อ่านก่อนหน้า
http://pantip.com/topic/35141196
เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นมาจากฟังวิญญาณในบ้านได้ คำว่าผีที่เราเข้าใจคือ น่ากลัว แต่เราก็อยากรู้ในมุมของความน่ากลัว เกิดคำถามมากมาย ความกลัวกับสิ่งที่เรามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่เหตุใดทำไมเราต้องขนลุก เสียงนั้นมาจากไหน สมองเราคงเพี้ยนไปแล้วแน่ คนใกล้ตัวเปิดโอกาสให้ลองถามและใจเย็นๆลดความกลัวลง ถามอะไรดีละ จะถามว่าอะไร ถามชื่อก่อนเลย มาจากไหน มาทำไม มาทำให้เรากลัวทำไม และต่อจากนี้คือเรื่องที่เราได้รับรู้มา......
ผมชื่อเพชรครับ ผมเป็นกุมารบ้านพี่ล่ะ และอยู่กับพี่มานาน ผมไม่ได้มีตัวตนในสายตาพี่เลย แต่มาวันนี้พี่ฟังผมได้ ผมดีใจมาก และอยากจะเล่าเรื่องราวของผมให้ฟัง
>>>>>>>ผมหลอกพระ
เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกบาปทำให้พระท่านเกิดอาภาพ เริ่มเลยละกันที่มาของเรื่องเหมือนทุกครั้งนะครับ ผม(ไข่นุ้ย) พี่ยักษ์ พี่ไข่ ตัดสินใจว่าวันนี้จะไปงานวัดกันพวกผมจะชอบไปงานวัดกันมาก งานวัดเป็นการบันเทิงและจัดเยอะมาก วัดนี้จัด 2-3 สัปดาห์ งานวัดเป็นอะไรที่สนุกมากเป็นความบันเทิงของสมัยก่อน
เมื่อก่อนไม่ค่อยจะมีอะไรแค่มีแสงสีมาตั้งงานวัดจะมีการขึ้นไฟหลอดไฟสีต่างๆและที่สำคัญผีจะมาเยอะมาก ผีสาว สวยๆ หนุ่มๆคนหล่อ ตลก
ผีน่ากลัวก็จะมา คนมาทำบุญเวลาคนมาทำบุญ พวกผีอยู่ใกล้ๆคนทำบุญก็รู้สึกดีมันจะรู้สึกสบายอก สบายใจ พวกผีจะชอบอยู่รอบๆคนทำบุญ
ไม่ได้จะไปรบกวนเค้านะครับเราจะไปลอยอยู่วนเวียนรอบๆเค้า
พวกผีก็จะแบบว่าเหมือนไปช่วยเชียร์ ทำอีกสิ ทำบุญอีกนะ ทำโน้นเลย พอเค้าไปทำเรารู้สึกมีส่วนร่วมไปทำบุญนะ
เพราะผีทำบุญเองไม่ได้ต้องสนับสนุนให้คนทำบุญ ครั้งนั้นผมก็ไปงานวัดกันตามปกติกระซิบบอกคนโน้นคนนี้ ผมไปวัดหนึ่งและท่านเจ้าอาวาส
ก็เห็นท่านเจ้าอาวาสเดินกลับไปกุฏิตอนกลางคืน
ท่านจะมาดูความเรียบร้อยงานวัด และกำลังกลับกุฏิ พวกผมก็นึกสนุกอะไรขึ้นมาละครับ ท่านจะเดินผ่านกระดูกโกสของคนตาย
ปกติพระจะแกล้งยาก แต่ถ้าเราเข้าไปในจังหวะที่จิตของคนเปลี่ยวๆมันรู้สึกแบบวังเวก เราสามคนก็เข้าไปกระซิบท่านบอกว่า
"ช่วยด้วย ๆ ๆ" เราก็คิดนะว่าท่านคงจะไม่ได้ยินกะเอาสนุกๆ
ป๊าดดดดด ท่านสื่อได้สะงั้นนะ ท่านหันมา พวกผมสิเป็นฝ่ายตกใจ ท่านหันมาทางที่เราอยู่ด้วย แต่ตอนนั้นแทนที่จะคิดให้แง่ดีนะ
ว่าท่านสื่อกับเราได้เราน่าจะขอให้ท่านช่วยเหลือเรา เปล่า พวกเราสนุกกันใหญ่เลย คราวนี้ผมอยู่ด้านหลัง พี่ยักษ์ไปอยู่ด้านหน้านะ
และพี่ไข่ไปอยู่อีกมุมหนึ่งนะ ผลักกันเรียกเลย "ช่วยทางนี้ด้วย"
