พระราชบัญญัติ มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 133/ ตอนที่ 38 ก/ หน้า 39/ 29 เมษายน 2559)
มาตรา 15 ให้ยกเลิกความในมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา 47 กรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ในการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 45 และมาตรา 46 ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการทหาร ในกรณีเช่นนั้น อำนาจของอัยการสูงสุดตามมาตรา 45 วรรคสาม ให้เป็นอำนาจของเจ้ากรมพระธรรมนูญ”
จากเดิม
พระราชบัญญัติ มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551
มาตรา 45 วรรคสาม ในกรณีที่พนักงานอัยการเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง แต่คณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติยืนยันให้ฟ้อง ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดวินิจฉัย คำวินิจฉัยของอัยการสูงสุดให้เป็นที่สุด
มาตรา 47 กรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นข้าราชการทหาร ในการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 45 และมาตรา 46 ให้พนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องคดี โดยถือเป็นอัยการทหารตามกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลทหารหรือจะมอบหมายให้อัยการทหารเป็นผู้ฟ้องคดีแทนก็ได้
---------------------
ความคิดเห็น
กฎหมาย ป.ป.ท. ฉบับเดิม มาตรา 45 วรรคสาม ได้ให้อำนาจอัยการสูงสุดวินิจฉัยชี้ขาดคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ซึ่งคำวินิจฉัยของอัยการสูงสุดให้เป็นที่สุด และมาตรา 47 ให้อำนาจพนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องคดีข้าราชการทหารได้
ผมมองว่า นี่คือการถ่วงดุลอำนาจกัน เพราะองค์กรอัยการ เป็นองค์กรที่แยกเป็นอีกฝ่ายต่างหากจากองค์กรทหาร ซึ่งเป็นการให้อำนาจองค์กรอื่นในการตรวจสอบอีกฝ่ายนั่นเอง
แต่!!!!
กฎหมาย ป.ป.ท. ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2559 มาตรา 47 ได้โยกอำนาจกลับไปให้อัยการทหารเป็นผู้ดำเนินคดีอาญาผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร และให้อำนาจเจ้ากรมพระธรรมนูญในการวินิจฉัยชี้ขาดคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการทหาร
กรณี ผู้กระทำการทุจริตฯ เป็นข้าราชการทหาร ซึ่งได้โยกไปให้พวกเดียวกันมีอำนาจสั่งฟ้อง และให้เจ้ากรมพระธรรมนูญ มีอำนาจชี้ขาดกรณีที่อัยการทหารเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง แต่คณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติยืนยันให้ฟ้อง
คำถาม
1. แบบนี้จะเป็นการเอื้อประโยชน์ในการช่วยเหลือพวกพ้องหรือไม่
2. ตามความเข้าใจ
อัยการสูงสุด เทียบกลับเป็น C จะได้ C11
และ เจ้ากรมพระธรรมนูญ ถ้าเทียบเป็น C จะมีศักดิ์เล็กกว่าอธิบดี C10
ใช่หรือไม่ครับ
ขอเชิญเพื่อนสมาชิก PANTIP ช่วยให้ความเห็นกรณีนี้หน่อยนะครับ
ทั้งนี้ ความรู้ผมยังด้อยนัก ผิดพลาดประการใดต้องขออภัย
ท่านใดมีข้อชี้แนะอันใดได้โปรดกรุณาด้วยครับ
ทำไมกฎหมาย ป.ป.ท. ฉบับที่ 2 ปี 2559 จึงโยกอำนาจการฟ้องทหารผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำการทุจริตฯ กลับไปให้อัยการทหาร
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 133/ ตอนที่ 38 ก/ หน้า 39/ 29 เมษายน 2559)
มาตรา 15 ให้ยกเลิกความในมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา 47 กรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ในการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 45 และมาตรา 46 ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการทหาร ในกรณีเช่นนั้น อำนาจของอัยการสูงสุดตามมาตรา 45 วรรคสาม ให้เป็นอำนาจของเจ้ากรมพระธรรมนูญ”
จากเดิม
พระราชบัญญัติ มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551
มาตรา 45 วรรคสาม ในกรณีที่พนักงานอัยการเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง แต่คณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติยืนยันให้ฟ้อง ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดวินิจฉัย คำวินิจฉัยของอัยการสูงสุดให้เป็นที่สุด
มาตรา 47 กรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นข้าราชการทหาร ในการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 45 และมาตรา 46 ให้พนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องคดี โดยถือเป็นอัยการทหารตามกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลทหารหรือจะมอบหมายให้อัยการทหารเป็นผู้ฟ้องคดีแทนก็ได้
---------------------
ความคิดเห็น
กฎหมาย ป.ป.ท. ฉบับเดิม มาตรา 45 วรรคสาม ได้ให้อำนาจอัยการสูงสุดวินิจฉัยชี้ขาดคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ซึ่งคำวินิจฉัยของอัยการสูงสุดให้เป็นที่สุด และมาตรา 47 ให้อำนาจพนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องคดีข้าราชการทหารได้
ผมมองว่า นี่คือการถ่วงดุลอำนาจกัน เพราะองค์กรอัยการ เป็นองค์กรที่แยกเป็นอีกฝ่ายต่างหากจากองค์กรทหาร ซึ่งเป็นการให้อำนาจองค์กรอื่นในการตรวจสอบอีกฝ่ายนั่นเอง
แต่!!!!
กฎหมาย ป.ป.ท. ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2559 มาตรา 47 ได้โยกอำนาจกลับไปให้อัยการทหารเป็นผู้ดำเนินคดีอาญาผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร และให้อำนาจเจ้ากรมพระธรรมนูญในการวินิจฉัยชี้ขาดคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการทหาร
กรณี ผู้กระทำการทุจริตฯ เป็นข้าราชการทหาร ซึ่งได้โยกไปให้พวกเดียวกันมีอำนาจสั่งฟ้อง และให้เจ้ากรมพระธรรมนูญ มีอำนาจชี้ขาดกรณีที่อัยการทหารเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง แต่คณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติยืนยันให้ฟ้อง
คำถาม
1. แบบนี้จะเป็นการเอื้อประโยชน์ในการช่วยเหลือพวกพ้องหรือไม่
2. ตามความเข้าใจ
อัยการสูงสุด เทียบกลับเป็น C จะได้ C11
และ เจ้ากรมพระธรรมนูญ ถ้าเทียบเป็น C จะมีศักดิ์เล็กกว่าอธิบดี C10
ใช่หรือไม่ครับ
ขอเชิญเพื่อนสมาชิก PANTIP ช่วยให้ความเห็นกรณีนี้หน่อยนะครับ
ทั้งนี้ ความรู้ผมยังด้อยนัก ผิดพลาดประการใดต้องขออภัย
ท่านใดมีข้อชี้แนะอันใดได้โปรดกรุณาด้วยครับ