เมื่อวานเราเห็นกระทู้นี้ค่ะ
http://pantip.com/topic/35141085/
ที่ให้แต่ละคนบอกว่าเมื่อตอนเด็กถูกลงโทษแบบไหนที่โหดสุดๆ สำหรับตัวเอง เราก็ไปตอบเหมือนกัน และพบว่าร้อยกว่าความเห็นในนั้น บางอย่าง เข้าขั้น "ทารุณกรรม" ไปแล้วจริงๆ
เราว่าการถูกลงโทษ หรือการถูกกระทำตอนเด็กมันส่งผลบางอย่างต่อบุคลิก นิสัยตอนโตแน่นอน
ดังนั้นเรามาลองรวบรวมกันเถอะค่ะ ว่าการเลี้ยงลูกแบบ "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" นอกจากจะทำให้ "ได้ดี" ตามความเชื่อสมัยก่อน มันยังทิ้ง "ร่องรอย" อะไรเอาไว้ในตัวเรา สะท้อนอะไรในนิสัยของเราออกมาบ้าง
................................
เริ่มจากเราก่อนเนาะ นี่คือสิ่งที่เราคิดว่าโหดที่สุดที่เราเคยโดนมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เอ...โหดสุด ไม่รู้แฮะ โดนมาหลายอย่าง 5555
เมื่อก่อนพ่อเราติดเหล้าค่ะ ท่านก็จะเหมือนอารมณ์แปรปรวนนิดหน่อย แต่ตอนไม่ดื่มจะเป็นคนที่ดีมากๆ เลย
อย่างแรกละกัน
ตอนนั้นเราเด็กมาก สมัยตอนเราประถม 1 หรือ 2 นี่แหละ มีละครเปาบุ้นจิ้นที่ช่องสามเอามาฉายตอนประมาณ 2 ทุ่ม แล้วเราอยากดู ด้วยความที่มันดึกสำหรับเด็ก พ่อเลยไม่ให้ดู เราก็เลยมุดหน้าลงกับหมอนอารมณ์ประท้วงหน่อยๆ
ผลคือ พ่อจับมัดโยนไปไว้ในห้องที่มีทีวี เปิดให้ดู แล้วก็บอกว่าให้อยู่อย่างนั้นไปจนเช้าเลย 55555 แต่ว่าอารมณ์นั้นคือไม่ได้อยากดูทีวีแล้วอ่ะค่ะ กลัวพ่อโกรธสารพัด สุดท้ายแม่ก็มาช่วยแก้มัดให้
อย่างที่สอง
เริ่มตอนย้ายบ้านค่ะ คือต้องบอกก่อนว่าพ่อเราเป็นคนมือไว แล้วก็ค่อนข้างหุนหันเล็กน้อย เวลาท่านโกรธขึ้นมานี่มือไม้ไปก่อนเลย (แต่ก็โกรธไม่ค่อยบ่อย) เราก็จะโดนประมาณ ผลักหัวไปทุบประตูบ้าง (เคยถูกผลักล้มลงไปบนถังที่ทิ้งเศษอาหารในครัวเพราะเรื่องมากไม่ยอมกินอาหารที่แม่ทำ)
แต่ที่ย้ายบ้านนี่ ตอนนั้นบ้านยังทำไม่เสร็จดี ยังไม่ได้ต่อไฟ เราก็ต้องจุดไฟอาบน้ำ แล้วเราเอาเทียนวางไว้ที่ชั้นวางของพลาสติก (ที่มันมาพร้อมกระจกนั่นแหละค่ะ) พออาบเสร็จก็ตามประสาเด็กป.3 ที่คิดว่าปล่อยให้เทียนดับเองดีกว่า