ผมก็เอามั้ง “ช่วยทางนี้” “ช่วยทางนั้นด้วย” ท่านหันไปหันมา ท่านรีบเดินจ้ำๆไป ถือตะเกียงของท่านด้วย ตะเกียงท่านก็เขย่ามากไม่ได้เดี๋ยวน้ำมัน มันหกเอา ท่านก็รีบเดินไปที่กุฏิ "ปรากฏว่าท่านล้ม" ตะเกียงท่านก็ตก ไฟก็มอด ท่านก็พยายามตั้งหลักขึ้นมาและค่อยๆคำแถวนั้นก็เจอเป็นไม้ขีดที่อยู่ตรงไว้ไหว้ ท่านก็หยิบมาจุดและถือถ้วย ธูปหนึ่งดอกเทียนหนึ่งเล่มให้แสงเทียนกับแสงธูปนำทางไปถึงกุฏิและเราก็มารู้ตอนหลังท่านอาภาพอยู่2-3วัน ท่านเจ็บเข่าด้วยและเกิดอาการขนลุกไม่กล้าที่จะเดินผ่านแถวนั้นอีก เราไม่ได้ตั้งใจนะ แต่พอมารู้อีกทีเราทำบาปไปสะแล้ว แต่เราก็ไม่คิดจะหยุดแค่นั้นก็หาจังหวะไปแกล้งท่านเรื่อยๆ หลังๆไปจิตท่านก็เริ่มจะนิ่งมากก็รับไม่ได้แล้ว (จังหวะตอนนั้นท่านคงกลัวและมีความกังวลเรื่องผี พอผมไปสะกิดก็เลยบางอย่างทำให้ท่านสื่อได้พอดี เป็นเรื่องเลยครับ จะบอกว่าการสื่อระหว่างผีกับคนยากมากจริงๆ)
>>>>>>> การเอาของเข้า เอาของออก
ผมอยากจะพูดถึงเหตุการณ์ที่เรียกว่าเราไปฝึกวิชาโดยปกติ ผีประเภทผมที่เป็นกุมารเราไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรมาก
ที่ไม่ต้องทำมากเพราะเรามีหน้าที่ ไปที่หนึ่งสู่อีกที่หนึ่งอย่างผมสามารถที่จะแว่บได้และเหาะได้ มันก็จะยิ่งทำให้ไม่ต้องฝึกอะไรเพิ่ม
ใช้ความสามารถที่ทำได้เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำสิ่งต่างๆได้แต่เมื่อเวลาเป็นผีเวลาจะเหลือเฝือครับ จะมีเวลาว่างเยอะ
และเราจะใช้เวลาที่ว่างลองทำอะไรใหม่ๆที่เราไม่เคยทำมาก่อนหนึ่งในนั้นที่ผมลองทำก็คือ การนำของออกจากชิ้นอื่น
โดยปกติของที่อยู่กับของมันจะถูกปลูกเสกลงไปเป็นลักษณะ ของจะเป็นสิ่งอะไรก็ได้ที่ถูกสร้างขึ้นมา นำมาเมื่อตั้งขึ้น
แล้วจะลงคาถาอาคมหรือลงส่วนหนึ่งของจิตคนที่สร้างหรือของคนที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับของนั้นเอาผนวจลงไป
ซึ่งของโดยทั่วไปจะเป็นลักษณะของที่ถูกปลุกเสกด้วยคาถาเวลาผ่านไปคาถาก็จะเสื่อมไปเองและฤทธิ์ของ ของก็จะหายไปเอง
เพราะฉะนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการปลูกเสกอยู่เรื่อยๆ หรือมีการสวดคาถาซ้ำลงไปที่ของ แต่มันจะมีของอีกประเภทหนึ่งที่มีการผูกเอาดวงจิตส่วนหนึ่ง
ของคนทำลงไปผ่านทางสิ่งของบางอย่างที่เป็นตัวแทนของคนที่ทำเช่น เส้นผม เล็บ อะไรก็จะได้ที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
เพราะโดยปกติจิตจะมีความผูกอยู่กับร่างอยู่แล้ว ถ้ามีวัตถุอะไรที่เกี่ยวกับร่าง ลงไปที่ของ มันก็จะทำให้จิตส่งไปที่ของนั้นได้ง่าย
และตราบใดก็ตามที่จิตที่เป็นผู้ทำของยังไม่สู่สลายไป ของก็ยังจะมีฤทธิ์อยู่คือของประเภทนี่เมื่อก่อนนี้เยอะ
ต้องบอกว่าโดยเมื่อก่อนการทำของก็มักจะเอาส่วนหนึ่งของร่างเอาไปรวมกับของทันทีเพื่อให้ของนั้นมีฤทธิ์อยู่ตลอด
มันเป็นเรื่องปกติที่เค้าจะทำกันที่นี่ในการที่เราจะเอาออก เราก็ต้องมีวิชาที่ทำให้ความเชื่อมโยงของจิตกับของ กับร่างออกจากกัน
