จริงๆเรื่องนี้อยากเขียนนานแล้วผมไม่ได้มีโอกาสเขียนจริงๆจังๆสักที
พอดีได้เห็นดราม่าเรื่องการเลี้ยงลูกและการเคี่ยวเข็ญเด็กแบบผิดวิธีใน facebook ผมบ่อยๆ
เลยอยากจะแชร์ให้ทุกท่านได้รู้ว่าจริงๆเด็กๆเค้ามีความคิดแบบไหน
ขอเล่าbackground ของตัวเองเล็กน้อย ผมเองตอนนี้อายุ 27 ปี ขอพูดแบบอวยตัวเองเล็กน้อยว่าเป็นเด็กเรียนดีระดับTopของชั้นเสมอมา
เคยสอบเข้าโครงการ โอเลมปิกวิชาการได้ และสอบได้มหาลัยที่เค้าว่าดีที่สุดในประเทศนี้
ปัจจุบัน ทำธุรกิจส่วนตัวพร้อมกับกิจการที่บ้าน ด้วยธุรกิจและงานที่ทำค่อนข้างเจอคนหลายแบบ
ตั้งแต่จนระดับไม่มีอะไรจะกิน ไปจนถึงรวยระดับพันล้านหมื่นล้านอยู่ไม่น้อย ทั้งข้าราชการทั้ง CEO ดังนั้นผมจึงคิดว่าสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้
เขียนโดยปราศจากอคติใดๆ
ด้วยสังคมไทยเป็นสังคมที่ชอบถ่อมตัว อยู่ๆการจะบอกว่าตัวเองฉลาดในเมืองไทยคงโดนหมั่นไส้กันกระจุย(อาจจะรวมถึงกระทู้นี้ด้วยที่น่าหมั่นไส้)
แต่ผมอยากจะบอกทุกท่านไว้ก่อนว่า ลองอ่านแบบอย่าพึ่งหมั่นไส้ผมเลย แค่อยากให้พ่อๆแม่ๆทุกคนเข้าใจความคิดของเด็กที่โตมาแบบผมรู้สึกยังไง คิดอะไรบ้าง
ผมขอพูดตรงๆ ถ้าให้ผมตอบถามตัวเองว่าผมฉลาดมั้ย
ผมก็ตอบได้เลยว่า ผมคิดว่าตัวเองเก่ง และฉลาด (ถึงแม้จะเป็นความมั่นใจแบบผิดๆของผมก็เถอะ แต่ก็ต้องตอบแบบนี้จริงๆ)
แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะต้องเก่งกว่าใคร หรือผมต้องฉลาดกว่าใคร ผมคิดว่ามีคนที่เก่งกว่าผม และฉลาดกว่าผมอีกมากมาย
และมันน่าสนุกเหลือเกินที่จะได้พบคนเหล่านั้น ทุกครั้งที่เจอคนใหม่ๆ ผมคิดเสมอว่า เราพอมีอะไรที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้มั้ย
ผมจะสามารถอะไรเรียนรู้จากคนๆนี้ได้บ้าง มีมุมมองอีกมากที่ผมอยากจะรู้
เริ่มจากการให้คำนิยามของคำว่าฉลาดของผมก่อนละกัน
ในทั้งชีวิตส่วนตัวและการทำงาน ผมแบ่งคนออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ
1.คนธรรมดา - อันนี้คงไม่ต้องอธิบาย
2.คนเก่ง - คือคนที่สามารถเรียนรู้อะไรได้ลึกซึ้ง เข้าใจอะไรได้ในรายละเอียดปลีกย่อยได้อย่างดี รู้วิธีในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
และทำมันโดยใช้เวลาไม่นาน
3.คนฉลาด - คือคนที่ รู้ว่าตัวเองคือใคร ทำอะไรได้บ้าง ขอบเขตในความสามารถตัวเองอยู่ตรงไหน และรู้ว่าต้องทำยังไงเพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ในแบบที่ตัวเองต้องการ รู้ว่าวิธีคิดของความคิดคนอื่นๆว่าเป็นแบบไหน สามารถวาง Position ตัวเองในตำแหน่งที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และสุดท้ายคนฉลาดรู้วิธีใช้ทรัพยากรที่มีอยู่รอบตัว อย่างมีคุณค่าและเกิดมูลค่าสูงสุด(ยกตัวอย่างเช่นการรู้จักใช้คน,การบริหารเวลา)
จากประสบการณ์ของผม คนเก่งน้อยมากที่จะเป็นคนฉลาด แต่แทบจะ100%ของคนฉลาดคือคนเก่ง
หรืออาจะพูดแบบคณิตหน่อยๆว่า คนฉลาดเป็น subset ของคนเก่ง
หลายๆคนคงเคยเจอใช่มั้ยครับ สมัยที่เราเรียน คนที่ได้เกรดดีๆ จะมีราวๆ3แบบ คือ
1.เก่ง+ขยัน = คะแนนพุ่ง
2.เก่งมาก+ขี้เกียจ = คะแนนธรรมดาหรืออาจจะดีระดับไปทางบนๆ
3.ขยันล้วนๆ(สายถึก) = คะแนนก็พุ่ง
ในมหาลัยและในระบบการศึกษาเมืองไทย ส่วนใหญ่เน้นท่องจำ จึงไม่แปลกเลยหากคนที่ได้เกรดดีๆส่วนใหญ่จะเป็นแบบที่ 3
ทีนี้ลองนึกภาพตัวเราสมัยเรียนอีกที มีคนที่เราว่าเค้าฉลาดๆอยู่รอบตัวบ้างมั้ย ? อาจจะวัดยากซักหน่อยเพราะไม่เคยเห็นชีวิตกันมาก
งั้นถามอีกที ว่าทำไมบางคนเรียนเก่งมากๆ(ฉลาดรึเปล่าอีกเรื่อง) ถึงได้เกรดแบบธรรมดาค่อนข้างจะเยอะล่ะ ?