ปรากฎว่าพ่อกินข้าวเสร็จ เดินเข้าไปในห้องน้ำ ไฟกำลังไหม้ชั้นวางนั้นเลยค่ะ 5555 เท่านั้นล่ะ ไม้บรรทัดเหล็กยาวๆ ที่พ่อเราเอาไว้ใช้เขียนแบบ กิ่งมะยม ไม้แขวนเสื้อ ไม้กวาด ลากไปกระทั่งสายยางสีเขียวๆ ที่เอาไว้รดน้ำในสวน พ่อเราคว้าอะไรได้ก็ฟาดเราหมดเลย ท่านโมโหมาก แม่เราถือคติว่าถ้าเราทำผิด แม่จะไม่ยุ่ง ไม่ช่วย ละตอนนั้นก็คงผิดจริง เพราะแม่เดินหนีขึ้นบ้านเลย เรานี่...ตอนเด็กไม่ว่าพ่อจะตีหรืออะไรก็ตาม เราไม่เคยกรี๊ด ไม่เคยขอให้เค้าหยุดตี คือรู้ว่ายิ่งเสียงดัง ยิ่งขอร้อง ยิ่งโดน แต่วันนั้นเราจำได้ว่าเรากรี๊ด ขอร้องให้พ่อหยุด วิ่งหนีพ่อ (เป็นสาเหตุว่าทำไมโดนของเยอะจัง) จนไปถึงสนามหน้าบ้าน พ่อตีเสร็จก็ลากเรากลับมายัดห้องน้ำที่เราทำไหม้นั่นแหละ (คือห้องน้ำเป็นปูน มันไหม้แค่ชั้นวางกับกรอบกระจกนิดหน่อย) แล้วก็ขังเราไว้ในนั้นทั้งคืน
ผลคือ เรากลายเป็นคนไม่กรี๊ด ไม่โวยวาย หลังจากนั้นเวลาพ่อตี เราไม่เคยลุกหนีอีกเลย อารมณ์แบบอยากตีให้ตายก็จะอยู่ให้ตีนี่แหละ วัดใจกันไปเลย จนพ่อแม่เราบอกว่าเราเป็นคนหัวแข็งมาก แค่ไม่พูด เราไม่กลัวความมืดอีกเลย
ครั้งที่ 3
รอบนี้คือโตแล้ว เราเป็นพวกบ้ากิจกรรม ตอนนั้นอยู่ม.5 เราเรียน รด. แล้วก็เป็นช่วงพีคของกิจกรรมมาก เราควบตำแหน่งประธานนักเรียน หัวหน้าวงโยฯ เรียน รด. ไปด้วย แล้ววันเกิดเหตุคือ...เราลืมบอกพ่อว่าเรามีกิจกรรมที่ต้องทำต่อตอนเย็น
ช่วงนั้นโทรศัพท์มือถือเพิ่งมีรุ่นโมโตฯ เล็กๆ มั้ง บ้านเรามีโทรศัพท์บ้าน โรงเรียนมีตู้โทรศัพท์ แต่เราลืมเอง เลยไม่ได้โทร ปกติพ่อเราเป็นคนไปรับไปส่ง แล้ววันนั้นลืม...
ผลก็คือ พอเดินออกมาถึงหน้าโรงเรียน พ่อรออยู่พร้อมกับสายยางรดน้ำในสวนยาวๆ แล้วก็ฟาดเลยค่ะ หน้าโรงเรียนเลย แล้วพ่อก็สั่งให้วิ่งกลับบ้าน วิ่งเป็นระยะทาง 4 กิโลฯ โดยที่พ่อขี่มอเตอร์ไซค์ตามหลังแล้วคอยฟาดเรา ถ้าเราวิ่งช้าลง
คือคุณคิดดูว่าเพิ่งเสร็จกิจกรรม (รด. นี่แหละ) ใส่ชุด รด. วิ่ง 4 กิโลฯ โดยที่ต้องวิ่งแบบแรงไม่ตก เพราะจะโดนฟาดชนิดปวดแสบปวดร้อนกันไปเลย
ส่วนแม่...