ถึงจะเอามันออกมาได้และของบางอย่างเอาออกมาก็สลายไปเลย แต่ของบางอย่างเอาออกมามันเป็นตัวเป็นตน นำกลับไปใช้ได้
โดยวิชาที่พวกผมเรียนก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย คือ ถ้าเป็นจิตจะทำได้ วิธีการเราไปอยู่ข้างๆของที่เราจะให้มันออกมา เสร็จแล้วพูดหรือกระซิบ
แต่เป็นคาถา จริงๆคาถาผีแต่ละตนใช้คาถาไม่เหมือนกันหลักๆคาถาจะเป็นการอ้อนวอนรูปแบบหนึ่งคือการอ้อนวอนกัน
ถ้าเป็นของดีให้ออกมาประมาณบอกว่า มาอยู่ด้วยกันนะตรงนี้ไม่ดีแล้วตรงนี้แปดเปื้อนออกมาลองดูไหม มีที่อื่นอยู่ที่ดีกว่าที่สะอาดกว่า
อย่างงี้คือเอาของดีออก แต่ถ้าเป็นของไม่ดีเราต้องไล่ ไล่คือทำให้ของเกิดความตกใจ เกิดทำให้รู้สึกความสูญเสียทำให้พังเราเข้าไป
จะเผาแล้วไฟไหม้แล้ว หรือไม่ก็บอกว่าเจ้าของทิ้งแล้ว ไม่มีใครสนใจแล้วประมาณอย่างนี้นะครับ กระซิบที่ออกบางก็ออกมา
แต่บางทีไม่ออกแล้วแต่ของด้วย ถ้ายึดกับตัวมากก็จะไม่ค่อยออกแต่ถ้าหลายๆผีเข้าไปกระซิบนี่ออกง่ายนะ พอของไม่มีร่างให้ยึดของ
ก็จะเป็นอิสระนะ และถ้าของที่ผูกกับจิตก็กลับไปหาเจ้าของเลย
ถ้าเป็นของที่ผูกหรือปลุกเสกมาก็จะลอยขึ้น เราก็สามารถที่จะหยิบและก็พาไปที่อื่นที่ต้องการได้นะครับ การฝึกของผมไม่ได้มีอะไรมาก เราก็จะไปเล่นกับของที่อยู่ในบ้านของเฮียหมี (ไม่ได้เล่นกับใครหรอก) เรียกของออก และ เรียกของเข้า มันก็เป็นความสนุกของผีนะครับที่ทำกันในเวลาว่าง
>>>>>> ผมโดนเจ้าที่จับไปครับ
พวกผมเป็นผีความเป็นผีไม่จำเป็นที่จะต้องนอนจิตจะตื่นตลอดครับ โดยปกติถ้าจิตมีร่าง ร่างหลับ จิตจะหลับตาม(บางท่านนะครับ) แต่ถ้าไม่มีร่างจิตจะตื่นตลอดเวลาเพราะฉะนั้นกลางวันกลางคืนสำหรับผีไม่ค่อยจะมีผล สำหรับพวกเราก็จะมืดตลอดเวลาครับ ผมเองก็เป็นผีที่ไม่เข้าใจเรื่องของกลางวันกลางคืนเพราะว่าเกิดมาก็ตายเลย
แต่ก็เคยเห็นภาพผ่านทางดวงจิตของมนุษย์ว่ากลางวันเป็นอย่างไร รู้ว่ากลางวันมีแสง กลางคืนเป็นช่วงเวลาที่แสงไม่มีเลย
และรู้ว่ากลางคืนจิตใจของมนุษย์มันจะอ่อนหล้าทำให้เราเข้าหาได้ง่าย ด้วยการที่ผมไม่นอน ผมค่อยข้างอยู่ชินกับยามค่ำคืนและก็ใช้เวลา
อยู่กับจิตดวงอื่นมีทั้งพูดคุยและพากันไปโน้นไปนี่ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกิดเหตุว่า
ผมไปบ้านหลังหนึ่ง อยากจะลองวิชาที่ฝึกมา (เอาของเข้า เอาของออก) แต่ผมกับไปทำผิดที่ไปหน่อย ผมเลยถูกลงโทษ
พี่ไสวบอกว่า บ้านที่ไปทำเป็นบ้านของเพื่อนเฮียหมี ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทางบ้านเพื่อนเฮียหมี พี่ไสวก็บอกผมครับ
การทำแบบเนี่ยไม่ถูก ไม่ควร อย่าไปทำเองถ้าไม่มีใครสั่งผม และด้วยความคึกคะนอง
ผมก็ตอบกลับไป “ผมเป็นผีนะผมทำได้ใครจะมาห้ามอะไรผม”
พี่ไสวก็พูดว่า “เอ็ง พอทำได้นะเอ็งก็ไม่เห็นหัวคนอื่น เอ็งอาจจะเก่งกว่าคนอื่นหรือทำได้ไวแต่เอ็งอย่าลืมเอ็งก็คือผี