คำตอบง่ายมาก เพราะคนพวกนั้นไม่รู้จะเอาเกรดเยอะๆขนาดนั้นไปทำไม เค้าไม่ได้รู้สึกว่าเค้าสนใจเรื่องเกรดเลย เอาแค่พอผ่านก็พอ
เท่าที่เห็นมา คนจำพวกนี้ เกือบครึ่งพอมาทำงาน มักจะกลายเป็นคนฉลาด(หรือจริงๆอาจจะฉลาดอยู่แล้วนั่นแหละ)
โอเคทีนี้ทุกท่านคงพอเข้าใจนิยามของความเก่ง-ฉลาดของผมแล้ว ทีนี้เรามาดูกันว่า เราจะเลี้ยงลูกของเรายังไง ถ้าเราอยากให้เค้าฉลาด
ผมขออิงตัวเอง จากวิธีการเลี้ยงลูกของม๊าผมที่เลี้ยงผมกับน้องมาได้มาจนถึงจุดนี้ ผมคิดว่าม๊าของผมฉลาดมากๆในการเลี้ยงผมกับน้องมา
ผมจึงอยากแบ่งปันให้คนอื่นได้รับรู้
ผมเป็นเด็กที่กินนมแม่จนถึง 3 ขวบ แบบที่ไม่เคยแตะนมผงเลย มาเริ่มกินนมผงตอนก่อนจะเข้าอนุบาล และกินเรื่อยมาจนถึง ป.3
ตอนช่วง2-6ขวบ (ตอนนั้นผมก็จำความได้แล้ว)ในวัยอนุบาล ม๊าไม่ทำอะไรไม่เคยเคี่ยวเข็ญให้ลูกชาย เรียนพิเศษอะไรทั้งนั้น
สิ่งที่ป๊ากับม๊าทำให้ผมมากๆคือ การที่ให้ผมได้ "เล่น" มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เล่นอย่างเดียวเลย
ของเล่นที่ผมเล่นบ่อยที่สุดคือ LEGO และพวกบรรดาของเล่นอะไรก็ได้ที่มีมอเตอร์ข้างใน
ของเล่นพวกนี้โดยเฉพาะเลโก้ สามารถสร้างความคิดสร้างสรรค์ให้ผมได้ไม่รู้จักจบสิ้น
แรกๆผมก็เลียนแบบพยายามจะต่อให้ได้ตามที่แบบในภาพข้างๆถังใส่ตัวต่อ เป็นวัวบ้าง คนบ้าง พอหลังๆโตขึ้นมาเริ่มดูการ์ตูน กล้วยหอมจอมซน
หนูดีมีเรื่องเล่า เจ้าขุนทอง แล้วก็การ์ตูนช่อง 9 พวกหุ่นยนต์ โดราเอมอน ดรากอนบอล ผมก็เริ่มจะเลียนแบบ และเริ่มจะจินตนาการสร้างภาพในหัวขึ้นมา
ต่อเลโกเป็นสนามประลองยุทธ์ เป็นชั้นๆมีบันไดไปเรื่อยๆ แล้วเอาตัวละครยางที่ชอบแถมในขนมในสมัยนั้นมาสู้กันเป็นด่านๆ
พวกของเล่นที่มีมอเตอร์ข้างใน ผมก็จะชอบสงสัยอยู่เสมอและคอยถามป๊าเสมอว่าทำไมมันมีชีวิตรึเปล่า ถ้ามันตาย(หมายถึงพัง)มันจะกลับมาได้รึเปล่า
ตรงนี้สำคัญมากๆเลย ป๊าผมซื้อไขควงแบบเด็กๆมาไขให้ผมดูว่าข้างในคืออะไร เรียกว่าอะไร และทำงานแบบไหน(หลังจากนั้นของเล่นทุกชิ้นที่มีน็อตก็ไม่รอดผมซักชิ้น แถมบางชิ้นถอดแล้วใส่กลับมาแล้วน็อตเหลือด้วยซ้ำ 555+)
และเรื่องสุดท้ายในชีวิตช่วงนี้คือ ม๊าซื้อนิทานมาให้ผมเยอะมากๆ อ่านให้ผมฟังก่อนนอนทุกคืน เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง
พยายามแทรกคติสอนใจอยู่เสมอ พอผมเริ่มจะอ่านได้บ้างก็ให้ผมอ่านให้ฟังม๊าทำให้ผมได้รู้ว่า อ่านจะถูกจะผิดไม่เป็นไร ขอแค่ได้อ่าน
ช่วงอายุ 6-13ขวบ
ช่วงนี้เป็นช่วง ป.1-6 ม๊าค่อนข้างเริ่มเคี่ยวเข็ญให้ผมเข้าใจถึงตัวเลข เริ่มสอน(ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงให้เห็นโดยที่ไม่ใช้ปากพูด)ว่าเราควรวางตัวกับสถานการณ์ต่างๆแบบไหน เจอผู้ใหญ่ต้องทำตัวยังไง พาผมไปในหลายๆสถานที่ให้ผมได้เห็นโลกค่อนข้างมาก คอยตรวจการบ้านเสมอ คอยสอนให้รู้ว่าเราต้องรับผิดชอบตัวเองอย่างง่ายๆเช่นการล้างจานที่เรากินเอง เก็บที่นอนเอง และช่วงนี้เองที่ม๊าสอนให้รู้ถึงการอดออม ม๊าจะให้ผมกับน้องแข่งกันเก็บเงินใส่ออมสิน ใครเหลือเงินเก็บหลังจากการไปโรงเรียนมากกว่า ม๊าจะเบิ้ลเงินให้เป็นสองเท่าแล้วไปฝากธนาคารกัน (น้องแพ้ผมตลอดแต่ก็ได้เบิ้ลเหมือนกันทุกที!)