เรื่องที่แม่ทำแล้วรู้สึกแย่มากที่สุด เหมือนจะทะเลาะอะไรกันสักอย่าง คือปกติพ่อเราจะเป็นคนที่ตีหนักมาก แต่ไมม่ค่อยลงมือ เรียกว่าปีละครั้งอะไรงี้ดีกว่า ส่วนแม่จะถี่กว่า แต่ไม่เจ็บเท่า อาวุธประจำตัวของแม่คือไม้แขวนเสื้อ กับไม้บรรทัด (ที่แม่เอาไว้ตัดแบบเสื้อ)
วันนั้นทะเลาะกันเรื่องอะไรจำไม่ได้จริงๆ แต่เรากับแม่เป็นพวกทะเลาะกันบ่อย เรายืนอยู่ตรงห้องครัว ทะเลาะๆ กันแล้วแม่คงโมโหสุดขีด คือแม่ก็ร้องไห้ เราก็น้ำตาไหล (แต่ไม่มีเสียง) แล้วแม่ก็เอามีดที่ใช้สับเนื้อขว้างมาที่เรา แต่ไม่ถูก
เราจิตกว่า...หัวเราะใส่แม่ คือหัวเราะทั้งน้ำตานี่แหละ
มันเหมือน...เหมือนว่าเราก็ทำให้เค้าเจ็บได้เหมือนกันนะ เราสะใจทึ่ทำให้เค้าเจ็บ ทั้งที่เราเองก็รู้สึกผิดมากเหมือนกัน
ตอนนี้พ่อเราเลิกเหล้าเด็ดขาดแล้วค่ะ โชคดีมากๆ เพราะเรามีน้อง แล้วน้องก็ค่อนข้างไม่ยอมคน เราจะเป็นพวกดื้อเงียบ นิ่งๆ พูดอะไรเชือดนิ่มๆ มากกว่า ส่วนน้องจะเป็นแบบวัยรุ่น โผงผาง แม่เคยเล่าว่ามีครั้งหนึ่งพ่อจะตีเรา เรายืนนิ่งจ้องตาพ่อ น้องเรารีบคว้าแขนเราวิ่งหนีออกจากบ้านเลย 5555555555 แต่กลับกัน เวลาน้องจะโดนพ่อตี (ช่วงที่ยังไม่เลิกเหล้า) เราก็ขวางสุดชีวิตเหมือนกัน เราเคยโดนมาแล้ว มันเจ็บ เราไม่อยากให้น้องโดนเหมือนเราอีก
ทุกวันนี้บ้านมีความสุขมากนะคะ พ่อเราไม่กินเหล้าเป็นพ่อที่ดีมาก ความจริงท่านเป็นคนดีมาก แต่ตอนนั้นติดเหล้า และถูกเลี้ยงมาแบบ...ค่อนข้างกดดันหน่อย แม่เราก็ดีมาก น้องเราก็น่ารักมากจริงๆ
แต่...
สิ่งที่พวกท่านทำกับเรา แม้เราจะรู้เหตุผล แม้เราจะหายเจ็บหายปวด เข้าใจทุกอย่าง แต่มันไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่เราเผชิญในวัยเด็กหายไป เรากลายเป็นคนที่อึดอัดเวลาอยู่บ้าน เรารักพวกท่านทุกคน แต่เราอยู่บ้านนานๆ ไม่ได้ มันมีความรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่ที่ทางของเรา...