ผีไม่มีระดับไม่มีชนชั้นหรอก แต่ถ้าเอ็งไม่เคารพสิทธิ์ของผู้อื่น สิทธิ์ของผีตนอื่นแล้วเอ็งจะต้องเสียใจ”
“พี่คงว่าอะไรเอ็งไม่ได้ตอนนี้เพราะพี่คงว่าอะไรเอ็งไม่ได้ แต่ถ้าหากเกิดเรื่องมาแก้ไม่ได้ ก็อย่าลืมที่เคยเตือนไว้” ตอนนั้นผมก็ไม่ทันคิดครับ
ใครจะมาทำอะไรผมได้ละ ผมไม่กลัวหรอก พอครั้งต่อไปผมก็ไปที่บ้านหลังเดิมนะ เป็นที่เล่นของผมไปสะแล้ว พอผมไปเล่นรอบนี้
ผมเจอ"เจ้าที่" และเจ้าที่ก็รู้แล้วว่าผมมารอบที่แล้ว ทำให้บ้านวุ่นวายสิ่งที่เจอขึ้นกับผม ผมโดนดูด เราคุมจิตไม่ได้เลย และเข้าไปอยู่ในบ้านของเจ้าที่
บ้านหลังเล็กๆของเจ้าที่กลายเป็นบ้านหลังใหญ่ๆมากเลยแล้วผมก็ออกไม่ได้ ลอยออกไม่ได้ แว่บออกก็ไม่ได้ ผมติดอยู่ในนั้น
ตกใจและกลัวมากไปไหนก็ไม่ได้
ในบ้านหลังที่ไม่มีอะไร บ้านเรือนไม้ และมีคนแก่เข้ามา บอกว่า "เอ็งใช่ไหมที่มาปั่นป่วนเมื่อวาน"
"ใช่...ผมเอง" เค้าก็พูดว่า "เอ็งทำ เอ็งกล้ารับก็ดีนะ เป็นผีห้ามมาวุ่นวายกับบ้านอื่น ทำอย่างนี้มันรบกวนคน คนก็อยู่ส่วนคนผีก็อยู่ส่วนผีหาเรื่องกันแบบนี้ต้องโดนลงโทษ"
ตอนนั้นผมรู้สึกกลัวมาก และ ท่านก็พูดว่า "อยู่ในนี้ นั่งสำนึก สำนึกได้แล้วบอกด้วย" ผมก็คิดนะ ให้เราอยู่ทำอะไรเนี่ยะ ไปไหนก็ไม่ได้ครับ
ผมจำเวลาไม่ได้รู้สึกวันเวลาผ่านไปนานมา ผมก็เริ่มคิดถึงพี่ไสวพี่ยักษ์ เฮียหมี พี่แขก อยากจะไปมันก็ไปไม่ได้ ออกไม่ได้
ผมก็เริ่มกระวนกระวายจิตอ่อนหล้าผมไม่เคยรู้สึกอย่างงี้เลย ผมไปอยู่กลางบ้านเรือนไทยของเจ้าที่
ล้มตัวลงหมดแรง หลับไปแวบเดี๋ยวครับและตื่นมา เห็นเจ้าที่เดินทางบอกว่า"เย็นลงแล้วใช่ไหมตั้งจิตแล้วใช่ไหม รู้ตัวแล้วใช่ไหม"
ผมก็บอกว่า "ใช่ครับ ผมขอโทษจะไม่ทำอีก ถ้างั้นก็ออกไปได้แล้ว ไปในที่จากมา" จากนั้นผมก็ออกไปได้ ความรู้สึกที่ออกเหมือนท่านถีบกระเด็นออกมาจากบ้านเรือนไทย และผมก็ออกมามึนๆๆงงๆๆ ผมจำไม่ได้เลยนานเท่าไร
ผมก็ลอยกลับบ้าน พี่ไสวบอกว่า “โดนมาแล้วใช่ไหม” ผมก็บอกว่า “ก็โดนแล้วละ” พี่ไสวบอก “เออดีนะรอบนี้โดนไม่นานบางตนนะโดนแบบนี้นะหายไปเป็นปีนี่ไม่กี่เดือนนะ” นั้นละผมถึงรู้ว่าเวลาหายไปไวมาก เวลาที่จิตสลบมันเหมือนกับจิตแทบจะดับไปเลย ผมคิดนะถ้าเจ้าที่ไม่มาปลุก จิตผมดับไปแล้วแน่ๆ เหตุการณ์นั้นเป็นสิ่งที่ผมต้องระวังมากขึ้นเลย
ฟัง ผี บอก....เรื่องที่ 2
เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นมาจากฟังวิญญาณในบ้านได้ คำว่าผีที่เราเข้าใจคือ น่ากลัว แต่เราก็อยากรู้ในมุมของความน่ากลัว เกิดคำถามมากมาย ความกลัวกับสิ่งที่เรามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่เหตุใดทำไมเราต้องขนลุก เสียงนั้นมาจากไหน สมองเราคงเพี้ยนไปแล้วแน่ คนใกล้ตัวเปิดโอกาสให้ลองถามและใจเย็นๆลดความกลัวลง ถามอะไรดีละ จะถามว่าอะไร ถามชื่อก่อนเลย มาจากไหน มาทำไม มาทำให้เรากลัวทำไม และต่อจากนี้คือเรื่องที่เราได้รับรู้มา......
