เมื่อเพื่อนสนิทบอกให้ฉันไปพบจิตแพทย์.....
มันคงจะดีกว่านี้มาก ถ้าคำพูดนี้ไม่ได้มาจากเพื่อนสนิทเราเอง เพื่อนที่เราสนิทที่สุด เราเองก็เป็นคนที่ไม่ได้มีเพื่อนสนิทจริงๆจังๆมากเท่าไหร่แหละ พอมาเจอคนที่เข้าใจกัน เราก็เชื่อใจ เราไม่เคยรู้ว่าเราเป็นคนที่ทุ่มเทขนาดไหน แต่ถ้าเป็นเพื่อนที่เราสนิท เราก็พร้อมช่วยเมื่อเค้าต้องการความช่วยเหลือ ความจริง เราก็ไม่ได้สนิทกันตลอดเวลาหรอก เราขอใช้ชื่อสมมติแล้วกันนะ ปกติเราอยู่กันสามคนเป็นซะส่วนใหญ่ เรา เอ็น แล้วก็ อาร์ แต่ก็มีกลุ่มห้าคน แล้วก็กลุ่มใหญ่สิบคนอีก แต่สนิทกันมากๆก็ประมาณนี้ เราสนิทกับเอ็น ไปๆมาๆ เดี๋ยวก็สนิท เดี๋ยวก็ไม่สนิทเลย หรือว่าเราน่าเบื่อ เราก็ไม่รู้อ่ะ เรารู้แต่ว่า ตอนที่สนิทกัน มันก็สนิทกันมาก ไปไหนด้วยกันตลอด มีช่วงนึงเจอหน้ากันแทบทุกวัน เล่นซะเงินเดือนหมดตั้งแต่ต้นเดือนอ่ะ พอสนิทกันมากๆ เราก็เหมือนเทไปทั้งใจแหละ ว่าคงจะสนิทกันเรื่อยๆไปตลอด เพราะทุกอย่างมันก็ดีมากอ่ะ
พอสนิทกันมาก ก็ไม่ได้เตรียมใจว่าวันนึงต้องแยกกัน เคยเป็นปะ วันนี้ดีมาก พรุ่งนี้เหมือนไม่สนิทกันแล้ว วันนี้พูดกันทุกเรื่อง เล่าเรื่องราวตลอดเวลา วันรุ่งขึ้น กลายเป็นคนที่ไม่พูดอะไรเลย
เราเป็นคนคิดมากที่แบบมากกกๆๆๆๆๆๆ เราก็รู้ตัวนะ เคยคิดมากจนอยากไปหาจิตแพทย์ ช่วงนั้นก็ปรึกษาพี่สาวเหมือนกัน เพราะพี่สาวเป็นหมอ พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่าถ้าอยากไปหาก็ลองดูก็ได้ จะได้รู้ว่าเป็นหรือไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่ก็นะ มันก็เหมือนยังมีเพื่อนอยู่ข้างๆ ก็เลยยังไม่ได้ลองไปหา มีอยู่ช่วงนึงเราวางแผนไปเที่ยว เราก็จริงจังแหละและมีความหวังว่าจะได้ไปตามแผนจริงๆ เพราะเราเองก็ชอบเที่ยว แต่พอมาอีกวัน เราก็เห็นเอ็นไปวางแผนใหม่กับเพื่อนอีกคน เราก็งงว่าแล้วที่เราพูดกันตกลงเป็นแผนจริงหรือแผนเล่นๆ ก้เลยตึงไปเลย แต่ช่วงนั้นก็เคลียกันได้ เราจำคำพูดคำนึงจากเอ็นได้ว่า เอ็นก็ไม่คิดว่าเอ็นจะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกเราขนาดนี้ เราก็บอกไปว่า ใช่ เอ็นมีอิทธิพลต่อความรู้สึกเรามาก หลังจากเคลียกันได้ เราก็เริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวคนเดียว อยากไปดูหนัง ก็แค่เดินออกไป ไม่ต้องชวนใคร อยากทำอะไรก็ทำ พอเริ่มที่จะอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียวได้ มันก็เหมือนมีอะไรทำให้เรากลับมาสนิทกับเอ็นอีกครั้ง แล้วครั้งนี้มันก็สนิทมากกว่าเก่าอีก นั่นแหละ แล้วจู่ๆเอ็นก็ไปสนิทกับอาร์ เราก็งงเข้าไปใหญ่ จากที่เคยอยู่คนเดียวได้ ทำอะไรคนเดียวได้ พอได้มาสนิทกับใครสักคน มันก็เหมือนเราทำอะไรคนเดียวไม่เป็นเลย เราก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราทำอะไรผิดรึเปล่า เราก็เลยไปถามเอ็นให้เคลียๆ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ เอ็นบอกเราว่า เราเป็นคนที่ซับซ้อนมากๆ เก็บทุกอย่างมาคิด บอกเราว่า “ไปหาหมอมั๊ย ยาช่วยให้แค่หลับ แต่ต้องการคนคุยอ่ะ ต้องการที่ระบาย” เราไม่ควรตกใจกับคำนี้ปะ เพราะเราก็เคยคิดกับตัวเอง เหมือนเราก็รู้อยู่แก่ใจว่าเราเครียดเกินไป แต่มันเหมือนโดนอะไรมาแทงก็ไม่รู้อ่ะ มันอาจจะเป็นคนอื่นพูดก็ได้นะ แต่ไม่ใช่คนนี้ไม่ได้อ่อวะที่พูดแบบนี้ มันมีความรู้สึกที่แบบ ก็ตลอดเวลาที่สนิทกัน ก็มีแต่คนนี้ป่าววะ ที่เวลาไม่สบายใจอะไรเราก็พูดกับเค้า ระบายกับเค้า แต่ตอนนี้เค้ากลับบอกเราว่าเราต้องการที่ระบาย เหมือนกำลังบอกเราว่า เราต้องการ"จิตแพทย์"......เราอธิบายความรู้สึกนี้ไม่ออกเลย พูดอะไรไม่ออกเลย เพื่อนที่เราสนิทกำลังจะบอกว่าเราไม่ปกติ เป็นคนที่มีปัญหาทางด้านจิต
ตอนนี้ เราอยากลืม อยากลืมทุกอย่างเลย ไม่อยากจำ ไม่อยากจำคนๆนี้อีกแล้ว ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ยิ่งนึกถึงแชทวันนั้น แชทครั้งล่าสุด เราก็ไม่อยากอยู่แล้ว ไม่อยากรู้สึกอะไรแล้ว “หาหมอเหอะ ยาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ต้องมีคนคุยอ่ะ ต้องมีที่ระบาย ต้องพูดออกมา ยาไม่ช่วยให้หายหรอก แค่ช่วยให้หลับได้ แค่นั้นเอง”......ก็อาจจะใช่ ยาอาจจะไม่ได้ช่วยให้หาย แต่เราว่ามันทำให้เราหลับตลอดไปได้นะ แบบนั้นอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำป่าววะ......
……………………………………………………
ต้องทำใจแค่ไหนที่จะเดินไปบอกพ่อกับแม่ว่าเราอยากไปหาจิตแพทย์ เวลานั้น เราคิดอย่างเดียวว่า ถึงไม่ได้ผิดปกติ แต่การไปพบจิตแพทย์อาจเป็นทางที่ดีที่สุด ที่จะทำให้เราได้คำตอบว่า เราปกติดีจริงๆรึเปล่า เราตัดสินใจบอกพ่อด้วยการอธิบายไปอีกว่าเราเคยปรึกษากับพี่แล้ว แล้วพี่บอกว่าลองไปดูก็ได้เพื่อความสบายใจ พ่อก็เข้าใจ บวกกับคงเห็นว่าเราเครียดจริงๆ เลยบอกว่าลองดูก็ได้ แต่เราไม่กล้าบอกแม่ เพราะคิดว่าแม่ต้องไม่เข้าใจแน่ๆ พ่อก็คงไปอธิบายให้แม่เอง ใจเราอยากไปหาให้เร็วที่สุด เพราะเราไม่มีสมาธิทำงานและอ่านหนังสือเลย งานก็ต้องส่ง สอบก็จะสอบแล้ว หาเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี อีกสองสามวันต่อมาก็เลยไปหาเลย