ทุกวันนี้เราให้อภัยท่านทุกอย่าง พวกเรากลับมาคุยกันดี กอดคอรักใคร่กันเหมือนเดิม แต่แผลเป็นนั้นแม้จะไม่เจ็บ มันก็ทิ้งรอยให้เราเห็นทุกครั้งที่เราหันไปมอง รู้สึกได้ทุกครั้งที่เราลูบผ่านรอยนูนๆ นั่นลงไป...คงประมาณนั้นแหละค่ะ ^_^
นอกจากเรื่องพวกนี้ ก็เป็นเรื่องการถูกมัดเอาไว้ แล้วพ่อแม่ก็บอกว่าจะพาไปขายให้ชาวเขาเอาไปใช้งานบ้างล่ะ หรือด่าว่าดื้อแบบนี้จะส่งเราไปขายตัวที่ญี่ปุ่นตอนโตบ้างล่ะ (แต่ตอนนั้นเราอายุไม่เกิน 10 ขวบ ไม่รู้พ่อแม่จะเอาอะไรกับเด็กสิน่า)
ผลจากการอยู่ในครอบครัวอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ทำให้เราเป็นคนเก็บกด ดื้อเงียบไปเลย
เรากลายเป็นคนตาแข็งมาก เพราะทุกครั้งที่พ่อตี เราต้องสบตาพ่อ ถ้าหลบตา ท่านจะตีหนักขึ้น แต่ถ้าสบตานานๆ เข้า พ่อก็จะหาว่าเราท้าทาย ซึ่งหลังๆ มา เราก็ท้าทายจริงๆ แหละ 5555 พอโตมา เราไม่ใช่คนนิสัยกระด้างนะคะ แต่สิ่งที่ฉายออกมาทางตาคือความแข็ง เหมือนจะพร้อมจะหาเรื่องใครสักคนงั้นแหละ 555555
เราชินกับความมืด เพราะเราถูกจับขังห้องมืดบ่อยๆ เราชินกับการทำร้ายตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยการทำร่ายร่างกาย (หยิกตัวเองแรงๆ เอาปากกาที่หมึกหมดจิ้มๆ ตัวเองซ้ำๆ แต่ไม่ใช้ของมีคมหรือที่สามารถทิ้งแผลเอาไว้เพราะเราไม่อยากให้ใครเห็นทั้งนั้น) เราเคยคิดฆ่าตัวตายตั้งแต่ยังไม่ถึง 10 ขวบ เพราะคิดว่าถ้าที่บ้านไม่มีเราเสียคน พ่อกับแม่เราอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ เราถึงขั้นแขวนเชือก ทำบ่วงเรียบร้อยแล้ว ขึ้นไปยืนเตรียมแขวนคอตัวเองแล้ว แต่ตอนจะเอาคอสอดเข้าไป ดันคิดไปก่อนว่าถ้าเราตาย พ่อแม่ก็ต้องเสียเงินจัดงานศพเราอีก ตอนนั้นบ้านยังไม่มีเงิน เอาไว้รอเขามีเงินมีทองขึ้นมาก่อน ค่อยว่ากันอีกที (เหตุผลฮามากจริงๆ)
เรากลายเป็นคนมีอะไรก็โทษตัวเองก่อน เหมือนเป็นคนที่ self-exteem ความนับถือตัวเองต่ำ เราจะมองว่าเราบกพร่องก่อนเสมอ เราไม่ดี ไม่คู่ควร ไม่ได้ทำให้ใครภาคภูมิใจขึ้นมาได้เลย เราไม่กล้าแต่งตัวเพราะพ่อแม่เคยบอกตอนเด็กๆ บ่อยๆ ว่าคนแต่งตัว แต่งหน้าคือคนแรด อยากมี_ัว เราเป็นเด็กดี ต้องไม่ทำอะไรแบบนั้น เพราะพ่อแม่จะอับอายมาก ผลคือเราไม่เคยดูแลตัวเอง แม้แต่จะใช้ครีมสักอย่างเราก็ยังคิดว่ามันไม่จำเป็น มันไม่ดี เรากำลังทำตัวไม่ดี ทั้งที่เรารู้อยู่เต็มอกว่าที่พ่อแม่พูดมาน่ะมันไม่ถูก