ช่วง 13ขวบ+
ช่วงนี้ม๊าไม่เคยสนใจเรื่องการเรียนของผมแล้ว(อาจจะเป็นเพราะผมเรียนดีมาตลอดด้วย)ช่วงนี้ม๊าจะคอยสอนเรื่องการใช้ชีวิตมากขึ้น พาไปเจอสถานการณ์ที่จริงจังมากขึ้น เช่นพาไปคุยงานแบบจริงจัง พาไปสัมผัสกับชีวิตของคนที่ลำบากมากๆ และเริ่มสอนให้รู้จักการค้าขายแบบเต็มรูปแบบ(อันนี้คงแล้วแต่คน)
นั่นคือชีวิตผมในวัยเด็กหลายๆคนอาจจะยังจับใจความไม่ถูกแต่ผมจะสรุปให้ฟัง โดยเน้นไปที่การเรียนก่อนละกันเนอะ
1.การที่ลูกของคุณจะเรียนเก่งหรือไม่เก่งนั้น เป็นคนละเรื่องกับการที่ลูกของคุณเป็นเด็กฉลาด เด็กดี และมีวุฒิภาวะ มี EQ ดังนั้นการที่พวกคุณไปนั่งให้ลูกคุณไปเรียนพิเศษเพียงเพราะกลัวจะไม่ทันเด็กคนอื่นเป็นความคิดที่เลวร้ายมาก ผมไม่เคยต้องไปเรียนพิเศษแบบจริงจัง(รวมถึงเพื่อนผมหลายๆคนด้วย ผมก็ยังสามารถสอบได้คะแนน TOP ของระดับชั้นทุกปี สอบเข้ามหาลัยที่เค้าว่าดีที่สุดในประเทศนี้ได้ อยู่ดี
2.การปลูกฝังให้รักการอ่านตั้งแต่เด็กๆ มีความสำคัญมากๆ ผมยกให้เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะผมคงไม่มีทางคิดได้แบบทุกวันนี้ รู้ได้มากถึงทุกวันนี้หากผมไม่รักการอ่าน การซื้อนิทานอะไรก็ได้ให้ลุกอ่าน หรืออ่านให้ลุกฟังทุกวันก่อนนอนผมคิดว่ามันช่วยได้ดีมากๆ หนังสือที่บ้านผมมีเยอะมากๆและส่วนใหญ่ไม่ใช่หนังสือเรียน และผมคิดว่าคนที่ผมคิดว่าเก่ง+ฉลาดทั้งเพื่อนๆและคนรอบตัว 90% รักการอ่าน เพราะยิ่งอ่านเราก็เหมือนได้รับประสบการณ์บางอย่างที่ผู้เขียนส่งมา โดยที่เราไม่ต้องไปเจอเอง และสามารถคิดวิเคราะห์ได้ตามวัยของเรา
3.อย่าปล่อยให้เด็กไม่เข้าใจอะไรสะสมอยู่แบบนั้น ต้องพยายามให้ลูก "เข้าใจ" ในบทเรียนต่างๆไม่ใช่การจำ
คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ตอบโจทย์ที่สุดในการเป็นคนที่มีตรรกะหนักแน่น เชื่อมั่นในตัวเอง สร้างสรรค์ และทำให้มีความคิดที่เป็นระบบไม่มั่ว
ผมไม่แปลกใจที่เด็กไทยส่วนใหญ่ทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้ไม่ดีเพราะว่า พวกเด็กเหล่านั้นไม่รู้วิธีคิดอย่างเป็นระบบ คณิตศาสตร์สอนให้แก้ไขปัญหาโดยมีเงื่อนไขที่ชัดเจน ถ้าเราทำตามเงื่อนไขที่ว่านั่นได้ คณิตศาสตร์ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรแม้แต่น้อย เพียงแต่วิธีการแก้ไขโจทย์ปัญหาข้อเดียวกันของคณิตศาสตร์ ก็สามารถทำได้เป็นพันๆวิธี คนทั่วไปมองว่ามันยากเพราะไม่ "เข้าใจ" วิธีการคิดของมันตั้งแต่แรกพอไม่เข้าใจสะสมกันมากๆเข้าก็พาลทำให้ไม่ชอบ ดังนั้นการทำให้ลูกของเราชอบคณิตศาสตร์ ทำได้ง่ายๆแค่เพียง อย่าปล่อยให้ลูกไม่เข้าใจสะสมอยู่แบบนั้น (จริงๆเรื่องนี้ก็ใช้กับวิชาอื่นๆได้)