การไปพบจิตแพทย์ ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัว แต่ความกังวลและสับสนในจิตใจทำให้ความกลัวนั้นลดน้อยลง เรามีแต่ความคิดที่ว่า เราต้องเล่าให้หมอฟัง เราต้องบอกหมอ เราเลือกที่จะเข้าไปคุยกับหมอแค่สองคน ให้พ่อแม่รออยู่ข้างนอกก่อน เสียงเราสั่นตั้งแต่คำแรกที่พูดออกมา เราก็เล่าให้หมอฟัง คำแรกที่พูดคือ “เหมือนโดนเพื่อนสนิททิ้งค่ะ” เราก็เล่าให้หมอฟัง หมอบอกว่า เราดูเป็นคนที่ชอบรับฟัง ชอบช่วยเหลือคนใช่มั๊ย แล้วก็จะรู้สึกดีมากเวลาที่เห็นคนอื่นพ้นทุกข์ใช่มั๊ย เราก็บอกว่า ก็ใช่ค่ะ ถ้าเค้าต้องการ เราก็จะไปอยู่ตรงนั้น เราจะไม่ช่วยถ้าการช่วยนั้นทำให้เราเดือดร้อน แต่ถ้าเราไม่เดือดร้อน เราก็ยินดีช่วย พอเราเล่าไปเรื่อยๆ หมอก็ถามเราว่า สิ่งที่เรากลัวที่สุดถ้าเราจะไม่สนิทกับคนนี้แล้วคืออะไร เรากลัวว่าเราจะอยู่ไม่ได้ เพราะเราให้ความสนิทใจไปแล้ว แต่เราก็บอกหมอไปว่า วินาทีที่คิดว่าจะอยู่ไม่ได้ มันทำให้เราคิดว่า เราจะต้องกลับไปอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียวให้ได้แบบเดิม แบบที่เราเคยเป็น หมอบอกว่า เราไม่ได้ผิดปกติอะไรเลย ปกติดีทุกอย่าง หมอบอกว่าจิตใจแบบนี้เป็นจิตใจที่ดีด้วยซ้ำ แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายมีระดับจิตใจที่ไม่เท่ากัน มันก็จะต้องมีฝ่ายนึงที่เสียความรู้สึกไปเลย ส่วนอีกฝ่ายก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย ซึ่งมันก็เป็นข้อเสียของคนที่มีจิตใจแบบเรา ไม่มีใครผิด เราไม่ผิด เค้าไม่ผิด แต่คนที่เข้าใจจะมีแค่เรา เค้าจะไม่เข้าใจอะไรเลยเพราะเค้าไม่มีทางเข้าถึงจิตใจของเราได้แน่ๆ หมอบอกว่าสิ่งที่เราต้องทำก็ฝึกฝนตัวเอง เวลาคุยหรือรับฟังปัญหาใคร ให้เอาใจออกไปวางไว้ที่นึง อย่าเอาทั้งใจไปช่วยเหลือเค้า เรารับฟังได้ ให้คำปรึกษาได้ แต่อย่าทุ่มเทไปทั้งใจ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เค้าจะทุ่มเททั้งใจเหมือนกับเรา รักษาหัวใจ รักษาความรู้สึกของตัวเองไว้ให้มากที่สุด เพราะหัวใจแบบนี้ มันมักจะบอบบางที่สุด ต่อจากนี้ก็อาจจะสนิทกับใครยากหน่อย เพราะเราต้องเรียนรู้ที่จะไม่ให้ใจและไม่ใช้ใจมากจนเกินไป ถ้าเราใช้มันมากเกินไป เมื่อถึงเวลา เราก็จะกลายเป็นคนที่งี่เง่าและเรียกร้องเพื่อให้ได้ใจของอีกฝ่ายกลับมา แต่ด้วยความที่เราเป็นคนขี้เกรงใจ และกลัวว่าคนรอบข้างจะไม่สบายใจไปด้วย มันก็จะทำให้เราโทษตัวเองว่าเราทำอะไรผิด เค้าถึงไม่ชอบเรา ทั้งๆที่มันไม่มีใครผิดเลยด้วยซ้ำ
ก่อนออกมา หมอบอกว่า “หมอไม่รับเคสนี้นะ เพราะเราไม่ได้เป็นอะไร เราปกติดี”