ผมชื่อเพชรครับ ผมเป็นกุมารบ้านพี่ล่ะ และอยู่กับพี่มานาน ผมไม่ได้มีตัวตนในสายตาพี่เลย แต่มาวันนี้พี่ฟังผมได้ ผมดีใจมาก และอยากจะเล่าเรื่องราวของผมให้ฟัง
>>>>>>>ผมหลอกพระ
เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกบาปทำให้พระท่านเกิดอาภาพ เริ่มเลยละกันที่มาของเรื่องเหมือนทุกครั้งนะครับ ผม(ไข่นุ้ย) พี่ยักษ์ พี่ไข่ ตัดสินใจว่าวันนี้จะไปงานวัดกันพวกผมจะชอบไปงานวัดกันมาก งานวัดเป็นการบันเทิงและจัดเยอะมาก วัดนี้จัด 2-3 สัปดาห์ งานวัดเป็นอะไรที่สนุกมากเป็นความบันเทิงของสมัยก่อน
เมื่อก่อนไม่ค่อยจะมีอะไรแค่มีแสงสีมาตั้งงานวัดจะมีการขึ้นไฟหลอดไฟสีต่างๆและที่สำคัญผีจะมาเยอะมาก ผีสาว สวยๆ หนุ่มๆคนหล่อ ตลก
ผีน่ากลัวก็จะมา คนมาทำบุญเวลาคนมาทำบุญ พวกผีอยู่ใกล้ๆคนทำบุญก็รู้สึกดีมันจะรู้สึกสบายอก สบายใจ พวกผีจะชอบอยู่รอบๆคนทำบุญ
ไม่ได้จะไปรบกวนเค้านะครับเราจะไปลอยอยู่วนเวียนรอบๆเค้า
พวกผีก็จะแบบว่าเหมือนไปช่วยเชียร์ ทำอีกสิ ทำบุญอีกนะ ทำโน้นเลย พอเค้าไปทำเรารู้สึกมีส่วนร่วมไปทำบุญนะ
เพราะผีทำบุญเองไม่ได้ต้องสนับสนุนให้คนทำบุญ ครั้งนั้นผมก็ไปงานวัดกันตามปกติกระซิบบอกคนโน้นคนนี้ ผมไปวัดหนึ่งและท่านเจ้าอาวาส
ก็เห็นท่านเจ้าอาวาสเดินกลับไปกุฏิตอนกลางคืน
ท่านจะมาดูความเรียบร้อยงานวัด และกำลังกลับกุฏิ พวกผมก็นึกสนุกอะไรขึ้นมาละครับ ท่านจะเดินผ่านกระดูกโกสของคนตาย
ปกติพระจะแกล้งยาก แต่ถ้าเราเข้าไปในจังหวะที่จิตของคนเปลี่ยวๆมันรู้สึกแบบวังเวก เราสามคนก็เข้าไปกระซิบท่านบอกว่า
"ช่วยด้วย ๆ ๆ" เราก็คิดนะว่าท่านคงจะไม่ได้ยินกะเอาสนุกๆ
ป๊าดดดดด ท่านสื่อได้สะงั้นนะ ท่านหันมา พวกผมสิเป็นฝ่ายตกใจ ท่านหันมาทางที่เราอยู่ด้วย แต่ตอนนั้นแทนที่จะคิดให้แง่ดีนะ
ว่าท่านสื่อกับเราได้เราน่าจะขอให้ท่านช่วยเหลือเรา เปล่า พวกเราสนุกกันใหญ่เลย คราวนี้ผมอยู่ด้านหลัง พี่ยักษ์ไปอยู่ด้านหน้านะ
และพี่ไข่ไปอยู่อีกมุมหนึ่งนะ ผลักกันเรียกเลย "ช่วยทางนี้ด้วย"
ผมก็เอามั้ง “ช่วยทางนี้” “ช่วยทางนั้นด้วย” ท่านหันไปหันมา ท่านรีบเดินจ้ำๆไป ถือตะเกียงของท่านด้วย ตะเกียงท่านก็เขย่ามากไม่ได้เดี๋ยวน้ำมัน มันหกเอา ท่านก็รีบเดินไปที่กุฏิ "ปรากฏว่าท่านล้ม" ตะเกียงท่านก็ตก ไฟก็มอด ท่านก็พยายามตั้งหลักขึ้นมาและค่อยๆคำแถวนั้นก็เจอเป็นไม้ขีดที่อยู่ตรงไว้ไหว้ ท่านก็หยิบมาจุดและถือถ้วย ธูปหนึ่งดอกเทียนหนึ่งเล่มให้แสงเทียนกับแสงธูปนำทางไปถึงกุฏิและเราก็มารู้ตอนหลังท่านอาภาพอยู่2-3วัน