4.สอนให้เค้ารู้จักชีวิตอย่างมีความสุข
พาเค้าไปเห็นโลกต่างๆ สอนเค้าในทุกๆแง่มุม พยายามสอนเค้าเสมอว่า ไม่มีอะไร "ถูก100%" และไม่มีอะไร "ผิด100%" อย่าสอนให้เค้าเป็นคนแบ่งปัญหาออกเป็น 2 ฝ่ายที่มีแค่ ถูกหรือผิด
ขั้นตอนนี้ผมว่ายากและจำเป็นมากที่สุด และวิธีการสอนแต่ละคนคงไม่มีทางเหมือนกันตามไปแต่ละสภาพแวดล้อมของแต่ละครอบครัว
5.อย่าเคี่ยวเข็ญ และคิดแทนลูกเด็ดขาด
ทุกสิ่งทุกอย่างผมคิดว่า คุณควรรับฟังว่าอะไรก็ point ของลูก ลูกต้องการอะไร และให้คำปรึกษาว่า ป๊าคิดแบบนี้มากกว่านะ ม๊าคิดแบบนี้มากกว่านะ
นานๆไปลูกมีเรื่องอะไรก็จะมาบอกคุณทุกเรื่อง เพราเค้าเข้าใจว่าเค้าสามารถคุยกับคุณในเรื่องไร้สาระของเค้าได้
ทั้งหมดที่ผมพิมพ์คือวิธีการเลี้ยงลูกของม๊าที่เลี้ยงผมมาตลอดคิดว่าหลายๆคนน่าจะเอาไปปรับใช้ได้บ้าง
**************************
แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดของการเลี้ยงคนๆนึงขึ้นมาให้เป็นคนได้
ไม่ว่าจะฉลาดไม่ฉลาดหรือเป็นยังไงก็ตามคือการทำให้เค้าเป็นคนดี มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้อื่น
**************************
ข้อนี้สำคัญมากจริงๆการเลี้ยงลูกด้วยความรักที่ถูกทางจำเป็นมากๆ
ผมอาจจะโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น ป๊ากับม๊ารักกันมากๆ(ถึงแม้ตอนนี้ป๊าตายไป 10ปีแล้ว ม๊าก็ยังรักป๊าคิดถึงป๊าอยู่เลย)
หลายๆคนอาจจะคิดว่าที่บ้านผมมีฐานะดีหรือร่ำรวยเลยไม่มีปัญหาอะไรให้กังวลหรือเปล่าถึงพูดแบบนี้
แต่ผมอยากจะบอกเรื่องจริงเรื่องนึงว่า
ในวันที่ผมคิดว่าผมมีความสุขที่สุดในชีวิต
วันนั้นคือวันที่ครอบครัวผมถูกฟ้องล้มละลาย ไม่มีบ้านจะอยู่ ไม่มีข้าวจะกิน
แต่วันนั้นทุกคน "รักกัน" มากที่สุด
ผมขออวยพรให้ทุกท่านที่มีลูก หรือพึ่งแต่งงาน หรือมีแฟน ขอให้ยังรักกันมากๆในวันที่สถานการณ์เลวร้ายของชีวิตมาถึง
เชื่อเถอะครับว่าความรักในวันแบบนั้น ต่อให้คุณเอาอะไรใดๆในโลก มาแลก
คุณก็ไม่ยอม
ขอให้ครอบครัวมีความสุขกันทุกท่านครับ
ขอแชร์วิธีเลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นคนฉลาด
พอดีได้เห็นดราม่าเรื่องการเลี้ยงลูกและการเคี่ยวเข็ญเด็กแบบผิดวิธีใน facebook ผมบ่อยๆ
เลยอยากจะแชร์ให้ทุกท่านได้รู้ว่าจริงๆเด็กๆเค้ามีความคิดแบบไหน
ขอเล่าbackground ของตัวเองเล็กน้อย ผมเองตอนนี้อายุ 27 ปี ขอพูดแบบอวยตัวเองเล็กน้อยว่าเป็นเด็กเรียนดีระดับTopของชั้นเสมอมา
เคยสอบเข้าโครงการ โอเลมปิกวิชาการได้ และสอบได้มหาลัยที่เค้าว่าดีที่สุดในประเทศนี้
ปัจจุบัน ทำธุรกิจส่วนตัวพร้อมกับกิจการที่บ้าน ด้วยธุรกิจและงานที่ทำค่อนข้างเจอคนหลายแบบ
ตั้งแต่จนระดับไม่มีอะไรจะกิน ไปจนถึงรวยระดับพันล้านหมื่นล้านอยู่ไม่น้อย ทั้งข้าราชการทั้ง CEO ดังนั้นผมจึงคิดว่าสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้
