพราะนี้คือการมาพบหมอตามระยะทุก 3 เดือนตามปกติที่เคยทำมา เพื่อเช็คมะเร็งที่รักษาไปจบคอร์สแล้วแค่นั้นเอง กลับต้องมาทำการผ่าตัดถึง 3 ครั้งภายในระยะเวลาไม่ถึง 20 วัน พ่อเข้ารพ.วชิระครั้งสุดท้ายด้วยการนั่งรถเมล์มาเองในเดือนกุมภาและนอนอยู่รพ.ตลอดระยะเวลาการผ่าตัดและให้มอร์ฟีนรวมประมาณ 2 เดือนพอดี(ระหว่างที่นอน 1 เดือนหลังนี้พ่อได้มีแผลกดทับที่ก้นและก้นกบ เนื่องจากนอนบนเตียงตลอดเวลา และไม่สามารรถขยับได้เอง ต้องใส่แพมเพิร์ส ให้สายอาหาร) ในเดือนเมษายน พ่อจึงได้จากไปอย่างสงบ
ฝากไว้นะคะ โพสต์นี้เขียนไว้เพื่ออยากแชร์ปสก. ไม่ได้ต้องการสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ใคร ที่เอ่ยชื่อรพ.เพื่อให้ทราบแนวทางการรักษาและหมอไม่ได้เหมือนกันทุกคน ฉะนั้นอย่านำที่อ่านมาไปตัดสินหมอทั้งหมดค่ะ แค่อยากให้ทุกคนได้รู้และหาทางแก้ไขในบางส่วนได้ อย่างหมอบางคน พูดกับคนไข้ไม่ดีเลย ไม่ดีมากๆค่ะ พูดตัดกำลังใจคนไข้ เช่น มีหมอท่านนึงบอกว่า "เดี๋ยวปีหน้าลุงก็ไม่อยู่โลกนี้แล้ว" พูดกันตรงๆแบบนี้เลย พ่อเครียดมากค่ะ ตั้งแต่หมอหญิงคนนี้พูดมา พ่อนอนไม่ได้เลย เครียด กลัว กังวลไปหมด ช่วงนั้นทำให้สุขภาพใจพ่อแย่มาก ส่งผลไปถึงสุขภาพกายก็ทรุดลง โกรธหมอคนนั้นมากค่ะ แต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องพูดให้กำลังใจพ่อกันอยู่นอนเป็นเดือนๆเลย กว่าเค้าจะหายกังวลใจได้
ด้านครอบครัว ที่บอกเล่ามานี้คนมีโอกาสหายขาดก็เยอะค่ะ แต่หลายคนที่เป็นแบบคุณพ่อ เหมือนการรักษาได้ผลดี กำลังหายจากโรค แต่กลับมาเป็นอีก ที่สำคัญคือการใส่ท่อหายใจทำให้พ่อพูดไม่ได้ อยากบอกทุกคนค่ะ ยังมีโอกาส พูดคุย กอด บอกรักเค้าให้มากที่สุด เคลียเรื่องคาใจให้มากที่สุดเพราะเราไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น