ท่านเจ็บเข่าด้วยและเกิดอาการขนลุกไม่กล้าที่จะเดินผ่านแถวนั้นอีก เราไม่ได้ตั้งใจนะ แต่พอมารู้อีกทีเราทำบาปไปสะแล้ว แต่เราก็ไม่คิดจะหยุดแค่นั้นก็หาจังหวะไปแกล้งท่านเรื่อยๆ หลังๆไปจิตท่านก็เริ่มจะนิ่งมากก็รับไม่ได้แล้ว (จังหวะตอนนั้นท่านคงกลัวและมีความกังวลเรื่องผี พอผมไปสะกิดก็เลยบางอย่างทำให้ท่านสื่อได้พอดี เป็นเรื่องเลยครับ จะบอกว่าการสื่อระหว่างผีกับคนยากมากจริงๆ)
>>>>>>> การเอาของเข้า เอาของออก
ผมอยากจะพูดถึงเหตุการณ์ที่เรียกว่าเราไปฝึกวิชาโดยปกติ ผีประเภทผมที่เป็นกุมารเราไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรมาก
ที่ไม่ต้องทำมากเพราะเรามีหน้าที่ ไปที่หนึ่งสู่อีกที่หนึ่งอย่างผมสามารถที่จะแว่บได้และเหาะได้ มันก็จะยิ่งทำให้ไม่ต้องฝึกอะไรเพิ่ม
ใช้ความสามารถที่ทำได้เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำสิ่งต่างๆได้แต่เมื่อเวลาเป็นผีเวลาจะเหลือเฝือครับ จะมีเวลาว่างเยอะ
และเราจะใช้เวลาที่ว่างลองทำอะไรใหม่ๆที่เราไม่เคยทำมาก่อนหนึ่งในนั้นที่ผมลองทำก็คือ การนำของออกจากชิ้นอื่น
โดยปกติของที่อยู่กับของมันจะถูกปลูกเสกลงไปเป็นลักษณะ ของจะเป็นสิ่งอะไรก็ได้ที่ถูกสร้างขึ้นมา นำมาเมื่อตั้งขึ้น
แล้วจะลงคาถาอาคมหรือลงส่วนหนึ่งของจิตคนที่สร้างหรือของคนที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับของนั้นเอาผนวจลงไป
ซึ่งของโดยทั่วไปจะเป็นลักษณะของที่ถูกปลุกเสกด้วยคาถาเวลาผ่านไปคาถาก็จะเสื่อมไปเองและฤทธิ์ของ ของก็จะหายไปเอง
เพราะฉะนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการปลูกเสกอยู่เรื่อยๆ หรือมีการสวดคาถาซ้ำลงไปที่ของ แต่มันจะมีของอีกประเภทหนึ่งที่มีการผูกเอาดวงจิตส่วนหนึ่ง
ของคนทำลงไปผ่านทางสิ่งของบางอย่างที่เป็นตัวแทนของคนที่ทำเช่น เส้นผม เล็บ อะไรก็จะได้ที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
เพราะโดยปกติจิตจะมีความผูกอยู่กับร่างอยู่แล้ว ถ้ามีวัตถุอะไรที่เกี่ยวกับร่าง ลงไปที่ของ มันก็จะทำให้จิตส่งไปที่ของนั้นได้ง่าย
และตราบใดก็ตามที่จิตที่เป็นผู้ทำของยังไม่สู่สลายไป ของก็ยังจะมีฤทธิ์อยู่คือของประเภทนี่เมื่อก่อนนี้เยอะ
ต้องบอกว่าโดยเมื่อก่อนการทำของก็มักจะเอาส่วนหนึ่งของร่างเอาไปรวมกับของทันทีเพื่อให้ของนั้นมีฤทธิ์อยู่ตลอด
มันเป็นเรื่องปกติที่เค้าจะทำกันที่นี่ในการที่เราจะเอาออก เราก็ต้องมีวิชาที่ทำให้ความเชื่อมโยงของจิตกับของ กับร่างออกจากกัน
ถึงจะเอามันออกมาได้และของบางอย่างเอาออกมาก็สลายไปเลย แต่ของบางอย่างเอาออกมามันเป็นตัวเป็นตน นำกลับไปใช้ได้