เขียนโดยปราศจากอคติใดๆ
ด้วยสังคมไทยเป็นสังคมที่ชอบถ่อมตัว อยู่ๆการจะบอกว่าตัวเองฉลาดในเมืองไทยคงโดนหมั่นไส้กันกระจุย(อาจจะรวมถึงกระทู้นี้ด้วยที่น่าหมั่นไส้)
แต่ผมอยากจะบอกทุกท่านไว้ก่อนว่า ลองอ่านแบบอย่าพึ่งหมั่นไส้ผมเลย แค่อยากให้พ่อๆแม่ๆทุกคนเข้าใจความคิดของเด็กที่โตมาแบบผมรู้สึกยังไง คิดอะไรบ้าง
ผมขอพูดตรงๆ ถ้าให้ผมตอบถามตัวเองว่าผมฉลาดมั้ย
ผมก็ตอบได้เลยว่า ผมคิดว่าตัวเองเก่ง และฉลาด (ถึงแม้จะเป็นความมั่นใจแบบผิดๆของผมก็เถอะ แต่ก็ต้องตอบแบบนี้จริงๆ)
แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะต้องเก่งกว่าใคร หรือผมต้องฉลาดกว่าใคร ผมคิดว่ามีคนที่เก่งกว่าผม และฉลาดกว่าผมอีกมากมาย
และมันน่าสนุกเหลือเกินที่จะได้พบคนเหล่านั้น ทุกครั้งที่เจอคนใหม่ๆ ผมคิดเสมอว่า เราพอมีอะไรที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้มั้ย
ผมจะสามารถอะไรเรียนรู้จากคนๆนี้ได้บ้าง มีมุมมองอีกมากที่ผมอยากจะรู้
เริ่มจากการให้คำนิยามของคำว่าฉลาดของผมก่อนละกัน
ในทั้งชีวิตส่วนตัวและการทำงาน ผมแบ่งคนออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ
1.คนธรรมดา - อันนี้คงไม่ต้องอธิบาย
2.คนเก่ง - คือคนที่สามารถเรียนรู้อะไรได้ลึกซึ้ง เข้าใจอะไรได้ในรายละเอียดปลีกย่อยได้อย่างดี รู้วิธีในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
และทำมันโดยใช้เวลาไม่นาน
3.คนฉลาด - คือคนที่ รู้ว่าตัวเองคือใคร ทำอะไรได้บ้าง ขอบเขตในความสามารถตัวเองอยู่ตรงไหน และรู้ว่าต้องทำยังไงเพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ในแบบที่ตัวเองต้องการ รู้ว่าวิธีคิดของความคิดคนอื่นๆว่าเป็นแบบไหน สามารถวาง Position ตัวเองในตำแหน่งที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และสุดท้ายคนฉลาดรู้วิธีใช้ทรัพยากรที่มีอยู่รอบตัว อย่างมีคุณค่าและเกิดมูลค่าสูงสุด(ยกตัวอย่างเช่นการรู้จักใช้คน,การบริหารเวลา)
จากประสบการณ์ของผม คนเก่งน้อยมากที่จะเป็นคนฉลาด แต่แทบจะ100%ของคนฉลาดคือคนเก่ง
หรืออาจะพูดแบบคณิตหน่อยๆว่า คนฉลาดเป็น subset ของคนเก่ง
หลายๆคนคงเคยเจอใช่มั้ยครับ สมัยที่เราเรียน คนที่ได้เกรดดีๆ จะมีราวๆ3แบบ คือ
1.เก่ง+ขยัน = คะแนนพุ่ง
2.เก่งมาก+ขี้เกียจ = คะแนนธรรมดาหรืออาจจะดีระดับไปทางบนๆ
3.ขยันล้วนๆ(สายถึก) = คะแนนก็พุ่ง
ในมหาลัยและในระบบการศึกษาเมืองไทย ส่วนใหญ่เน้นท่องจำ จึงไม่แปลกเลยหากคนที่ได้เกรดดีๆส่วนใหญ่จะเป็นแบบที่ 3
ทีนี้ลองนึกภาพตัวเราสมัยเรียนอีกที มีคนที่เราว่าเค้าฉลาดๆอยู่รอบตัวบ้างมั้ย ? อาจจะวัดยากซักหน่อยเพราะไม่เคยเห็นชีวิตกันมาก
งั้นถามอีกที ว่าทำไมบางคนเรียนเก่งมากๆ(ฉลาดรึเปล่าอีกเรื่อง) ถึงได้เกรดแบบธรรมดาค่อนข้างจะเยอะล่ะ ?