เราพยายามเรียนให้ดี (แต่เป็นคนขี้เกียจนะ) พยายามทำกิจกรรมทุกอย่าง เราไขว่คว้าหาความสำเร็จเพื่อที่จะเอามาบอกพ่อแม่ว่าเราคู่ควรกับการเป็นลูกของท่าน เราทำให้ท่านภูมิใจได้เหมือนกัน แต่พอเวลาเราพลาด เราจะเฟลมาก เราไม่สามารถบอกเล่าความผิดพลาดของเราให้ที่บ้านฟังได้
เราไม่เคยเล่าปัญหาส่วนตัวให้ที่บ้านฟัง ในบ้าน เราเป็นคนฟังปัญหาของทุกคน แก้ปัญหาให้ทุกคน แต่ไม่มีใครเลยที่เราจะไว้ใจพอที่จะแบ่งปันปัญหา เรากลัวว่าถ้าเราบอกว่าเรารู้สึกแย่ รู้สึกอยากร้องไห้ พ่อแม่เราจะแย่ยิ่งกว่า เรารู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร ที่เราจะเล่าปัญหาให้คนที่ยังต้องมาให้เราช่วยฟัง
แต่แปลกที่เรากลายเป็นคนไม่ยอมคน (นอกจากครอบครัวและแฟน) ถ้าต้องปะทะกับคนนอก เราจะเปลี่ยนจากคนรั่วๆ เฮฮามาเป็นแข็งกระด้าง หลายครั้งเราใช้วาจาเชือดเฉือนคนให้ร้องไห้ออกมาได้ง่ายๆ เรากลายเป็นคนที่มองแค่สิทธิ หน้าที่ น้ำใจก็มีบ้าง แต่แม่เราเคยพูดว่าเราเป็นคนใจร้ายเกินไป และเวลาเราเกลียดใครคืออาฆาตตลอดชีวิต ไม่ยอมยกโทษ ไม่ยอมให้อภัย ไม่ได้หมายความว่าเราต้องตามไปราวีนะคะ แต่จะให้เราไปดีด้วย เราไม่ทำ
เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนม.4 มั้ง เรามีห้องส่วนตัว แล้วเราเป็นคนโลกส่วนตัวสูงปรี๊ด วันหนึ่งแม่เราเข้าไปในห้อง แล้วก็ย้ายหนังสือ เก็บเศษกระดาษที่เราทิ้งเอาไว้เกลื่อน ทำนั่นโน่นนี่ ก็ทำความสะอาดห้องนั่นแหละค่ะ แล้วก็เขียนโน็ตทิ้งไว้ในห้องทำนองว่าห้องเราสกปรกมาก ข้าวของเต็ม ว่าให้เราทำความสะอาดบ้างอะไรบ้าง แต่ไอ้ที่แม่เก็บไป หลายๆ ชิ้นน่ะเป็นไอเดียงานเราบ้าง (เราเขียนนิยายค่ะ) เป็นช็อตโน้ตตอนเรียนของเราบ้าง เป็นกระทั่งกระดาษจดสั่งงานของครู
เราปรี๊ดขึ้นทันทีเลยค่ะ แต่วิธีของเราคือ...เขียนกระดาษแปะไว้ที่ประตูห้อง เขียนไม่กี่ประโยคว่า "ห้องนี้เป็นห้องส่วนตัวของเรา จะเข้ามาควรขออนุญาตเราก่อน มันเป็นสิ่งที่คนที่มีมารยาทและความเกรงใจพึงกระทำ"
แม่เราร้องไห้อ่ะ ทั้งเดือดทั้งร้องไห้เสียใจว่าเราทำไมต้องว่าแรงขนาดนั้น แล้วหลังจากนั้น แม้จะมีที่แกเข้ามาบ้าง เก็บของทำความสะอาดให้เราบ้าง แต่แม่ก็ไม่เคยทิ้งของอะไรเราอีกเลย นอกจากเห็นว่ามันเป็นขยะจริงๆ เรื่องนี้มันกลายเป็นหนึ่งในรอยร้าวระหว่างเรากับแม่ เพราะแม่จะบอกเสมอว่าแม่เจ็บไม่หาย เรารู้สึกผิดนะคะ แต่อีกใจก็รู้สึกว่าสมควรแล้วล่ะ (เห็นมั้ย เรามันเลวจริงๆ ==")