โดยวิชาที่พวกผมเรียนก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย คือ ถ้าเป็นจิตจะทำได้ วิธีการเราไปอยู่ข้างๆของที่เราจะให้มันออกมา เสร็จแล้วพูดหรือกระซิบ
แต่เป็นคาถา จริงๆคาถาผีแต่ละตนใช้คาถาไม่เหมือนกันหลักๆคาถาจะเป็นการอ้อนวอนรูปแบบหนึ่งคือการอ้อนวอนกัน
ถ้าเป็นของดีให้ออกมาประมาณบอกว่า มาอยู่ด้วยกันนะตรงนี้ไม่ดีแล้วตรงนี้แปดเปื้อนออกมาลองดูไหม มีที่อื่นอยู่ที่ดีกว่าที่สะอาดกว่า
อย่างงี้คือเอาของดีออก แต่ถ้าเป็นของไม่ดีเราต้องไล่ ไล่คือทำให้ของเกิดความตกใจ เกิดทำให้รู้สึกความสูญเสียทำให้พังเราเข้าไป
จะเผาแล้วไฟไหม้แล้ว หรือไม่ก็บอกว่าเจ้าของทิ้งแล้ว ไม่มีใครสนใจแล้วประมาณอย่างนี้นะครับ กระซิบที่ออกบางก็ออกมา
แต่บางทีไม่ออกแล้วแต่ของด้วย ถ้ายึดกับตัวมากก็จะไม่ค่อยออกแต่ถ้าหลายๆผีเข้าไปกระซิบนี่ออกง่ายนะ พอของไม่มีร่างให้ยึดของ
ก็จะเป็นอิสระนะ และถ้าของที่ผูกกับจิตก็กลับไปหาเจ้าของเลย
ถ้าเป็นของที่ผูกหรือปลุกเสกมาก็จะลอยขึ้น เราก็สามารถที่จะหยิบและก็พาไปที่อื่นที่ต้องการได้นะครับ การฝึกของผมไม่ได้มีอะไรมาก เราก็จะไปเล่นกับของที่อยู่ในบ้านของเฮียหมี (ไม่ได้เล่นกับใครหรอก) เรียกของออก และ เรียกของเข้า มันก็เป็นความสนุกของผีนะครับที่ทำกันในเวลาว่าง
>>>>>> ผมโดนเจ้าที่จับไปครับ
พวกผมเป็นผีความเป็นผีไม่จำเป็นที่จะต้องนอนจิตจะตื่นตลอดครับ โดยปกติถ้าจิตมีร่าง ร่างหลับ จิตจะหลับตาม(บางท่านนะครับ) แต่ถ้าไม่มีร่างจิตจะตื่นตลอดเวลาเพราะฉะนั้นกลางวันกลางคืนสำหรับผีไม่ค่อยจะมีผล สำหรับพวกเราก็จะมืดตลอดเวลาครับ ผมเองก็เป็นผีที่ไม่เข้าใจเรื่องของกลางวันกลางคืนเพราะว่าเกิดมาก็ตายเลย
แต่ก็เคยเห็นภาพผ่านทางดวงจิตของมนุษย์ว่ากลางวันเป็นอย่างไร รู้ว่ากลางวันมีแสง กลางคืนเป็นช่วงเวลาที่แสงไม่มีเลย
และรู้ว่ากลางคืนจิตใจของมนุษย์มันจะอ่อนหล้าทำให้เราเข้าหาได้ง่าย ด้วยการที่ผมไม่นอน ผมค่อยข้างอยู่ชินกับยามค่ำคืนและก็ใช้เวลา
อยู่กับจิตดวงอื่นมีทั้งพูดคุยและพากันไปโน้นไปนี่ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกิดเหตุว่า
ผมไปบ้านหลังหนึ่ง อยากจะลองวิชาที่ฝึกมา (เอาของเข้า เอาของออก) แต่ผมกับไปทำผิดที่ไปหน่อย ผมเลยถูกลงโทษ
พี่ไสวบอกว่า บ้านที่ไปทำเป็นบ้านของเพื่อนเฮียหมี ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทางบ้านเพื่อนเฮียหมี พี่ไสวก็บอกผมครับ