คำตอบง่ายมาก เพราะคนพวกนั้นไม่รู้จะเอาเกรดเยอะๆขนาดนั้นไปทำไม เค้าไม่ได้รู้สึกว่าเค้าสนใจเรื่องเกรดเลย เอาแค่พอผ่านก็พอ
เท่าที่เห็นมา คนจำพวกนี้ เกือบครึ่งพอมาทำงาน มักจะกลายเป็นคนฉลาด(หรือจริงๆอาจจะฉลาดอยู่แล้วนั่นแหละ)
โอเคทีนี้ทุกท่านคงพอเข้าใจนิยามของความเก่ง-ฉลาดของผมแล้ว ทีนี้เรามาดูกันว่า เราจะเลี้ยงลูกของเรายังไง ถ้าเราอยากให้เค้าฉลาด
ผมขออิงตัวเอง จากวิธีการเลี้ยงลูกของม๊าผมที่เลี้ยงผมกับน้องมาได้มาจนถึงจุดนี้ ผมคิดว่าม๊าของผมฉลาดมากๆในการเลี้ยงผมกับน้องมา
ผมจึงอยากแบ่งปันให้คนอื่นได้รับรู้
ผมเป็นเด็กที่กินนมแม่จนถึง 3 ขวบ แบบที่ไม่เคยแตะนมผงเลย มาเริ่มกินนมผงตอนก่อนจะเข้าอนุบาล และกินเรื่อยมาจนถึง ป.3
ตอนช่วง2-6ขวบ (ตอนนั้นผมก็จำความได้แล้ว)ในวัยอนุบาล ม๊าไม่ทำอะไรไม่เคยเคี่ยวเข็ญให้ลูกชาย เรียนพิเศษอะไรทั้งนั้น
สิ่งที่ป๊ากับม๊าทำให้ผมมากๆคือ การที่ให้ผมได้ "เล่น" มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เล่นอย่างเดียวเลย
ของเล่นที่ผมเล่นบ่อยที่สุดคือ LEGO และพวกบรรดาของเล่นอะไรก็ได้ที่มีมอเตอร์ข้างใน
ของเล่นพวกนี้โดยเฉพาะเลโก้ สามารถสร้างความคิดสร้างสรรค์ให้ผมได้ไม่รู้จักจบสิ้น
แรกๆผมก็เลียนแบบพยายามจะต่อให้ได้ตามที่แบบในภาพข้างๆถังใส่ตัวต่อ เป็นวัวบ้าง คนบ้าง พอหลังๆโตขึ้นมาเริ่มดูการ์ตูน กล้วยหอมจอมซน
หนูดีมีเรื่องเล่า เจ้าขุนทอง แล้วก็การ์ตูนช่อง 9 พวกหุ่นยนต์ โดราเอมอน ดรากอนบอล ผมก็เริ่มจะเลียนแบบ และเริ่มจะจินตนาการสร้างภาพในหัวขึ้นมา
ต่อเลโกเป็นสนามประลองยุทธ์ เป็นชั้นๆมีบันไดไปเรื่อยๆ แล้วเอาตัวละครยางที่ชอบแถมในขนมในสมัยนั้นมาสู้กันเป็นด่านๆ
พวกของเล่นที่มีมอเตอร์ข้างใน ผมก็จะชอบสงสัยอยู่เสมอและคอยถามป๊าเสมอว่าทำไมมันมีชีวิตรึเปล่า ถ้ามันตาย(หมายถึงพัง)มันจะกลับมาได้รึเปล่า
ตรงนี้สำคัญมากๆเลย ป๊าผมซื้อไขควงแบบเด็กๆมาไขให้ผมดูว่าข้างในคืออะไร เรียกว่าอะไร และทำงานแบบไหน(หลังจากนั้นของเล่นทุกชิ้นที่มีน็อตก็ไม่รอดผมซักชิ้น แถมบางชิ้นถอดแล้วใส่กลับมาแล้วน็อตเหลือด้วยซ้ำ 555+)
และเรื่องสุดท้ายในชีวิตช่วงนี้คือ ม๊าซื้อนิทานมาให้ผมเยอะมากๆ อ่านให้ผมฟังก่อนนอนทุกคืน เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง
พยายามแทรกคติสอนใจอยู่เสมอ พอผมเริ่มจะอ่านได้บ้างก็ให้ผมอ่านให้ฟังม๊าทำให้ผมได้รู้ว่า อ่านจะถูกจะผิดไม่เป็นไร ขอแค่ได้อ่าน
ช่วงอายุ 6-13ขวบ