เมื่อ"เพื่อนสนิท"บอกให้ฉันไปพบจิตแพทย์
มันคงจะดีกว่านี้มาก ถ้าคำพูดนี้ไม่ได้มาจากเพื่อนสนิทเราเอง เพื่อนที่เราสนิทที่สุด เราเองก็เป็นคนที่ไม่ได้มีเพื่อนสนิทจริงๆจังๆมากเท่าไหร่แหละ พอมาเจอคนที่เข้าใจกัน เราก็เชื่อใจ เราไม่เคยรู้ว่าเราเป็นคนที่ทุ่มเทขนาดไหน แต่ถ้าเป็นเพื่อนที่เราสนิท เราก็พร้อมช่วยเมื่อเค้าต้องการความช่วยเหลือ ความจริง เราก็ไม่ได้สนิทกันตลอดเวลาหรอก เราขอใช้ชื่อสมมติแล้วกันนะ ปกติเราอยู่กันสามคนเป็นซะส่วนใหญ่ เรา เอ็น แล้วก็ อาร์ แต่ก็มีกลุ่มห้าคน แล้วก็กลุ่มใหญ่สิบคนอีก แต่สนิทกันมากๆก็ประมาณนี้ เราสนิทกับเอ็น ไปๆมาๆ เดี๋ยวก็สนิท เดี๋ยวก็ไม่สนิทเลย หรือว่าเราน่าเบื่อ เราก็ไม่รู้อ่ะ เรารู้แต่ว่า ตอนที่สนิทกัน มันก็สนิทกันมาก ไปไหนด้วยกันตลอด มีช่วงนึงเจอหน้ากันแทบทุกวัน เล่นซะเงินเดือนหมดตั้งแต่ต้นเดือนอ่ะ พอสนิทกันมากๆ เราก็เหมือนเทไปทั้งใจแหละ ว่าคงจะสนิทกันเรื่อยๆไปตลอด เพราะทุกอย่างมันก็ดีมากอ่ะ
พอสนิทกันมาก ก็ไม่ได้เตรียมใจว่าวันนึงต้องแยกกัน เคยเป็นปะ วันนี้ดีมาก พรุ่งนี้เหมือนไม่สนิทกันแล้ว วันนี้พูดกันทุกเรื่อง เล่าเรื่องราวตลอดเวลา วันรุ่งขึ้น กลายเป็นคนที่ไม่พูดอะไรเลย
เราเป็นคนคิดมากที่แบบมากกกๆๆๆๆๆๆ เราก็รู้ตัวนะ เคยคิดมากจนอยากไปหาจิตแพทย์ ช่วงนั้นก็ปรึกษาพี่สาวเหมือนกัน เพราะพี่สาวเป็นหมอ พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่าถ้าอยากไปหาก็ลองดูก็ได้ จะได้รู้ว่าเป็นหรือไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่ก็นะ มันก็เหมือนยังมีเพื่อนอยู่ข้างๆ ก็เลยยังไม่ได้ลองไปหา มีอยู่ช่วงนึงเราวางแผนไปเที่ยว เราก็จริงจังแหละและมีความหวังว่าจะได้ไปตามแผนจริงๆ เพราะเราเองก็ชอบเที่ยว แต่พอมาอีกวัน เราก็เห็นเอ็นไปวางแผนใหม่กับเพื่อนอีกคน เราก็งงว่าแล้วที่เราพูดกันตกลงเป็นแผนจริงหรือแผนเล่นๆ ก้เลยตึงไปเลย แต่ช่วงนั้นก็เคลียกันได้ เราจำคำพูดคำนึงจากเอ็นได้ว่า เอ็นก็ไม่คิดว่าเอ็นจะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกเราขนาดนี้ เราก็บอกไปว่า ใช่ เอ็นมีอิทธิพลต่อความรู้สึกเรามาก หลังจากเคลียกันได้ เราก็เริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวคนเดียว อยากไปดูหนัง ก็แค่เดินออกไป ไม่ต้องชวนใคร อยากทำอะไรก็ทำ พอเริ่มที่จะอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียวได้ มันก็เหมือนมีอะไรทำให้เรากลับมาสนิทกับเอ็นอีกครั้ง แล้วครั้งนี้มันก็สนิทมากกว่าเก่าอีก นั่นแหละ แล้วจู่ๆเอ็นก็ไปสนิทกับอาร์ เราก็งงเข้าไปใหญ่ จากที่เคยอยู่คนเดียวได้ ทำอะไรคนเดียวได้ พอได้มาสนิทกับใครสักคน มันก็เหมือนเราทำอะไรคนเดียวไม่เป็นเลย เราก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราทำอะไรผิดรึเปล่า เราก็เลยไปถามเอ็นให้เคลียๆ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ เอ็นบอกเราว่า เราเป็นคนที่ซับซ้อนมากๆ เก็บทุกอย่างมาคิด บอกเราว่า “ไปหาหมอมั๊ย ยาช่วยให้แค่หลับ แต่ต้องการคนคุยอ่ะ ต้องการที่ระบาย” เราไม่ควรตกใจกับคำนี้ปะ เพราะเราก็เคยคิดกับตัวเอง เหมือนเราก็รู้อยู่แก่ใจว่าเราเครียดเกินไป แต่มันเหมือนโดนอะไรมาแทงก็ไม่รู้อ่ะ มันอาจจะเป็นคนอื่นพูดก็ได้นะ แต่ไม่ใช่คนนี้ไม่ได้อ่อวะที่พูดแบบนี้ มันมีความรู้สึกที่แบบ ก็ตลอดเวลาที่สนิทกัน ก็มีแต่คนนี้ป่าววะ ที่เวลาไม่สบายใจอะไรเราก็พูดกับเค้า ระบายกับเค้า แต่ตอนนี้เค้ากลับบอกเราว่าเราต้องการที่ระบาย เหมือนกำลังบอกเราว่า เราต้องการ"จิตแพทย์"......เราอธิบายความรู้สึกนี้ไม่ออกเลย พูดอะไรไม่ออกเลย เพื่อนที่เราสนิทกำลังจะบอกว่าเราไม่ปกติ เป็นคนที่มีปัญหาทางด้านจิต
ตอนนี้ เราอยากลืม อยากลืมทุกอย่างเลย ไม่อยากจำ ไม่อยากจำคนๆนี้อีกแล้ว ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ยิ่งนึกถึงแชทวันนั้น แชทครั้งล่าสุด เราก็ไม่อยากอยู่แล้ว ไม่อยากรู้สึกอะไรแล้ว “หาหมอเหอะ ยาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ต้องมีคนคุยอ่ะ ต้องมีที่ระบาย ต้องพูดออกมา ยาไม่ช่วยให้หายหรอก แค่ช่วยให้หลับได้ แค่นั้นเอง”......ก็อาจจะใช่ ยาอาจจะไม่ได้ช่วยให้หาย แต่เราว่ามันทำให้เราหลับตลอดไปได้นะ แบบนั้นอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำป่าววะ......
……………………………………………………
ต้องทำใจแค่ไหนที่จะเดินไปบอกพ่อกับแม่ว่าเราอยากไปหาจิตแพทย์ เวลานั้น เราคิดอย่างเดียวว่า ถึงไม่ได้ผิดปกติ แต่การไปพบจิตแพทย์อาจเป็นทางที่ดีที่สุด ที่จะทำให้เราได้คำตอบว่า เราปกติดีจริงๆรึเปล่า เราตัดสินใจบอกพ่อด้วยการอธิบายไปอีกว่าเราเคยปรึกษากับพี่แล้ว แล้วพี่บอกว่าลองไปดูก็ได้เพื่อความสบายใจ พ่อก็เข้าใจ บวกกับคงเห็นว่าเราเครียดจริงๆ เลยบอกว่าลองดูก็ได้ แต่เราไม่กล้าบอกแม่ เพราะคิดว่าแม่ต้องไม่เข้าใจแน่ๆ พ่อก็คงไปอธิบายให้แม่เอง ใจเราอยากไปหาให้เร็วที่สุด เพราะเราไม่มีสมาธิทำงานและอ่านหนังสือเลย งานก็ต้องส่ง สอบก็จะสอบแล้ว หาเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี อีกสองสามวันต่อมาก็เลยไปหาเลย