เรากลายเป็นคนหวาดระแวงคน ไม่ไว้ใจใคร และกลายเป็นคนที่เวลารู้จักใครแล้วสิ่งแรกที่ทำคือหาจุดอ่อนคนๆ นั้นให้เจอ เราไม่เคยสนิทกับใครได้เต็มร้อย เพราะเรารู้สึกว่าทุกคนทำร้ายเราได้หมด ก็ขนาดพ่อแม่ที่ว่ารักเราที่สุดยังทำกับเราได้ แล้วคนอื่นล่ะเป็นใคร...ทำไมจะทำกับเราไม่ได้
บ้านไม่เคยกลายเป็นที่ของเราอีกเลย
เรารักครอบครัวมาก แต่เราอยู่กับเขาไม่ได้ เราให้อภัยพวกท่าน แต่ลึกๆ แล้วเรากลับอยากออกห่าง เราออกมาอยู่ข้างนอก และไม่ค่อยติดต่อที่บ้าน ทั้งที่รู้ว่าพ่อแม่รักเรา เป็นห่วง และอยากรับรู้ว่าเราสุขสบายดีไหม
ลึกๆ เราอาจจะกำลังตอบแทนสิ่งที่ท่านทำกับเราอยู่มั้งคะ
แล้วพวกคุณ มีอะไรที่เหลือเป็นตะกอนติดค้างมาจากการถูกทำโทษ หรือการเลี้ยงดูอย่างโหดๆ บ้างเอ่ย
ปล. ตอนนนี้เราถือว่าเรามีความสุข กลับบ้านก็มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เรากอดพ่อแม่ได้อย่างสนิทใจ แต่เราจะไม่มีวันให้ลูกเราได้เจอสิ่งที่เราเคยเจอเด็ดขาด
จากกระทู้ "ตอนเด็กๆ เคยถูกทำโทษแบบไหนโหดสุด" การลงโทษนั้นส่งผลต่อพวกคุณยังไงบ้างคะ?
ที่ให้แต่ละคนบอกว่าเมื่อตอนเด็กถูกลงโทษแบบไหนที่โหดสุดๆ สำหรับตัวเอง เราก็ไปตอบเหมือนกัน และพบว่าร้อยกว่าความเห็นในนั้น บางอย่าง เข้าขั้น "ทารุณกรรม" ไปแล้วจริงๆ
เราว่าการถูกลงโทษ หรือการถูกกระทำตอนเด็กมันส่งผลบางอย่างต่อบุคลิก นิสัยตอนโตแน่นอน
ดังนั้นเรามาลองรวบรวมกันเถอะค่ะ ว่าการเลี้ยงลูกแบบ "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" นอกจากจะทำให้ "ได้ดี" ตามความเชื่อสมัยก่อน มันยังทิ้ง "ร่องรอย" อะไรเอาไว้ในตัวเรา สะท้อนอะไรในนิสัยของเราออกมาบ้าง
................................
เริ่มจากเราก่อนเนาะ นี่คือสิ่งที่เราคิดว่าโหดที่สุดที่เราเคยโดนมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นอกจากเรื่องพวกนี้ ก็เป็นเรื่องการถูกมัดเอาไว้ แล้วพ่อแม่ก็บอกว่าจะพาไปขายให้ชาวเขาเอาไปใช้งานบ้างล่ะ หรือด่าว่าดื้อแบบนี้จะส่งเราไปขายตัวที่ญี่ปุ่นตอนโตบ้างล่ะ (แต่ตอนนั้นเราอายุไม่เกิน 10 ขวบ ไม่รู้พ่อแม่จะเอาอะไรกับเด็กสิน่า)
ผลจากการอยู่ในครอบครัวอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ทำให้เราเป็นคนเก็บกด ดื้อเงียบไปเลย
เรากลายเป็นคนตาแข็งมาก เพราะทุกครั้งที่พ่อตี เราต้องสบตาพ่อ ถ้าหลบตา ท่านจะตีหนักขึ้น แต่ถ้าสบตานานๆ เข้า พ่อก็จะหาว่าเราท้าทาย ซึ่งหลังๆ มา เราก็ท้าทายจริงๆ แหละ 5555 พอโตมา เราไม่ใช่คนนิสัยกระด้างนะคะ แต่สิ่งที่ฉายออกมาทางตาคือความแข็ง เหมือนจะพร้อมจะหาเรื่องใครสักคนงั้นแหละ 555555