ช่วงนี้เป็นช่วง ป.1-6 ม๊าค่อนข้างเริ่มเคี่ยวเข็ญให้ผมเข้าใจถึงตัวเลข เริ่มสอน(ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงให้เห็นโดยที่ไม่ใช้ปากพูด)ว่าเราควรวางตัวกับสถานการณ์ต่างๆแบบไหน เจอผู้ใหญ่ต้องทำตัวยังไง พาผมไปในหลายๆสถานที่ให้ผมได้เห็นโลกค่อนข้างมาก คอยตรวจการบ้านเสมอ คอยสอนให้รู้ว่าเราต้องรับผิดชอบตัวเองอย่างง่ายๆเช่นการล้างจานที่เรากินเอง เก็บที่นอนเอง และช่วงนี้เองที่ม๊าสอนให้รู้ถึงการอดออม ม๊าจะให้ผมกับน้องแข่งกันเก็บเงินใส่ออมสิน ใครเหลือเงินเก็บหลังจากการไปโรงเรียนมากกว่า ม๊าจะเบิ้ลเงินให้เป็นสองเท่าแล้วไปฝากธนาคารกัน (น้องแพ้ผมตลอดแต่ก็ได้เบิ้ลเหมือนกันทุกที!)
ช่วง 13ขวบ+
ช่วงนี้ม๊าไม่เคยสนใจเรื่องการเรียนของผมแล้ว(อาจจะเป็นเพราะผมเรียนดีมาตลอดด้วย)ช่วงนี้ม๊าจะคอยสอนเรื่องการใช้ชีวิตมากขึ้น พาไปเจอสถานการณ์ที่จริงจังมากขึ้น เช่นพาไปคุยงานแบบจริงจัง พาไปสัมผัสกับชีวิตของคนที่ลำบากมากๆ และเริ่มสอนให้รู้จักการค้าขายแบบเต็มรูปแบบ(อันนี้คงแล้วแต่คน)
นั่นคือชีวิตผมในวัยเด็กหลายๆคนอาจจะยังจับใจความไม่ถูกแต่ผมจะสรุปให้ฟัง โดยเน้นไปที่การเรียนก่อนละกันเนอะ
1.การที่ลูกของคุณจะเรียนเก่งหรือไม่เก่งนั้น เป็นคนละเรื่องกับการที่ลูกของคุณเป็นเด็กฉลาด เด็กดี และมีวุฒิภาวะ มี EQ ดังนั้นการที่พวกคุณไปนั่งให้ลูกคุณไปเรียนพิเศษเพียงเพราะกลัวจะไม่ทันเด็กคนอื่นเป็นความคิดที่เลวร้ายมาก ผมไม่เคยต้องไปเรียนพิเศษแบบจริงจัง(รวมถึงเพื่อนผมหลายๆคนด้วย ผมก็ยังสามารถสอบได้คะแนน TOP ของระดับชั้นทุกปี สอบเข้ามหาลัยที่เค้าว่าดีที่สุดในประเทศนี้ได้ อยู่ดี
2.การปลูกฝังให้รักการอ่านตั้งแต่เด็กๆ มีความสำคัญมากๆ ผมยกให้เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะผมคงไม่มีทางคิดได้แบบทุกวันนี้ รู้ได้มากถึงทุกวันนี้หากผมไม่รักการอ่าน การซื้อนิทานอะไรก็ได้ให้ลุกอ่าน หรืออ่านให้ลุกฟังทุกวันก่อนนอนผมคิดว่ามันช่วยได้ดีมากๆ หนังสือที่บ้านผมมีเยอะมากๆและส่วนใหญ่ไม่ใช่หนังสือเรียน และผมคิดว่าคนที่ผมคิดว่าเก่ง+ฉลาดทั้งเพื่อนๆและคนรอบตัว 90% รักการอ่าน เพราะยิ่งอ่านเราก็เหมือนได้รับประสบการณ์บางอย่างที่ผู้เขียนส่งมา โดยที่เราไม่ต้องไปเจอเอง และสามารถคิดวิเคราะห์ได้ตามวัยของเรา
3.อย่าปล่อยให้เด็กไม่เข้าใจอะไรสะสมอยู่แบบนั้น ต้องพยายามให้ลูก "เข้าใจ" ในบทเรียนต่างๆไม่ใช่การจำ
คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ตอบโจทย์ที่สุดในการเป็นคนที่มีตรรกะหนักแน่น เชื่อมั่นในตัวเอง สร้างสรรค์ และทำให้มีความคิดที่เป็นระบบไม่มั่ว