การไปพบจิตแพทย์ ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัว แต่ความกังวลและสับสนในจิตใจทำให้ความกลัวนั้นลดน้อยลง เรามีแต่ความคิดที่ว่า เราต้องเล่าให้หมอฟัง เราต้องบอกหมอ เราเลือกที่จะเข้าไปคุยกับหมอแค่สองคน ให้พ่อแม่รออยู่ข้างนอกก่อน เสียงเราสั่นตั้งแต่คำแรกที่พูดออกมา เราก็เล่าให้หมอฟัง คำแรกที่พูดคือ “เหมือนโดนเพื่อนสนิททิ้งค่ะ” เราก็เล่าให้หมอฟัง หมอบอกว่า เราดูเป็นคนที่ชอบรับฟัง ชอบช่วยเหลือคนใช่มั๊ย แล้วก็จะรู้สึกดีมากเวลาที่เห็นคนอื่นพ้นทุกข์ใช่มั๊ย เราก็บอกว่า ก็ใช่ค่ะ ถ้าเค้าต้องการ เราก็จะไปอยู่ตรงนั้น เราจะไม่ช่วยถ้าการช่วยนั้นทำให้เราเดือดร้อน แต่ถ้าเราไม่เดือดร้อน เราก็ยินดีช่วย พอเราเล่าไปเรื่อยๆ หมอก็ถามเราว่า สิ่งที่เรากลัวที่สุดถ้าเราจะไม่สนิทกับคนนี้แล้วคืออะไร เรากลัวว่าเราจะอยู่ไม่ได้ เพราะเราให้ความสนิทใจไปแล้ว แต่เราก็บอกหมอไปว่า วินาทีที่คิดว่าจะอยู่ไม่ได้ มันทำให้เราคิดว่า เราจะต้องกลับไปอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียวให้ได้แบบเดิม แบบที่เราเคยเป็น หมอบอกว่า เราไม่ได้ผิดปกติอะไรเลย ปกติดีทุกอย่าง หมอบอกว่าจิตใจแบบนี้เป็นจิตใจที่ดีด้วยซ้ำ แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายมีระดับจิตใจที่ไม่เท่ากัน มันก็จะต้องมีฝ่ายนึงที่เสียความรู้สึกไปเลย ส่วนอีกฝ่ายก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย ซึ่งมันก็เป็นข้อเสียของคนที่มีจิตใจแบบเรา ไม่มีใครผิด เราไม่ผิด เค้าไม่ผิด แต่คนที่เข้าใจจะมีแค่เรา เค้าจะไม่เข้าใจอะไรเลยเพราะเค้าไม่มีทางเข้าถึงจิตใจของเราได้แน่ๆ หมอบอกว่าสิ่งที่เราต้องทำก็ฝึกฝนตัวเอง เวลาคุยหรือรับฟังปัญหาใคร ให้เอาใจออกไปวางไว้ที่นึง อย่าเอาทั้งใจไปช่วยเหลือเค้า เรารับฟังได้ ให้คำปรึกษาได้ แต่อย่าทุ่มเทไปทั้งใจ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เค้าจะทุ่มเททั้งใจเหมือนกับเรา รักษาหัวใจ รักษาความรู้สึกของตัวเองไว้ให้มากที่สุด เพราะหัวใจแบบนี้ มันมักจะบอบบางที่สุด ต่อจากนี้ก็อาจจะสนิทกับใครยากหน่อย เพราะเราต้องเรียนรู้ที่จะไม่ให้ใจและไม่ใช้ใจมากจนเกินไป ถ้าเราใช้มันมากเกินไป เมื่อถึงเวลา เราก็จะกลายเป็นคนที่งี่เง่าและเรียกร้องเพื่อให้ได้ใจของอีกฝ่ายกลับมา แต่ด้วยความที่เราเป็นคนขี้เกรงใจ และกลัวว่าคนรอบข้างจะไม่สบายใจไปด้วย มันก็จะทำให้เราโทษตัวเองว่าเราทำอะไรผิด เค้าถึงไม่ชอบเรา ทั้งๆที่มันไม่มีใครผิดเลยด้วยซ้ำ
ก่อนออกมา หมอบอกว่า “หมอไม่รับเคสนี้นะ เพราะเราไม่ได้เป็นอะไร เราปกติดี”