เราชินกับความมืด เพราะเราถูกจับขังห้องมืดบ่อยๆ เราชินกับการทำร้ายตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยการทำร่ายร่างกาย (หยิกตัวเองแรงๆ เอาปากกาที่หมึกหมดจิ้มๆ ตัวเองซ้ำๆ แต่ไม่ใช้ของมีคมหรือที่สามารถทิ้งแผลเอาไว้เพราะเราไม่อยากให้ใครเห็นทั้งนั้น) เราเคยคิดฆ่าตัวตายตั้งแต่ยังไม่ถึง 10 ขวบ เพราะคิดว่าถ้าที่บ้านไม่มีเราเสียคน พ่อกับแม่เราอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ เราถึงขั้นแขวนเชือก ทำบ่วงเรียบร้อยแล้ว ขึ้นไปยืนเตรียมแขวนคอตัวเองแล้ว แต่ตอนจะเอาคอสอดเข้าไป ดันคิดไปก่อนว่าถ้าเราตาย พ่อแม่ก็ต้องเสียเงินจัดงานศพเราอีก ตอนนั้นบ้านยังไม่มีเงิน เอาไว้รอเขามีเงินมีทองขึ้นมาก่อน ค่อยว่ากันอีกที (เหตุผลฮามากจริงๆ)
เรากลายเป็นคนมีอะไรก็โทษตัวเองก่อน เหมือนเป็นคนที่ self-exteem ความนับถือตัวเองต่ำ เราจะมองว่าเราบกพร่องก่อนเสมอ เราไม่ดี ไม่คู่ควร ไม่ได้ทำให้ใครภาคภูมิใจขึ้นมาได้เลย เราไม่กล้าแต่งตัวเพราะพ่อแม่เคยบอกตอนเด็กๆ บ่อยๆ ว่าคนแต่งตัว แต่งหน้าคือคนแรด อยากมี_ัว เราเป็นเด็กดี ต้องไม่ทำอะไรแบบนั้น เพราะพ่อแม่จะอับอายมาก ผลคือเราไม่เคยดูแลตัวเอง แม้แต่จะใช้ครีมสักอย่างเราก็ยังคิดว่ามันไม่จำเป็น มันไม่ดี เรากำลังทำตัวไม่ดี ทั้งที่เรารู้อยู่เต็มอกว่าที่พ่อแม่พูดมาน่ะมันไม่ถูก
เราพยายามเรียนให้ดี (แต่เป็นคนขี้เกียจนะ) พยายามทำกิจกรรมทุกอย่าง เราไขว่คว้าหาความสำเร็จเพื่อที่จะเอามาบอกพ่อแม่ว่าเราคู่ควรกับการเป็นลูกของท่าน เราทำให้ท่านภูมิใจได้เหมือนกัน แต่พอเวลาเราพลาด เราจะเฟลมาก เราไม่สามารถบอกเล่าความผิดพลาดของเราให้ที่บ้านฟังได้
เราไม่เคยเล่าปัญหาส่วนตัวให้ที่บ้านฟัง ในบ้าน เราเป็นคนฟังปัญหาของทุกคน แก้ปัญหาให้ทุกคน แต่ไม่มีใครเลยที่เราจะไว้ใจพอที่จะแบ่งปันปัญหา เรากลัวว่าถ้าเราบอกว่าเรารู้สึกแย่ รู้สึกอยากร้องไห้ พ่อแม่เราจะแย่ยิ่งกว่า เรารู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร ที่เราจะเล่าปัญหาให้คนที่ยังต้องมาให้เราช่วยฟัง
แต่แปลกที่เรากลายเป็นคนไม่ยอมคน (นอกจากครอบครัวและแฟน) ถ้าต้องปะทะกับคนนอก เราจะเปลี่ยนจากคนรั่วๆ เฮฮามาเป็นแข็งกระด้าง หลายครั้งเราใช้วาจาเชือดเฉือนคนให้ร้องไห้ออกมาได้ง่ายๆ เรากลายเป็นคนที่มองแค่สิทธิ หน้าที่ น้ำใจก็มีบ้าง แต่แม่เราเคยพูดว่าเราเป็นคนใจร้ายเกินไป และเวลาเราเกลียดใครคืออาฆาตตลอดชีวิต ไม่ยอมยกโทษ ไม่ยอมให้อภัย ไม่ได้หมายความว่าเราต้องตามไปราวีนะคะ แต่จะให้เราไปดีด้วย เราไม่ทำ
เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนม.4 มั้ง เรามีห้องส่วนตัว แล้วเราเป็นคนโลกส่วนตัวสูงปรี๊ด วันหนึ่งแม่เราเข้าไปในห้อง แล้วก็ย้ายหนังสือ เก็บเศษกระดาษที่เราทิ้งเอาไว้เกลื่อน ทำนั่นโน่นนี่ ก็ทำความสะอาดห้องนั่นแหละค่ะ แล้วก็เขียนโน็ตทิ้งไว้ในห้องทำนองว่าห้องเราสกปรกมาก ข้าวของเต็ม ว่าให้เราทำความสะอาดบ้างอะไรบ้าง แต่ไอ้ที่แม่เก็บไป หลายๆ ชิ้นน่ะเป็นไอเดียงานเราบ้าง (เราเขียนนิยายค่ะ) เป็นช็อตโน้ตตอนเรียนของเราบ้าง เป็นกระทั่งกระดาษจดสั่งงานของครู
เราปรี๊ดขึ้นทันทีเลยค่ะ แต่วิธีของเราคือ...เขียนกระดาษแปะไว้ที่ประตูห้อง เขียนไม่กี่ประโยคว่า "ห้องนี้เป็นห้องส่วนตัวของเรา จะเข้ามาควรขออนุญาตเราก่อน มันเป็นสิ่งที่คนที่มีมารยาทและความเกรงใจพึงกระทำ"
แม่เราร้องไห้อ่ะ ทั้งเดือดทั้งร้องไห้เสียใจว่าเราทำไมต้องว่าแรงขนาดนั้น แล้วหลังจากนั้น แม้จะมีที่แกเข้ามาบ้าง เก็บของทำความสะอาดให้เราบ้าง แต่แม่ก็ไม่เคยทิ้งของอะไรเราอีกเลย นอกจากเห็นว่ามันเป็นขยะจริงๆ เรื่องนี้มันกลายเป็นหนึ่งในรอยร้าวระหว่างเรากับแม่ เพราะแม่จะบอกเสมอว่าแม่เจ็บไม่หาย เรารู้สึกผิดนะคะ แต่อีกใจก็รู้สึกว่าสมควรแล้วล่ะ (เห็นมั้ย เรามันเลวจริงๆ ==")
เรากลายเป็นคนหวาดระแวงคน ไม่ไว้ใจใคร และกลายเป็นคนที่เวลารู้จักใครแล้วสิ่งแรกที่ทำคือหาจุดอ่อนคนๆ นั้นให้เจอ เราไม่เคยสนิทกับใครได้เต็มร้อย เพราะเรารู้สึกว่าทุกคนทำร้ายเราได้หมด ก็ขนาดพ่อแม่ที่ว่ารักเราที่สุดยังทำกับเราได้ แล้วคนอื่นล่ะเป็นใคร...ทำไมจะทำกับเราไม่ได้
บ้านไม่เคยกลายเป็นที่ของเราอีกเลย
เรารักครอบครัวมาก แต่เราอยู่กับเขาไม่ได้ เราให้อภัยพวกท่าน แต่ลึกๆ แล้วเรากลับอยากออกห่าง เราออกมาอยู่ข้างนอก และไม่ค่อยติดต่อที่บ้าน ทั้งที่รู้ว่าพ่อแม่รักเรา เป็นห่วง และอยากรับรู้ว่าเราสุขสบายดีไหม
ลึกๆ เราอาจจะกำลังตอบแทนสิ่งที่ท่านทำกับเราอยู่มั้งคะ
แล้วพวกคุณ มีอะไรที่เหลือเป็นตะกอนติดค้างมาจากการถูกทำโทษ หรือการเลี้ยงดูอย่างโหดๆ บ้างเอ่ย
ปล. ตอนนนี้เราถือว่าเรามีความสุข กลับบ้านก็มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เรากอดพ่อแม่ได้อย่างสนิทใจ แต่เราจะไม่มีวันให้ลูกเราได้เจอสิ่งที่เราเคยเจอเด็ดขาด