ผมไม่แปลกใจที่เด็กไทยส่วนใหญ่ทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้ไม่ดีเพราะว่า พวกเด็กเหล่านั้นไม่รู้วิธีคิดอย่างเป็นระบบ คณิตศาสตร์สอนให้แก้ไขปัญหาโดยมีเงื่อนไขที่ชัดเจน ถ้าเราทำตามเงื่อนไขที่ว่านั่นได้ คณิตศาสตร์ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรแม้แต่น้อย เพียงแต่วิธีการแก้ไขโจทย์ปัญหาข้อเดียวกันของคณิตศาสตร์ ก็สามารถทำได้เป็นพันๆวิธี คนทั่วไปมองว่ามันยากเพราะไม่ "เข้าใจ" วิธีการคิดของมันตั้งแต่แรกพอไม่เข้าใจสะสมกันมากๆเข้าก็พาลทำให้ไม่ชอบ ดังนั้นการทำให้ลูกของเราชอบคณิตศาสตร์ ทำได้ง่ายๆแค่เพียง อย่าปล่อยให้ลูกไม่เข้าใจสะสมอยู่แบบนั้น (จริงๆเรื่องนี้ก็ใช้กับวิชาอื่นๆได้)
4.สอนให้เค้ารู้จักชีวิตอย่างมีความสุข
พาเค้าไปเห็นโลกต่างๆ สอนเค้าในทุกๆแง่มุม พยายามสอนเค้าเสมอว่า ไม่มีอะไร "ถูก100%" และไม่มีอะไร "ผิด100%" อย่าสอนให้เค้าเป็นคนแบ่งปัญหาออกเป็น 2 ฝ่ายที่มีแค่ ถูกหรือผิด
ขั้นตอนนี้ผมว่ายากและจำเป็นมากที่สุด และวิธีการสอนแต่ละคนคงไม่มีทางเหมือนกันตามไปแต่ละสภาพแวดล้อมของแต่ละครอบครัว
5.อย่าเคี่ยวเข็ญ และคิดแทนลูกเด็ดขาด
ทุกสิ่งทุกอย่างผมคิดว่า คุณควรรับฟังว่าอะไรก็ point ของลูก ลูกต้องการอะไร และให้คำปรึกษาว่า ป๊าคิดแบบนี้มากกว่านะ ม๊าคิดแบบนี้มากกว่านะ
นานๆไปลูกมีเรื่องอะไรก็จะมาบอกคุณทุกเรื่อง เพราเค้าเข้าใจว่าเค้าสามารถคุยกับคุณในเรื่องไร้สาระของเค้าได้
ทั้งหมดที่ผมพิมพ์คือวิธีการเลี้ยงลูกของม๊าที่เลี้ยงผมมาตลอดคิดว่าหลายๆคนน่าจะเอาไปปรับใช้ได้บ้าง
**************************
แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดของการเลี้ยงคนๆนึงขึ้นมาให้เป็นคนได้
ไม่ว่าจะฉลาดไม่ฉลาดหรือเป็นยังไงก็ตามคือการทำให้เค้าเป็นคนดี มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้อื่น
**************************
ข้อนี้สำคัญมากจริงๆการเลี้ยงลูกด้วยความรักที่ถูกทางจำเป็นมากๆ
ผมอาจจะโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น ป๊ากับม๊ารักกันมากๆ(ถึงแม้ตอนนี้ป๊าตายไป 10ปีแล้ว ม๊าก็ยังรักป๊าคิดถึงป๊าอยู่เลย)
หลายๆคนอาจจะคิดว่าที่บ้านผมมีฐานะดีหรือร่ำรวยเลยไม่มีปัญหาอะไรให้กังวลหรือเปล่าถึงพูดแบบนี้
แต่ผมอยากจะบอกเรื่องจริงเรื่องนึงว่า
ในวันที่ผมคิดว่าผมมีความสุขที่สุดในชีวิต
วันนั้นคือวันที่ครอบครัวผมถูกฟ้องล้มละลาย ไม่มีบ้านจะอยู่ ไม่มีข้าวจะกิน
แต่วันนั้นทุกคน "รักกัน" มากที่สุด
ผมขออวยพรให้ทุกท่านที่มีลูก หรือพึ่งแต่งงาน หรือมีแฟน ขอให้ยังรักกันมากๆในวันที่สถานการณ์เลวร้ายของชีวิตมาถึง
เชื่อเถอะครับว่าความรักในวันแบบนั้น ต่อให้คุณเอาอะไรใดๆในโลก มาแลก
คุณก็ไม่ยอม
ขอให้ครอบครัวมีความสุขกันทุกท่านครับ