การทำแบบเนี่ยไม่ถูก ไม่ควร อย่าไปทำเองถ้าไม่มีใครสั่งผม และด้วยความคึกคะนอง
ผมก็ตอบกลับไป “ผมเป็นผีนะผมทำได้ใครจะมาห้ามอะไรผม”
พี่ไสวก็พูดว่า “เอ็ง พอทำได้นะเอ็งก็ไม่เห็นหัวคนอื่น เอ็งอาจจะเก่งกว่าคนอื่นหรือทำได้ไวแต่เอ็งอย่าลืมเอ็งก็คือผี
ผีไม่มีระดับไม่มีชนชั้นหรอก แต่ถ้าเอ็งไม่เคารพสิทธิ์ของผู้อื่น สิทธิ์ของผีตนอื่นแล้วเอ็งจะต้องเสียใจ”
“พี่คงว่าอะไรเอ็งไม่ได้ตอนนี้เพราะพี่คงว่าอะไรเอ็งไม่ได้ แต่ถ้าหากเกิดเรื่องมาแก้ไม่ได้ ก็อย่าลืมที่เคยเตือนไว้” ตอนนั้นผมก็ไม่ทันคิดครับ
ใครจะมาทำอะไรผมได้ละ ผมไม่กลัวหรอก พอครั้งต่อไปผมก็ไปที่บ้านหลังเดิมนะ เป็นที่เล่นของผมไปสะแล้ว พอผมไปเล่นรอบนี้
ผมเจอ"เจ้าที่" และเจ้าที่ก็รู้แล้วว่าผมมารอบที่แล้ว ทำให้บ้านวุ่นวายสิ่งที่เจอขึ้นกับผม ผมโดนดูด เราคุมจิตไม่ได้เลย และเข้าไปอยู่ในบ้านของเจ้าที่
บ้านหลังเล็กๆของเจ้าที่กลายเป็นบ้านหลังใหญ่ๆมากเลยแล้วผมก็ออกไม่ได้ ลอยออกไม่ได้ แว่บออกก็ไม่ได้ ผมติดอยู่ในนั้น
ตกใจและกลัวมากไปไหนก็ไม่ได้
ในบ้านหลังที่ไม่มีอะไร บ้านเรือนไม้ และมีคนแก่เข้ามา บอกว่า "เอ็งใช่ไหมที่มาปั่นป่วนเมื่อวาน"
"ใช่...ผมเอง" เค้าก็พูดว่า "เอ็งทำ เอ็งกล้ารับก็ดีนะ เป็นผีห้ามมาวุ่นวายกับบ้านอื่น ทำอย่างนี้มันรบกวนคน คนก็อยู่ส่วนคนผีก็อยู่ส่วนผีหาเรื่องกันแบบนี้ต้องโดนลงโทษ"
ตอนนั้นผมรู้สึกกลัวมาก และ ท่านก็พูดว่า "อยู่ในนี้ นั่งสำนึก สำนึกได้แล้วบอกด้วย" ผมก็คิดนะ ให้เราอยู่ทำอะไรเนี่ยะ ไปไหนก็ไม่ได้ครับ
ผมจำเวลาไม่ได้รู้สึกวันเวลาผ่านไปนานมา ผมก็เริ่มคิดถึงพี่ไสวพี่ยักษ์ เฮียหมี พี่แขก อยากจะไปมันก็ไปไม่ได้ ออกไม่ได้
ผมก็เริ่มกระวนกระวายจิตอ่อนหล้าผมไม่เคยรู้สึกอย่างงี้เลย ผมไปอยู่กลางบ้านเรือนไทยของเจ้าที่
ล้มตัวลงหมดแรง หลับไปแวบเดี๋ยวครับและตื่นมา เห็นเจ้าที่เดินทางบอกว่า"เย็นลงแล้วใช่ไหมตั้งจิตแล้วใช่ไหม รู้ตัวแล้วใช่ไหม"
ผมก็บอกว่า "ใช่ครับ ผมขอโทษจะไม่ทำอีก ถ้างั้นก็ออกไปได้แล้ว ไปในที่จากมา" จากนั้นผมก็ออกไปได้ ความรู้สึกที่ออกเหมือนท่านถีบกระเด็นออกมาจากบ้านเรือนไทย และผมก็ออกมามึนๆๆงงๆๆ ผมจำไม่ได้เลยนานเท่าไร
ผมก็ลอยกลับบ้าน พี่ไสวบอกว่า “โดนมาแล้วใช่ไหม” ผมก็บอกว่า “ก็โดนแล้วละ” พี่ไสวบอก “เออดีนะรอบนี้โดนไม่นานบางตนนะโดนแบบนี้นะหายไปเป็นปีนี่ไม่กี่เดือนนะ” นั้นละผมถึงรู้ว่าเวลาหายไปไวมาก เวลาที่จิตสลบมันเหมือนกับจิตแทบจะดับไปเลย ผมคิดนะถ้าเจ้าที่ไม่มาปลุก จิตผมดับไปแล้วแน่ๆ เหตุการณ์นั้นเป็นสิ่งที่ผมต้องระวังมากขึ้นเลย