สวัสดีค่ะทุกคน เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วนึกขึ้นได้เลยอยากเอามาแชร์
ตอนนั้นเราก็เป็นคนหนึ่งที่ก็อยากจะมีโมเมนท์ออกไปเที่ยวไกลๆกับเพื่อนบ้าง สุดท้ายกลุ่มเรามาลงตัวกันที่ไปฮ่องกง ซึ่งเป็นทริปไปต่างประเทศด้วยกันครั้งแรกของพวกเรา เราจองโรงแรมผ่านเว็บ A (ใช้ชื่อย่อละกัน) โดยได้ตั๋วของสายการบิน Hongkong Airline ในราคา ไปกลับ 5,000 กว่าบาท และแน่นอนด้วยความเป็นตั๋วโปร ช่วงเวลาบินจึงไม่ค่อยสวยนัก แต่ไม่เป็นไร เรากับเพื่อนวางแผนไว้เบ็ดเสร็จว่าบินไปถึงจะนอนที่สนามบินฮ่องกง 1 คืน เช้ามาจะจับรถเที่ยวแรกไปทิ้งกระเป๋าไว้ที่โรงแรมแถวจิมซาจุ่ย แล้วค่อยออกไปเที่ยว สวยๆ ชิลๆ เก๋ๆ ตามโปรแกรมที่วางไว้ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด
ผิดพลาด!!!
ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สวยตามแพลน เราได้นอนสนามบินฮ่องกง 1 คืนสมใจ และนั่งรถบัสสาย A21รอบเช้าสุด ไปลงย่านจิมซาจุ่ย เราถึงหน้าตึก Chung King Mansion ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ซึ่งในนั้นมีโฮสเทลเจ้าที่เราจองไว้ ขอเกริ่นก่อนว่าโฮสเทลในฮ่องกงส่วนใหญ่ จะมีลักษณะเป็นห้องใหญ่ แล้วข้างในซอยเป็นห้องเล็กๆ เข้าไปในห้องแล้วบางที่อาจมีล๊อบบี้เล็กๆอยู่ข้างหน้า ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนจะเข้าไปได้ เราต้องผ่านประตูโฮสเทลที่มีการล็อครหัสผ่านเหมือนประตูบ้านตามคอนโดทั่วไปก่อน
พวกเรากดออดและยืนรออยู่หน้าประตูประมาณสองชั่วโมงได้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีใครมาเปิดประตูให้สักที เรามากับเพื่อนสามคน ต่างคนต่างมองหน้ากันว่าเอาไงดี เราอาจมาเช้าไป เรายังไม่ได้ซื้อซิม เราไม่มีอินเทอร์เน็ต เราไม่รู้ว่าเราจะติดต่อทางโฮสเทลยังไง( ยังมองโลกในแง่ดีอยู่ คิดเอาเองว่าเราตื่นเต้นเกินไป) สุดท้ายพวกเราจึงตัดสินใจลากกระเป๋าไปหาอาหารเช้าแถวๆนั้นก่อน หลังกินเสร็จก็พยามยามดูๆร้านที่ขายซิม แต่จากที่อ่านมามีแต่คนบอกว่าอย่าไปคุยกับพวกอินเดียใต้แมนชั่น มีคนพยายามยื่นมือถือมาให้เรายืมด้วยนะ แบบระหว่างที่เรากับเพื่อนเดินเคว้งอยู่ที่ชั้นล่างของแมนชั่น มีพี่อินเดียพยายามมาเสนอความช่วยเหลือตลอด แต่เรารู้สึกว่ามันแปลก มันดูไม่น่าไว้ใจเลยขึ้นลิฟกลับไปที่หน้าโฮสเทลอีกรอบ
คราวนี้เราเริ่มสังเกตุหน้าประตูโฮสเทลดีๆ มันมีกระดาษปิดไว้อยู่สองใบใบนึงเป็นภาษาจีน อีกใบเป็นภาษาอังกฤษ(จริงๆถ่ายรูปไว้แต่restore เครื่อง รูปหายหมดเลย ) เป็นภาษาอังกฤษที่อ่านได้ค่อนข้างยาก น่าจะเป็นศัพท์ทางกฎหมาย จับใจความคร่าวๆได้ประมาณว่า ให้ผู้ที่อาศัยอยู่ห้องนี้ย้ายออกภายในเวลา 60 วัน (จำตัวเลขเป๊ะๆไม่ได้แล้ว ) ไม่งั้นกรมอะไรสักอย่างจะมายึด อ่านจบเราแบบหะ งง แก ช่วยชั้นแปลหน่อย ชั้นแปลผิดป่าววะ สรุปด้วยภาษาอังกฤษง่อยๆของพวกเราสามคน ก็แปลออกไปในทางเดียวกัน
บอกได้คำเดียวว่า ชิบห.. แล้วววววววววว
ตอนนั้นคือแบบ ชอคคค เฮ้ยย มันจริงหรอวะ
มันมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ
โรงแรมนี้ได้คะแนนเกือบสามดาว จากเว็บที่เราจองนะ
รีวิวก็มีแต่คนบอกว่าเจ้าของโฮสเทลโอเคนะ
เกิดอะไรขึ้น! เราสับสน เราจ่ายตังไปแล้ว แล้วแบบนี้อีกสองคืนที่เหลือพวกเราจะนอนไหน!!!
ไม่รอช้า เราขอยืมมือถือผู้ชายที่เดินผ่านมาพอดี หน้าตาพวกเราคงดูน่าสงสารมากอะ เขาถึงให้ยืมง่ายๆ (ขอบคุณจริงๆค่ะ คุณช่วยชีวิตพวกเราไว้ ถึงคุณจะไม่มีโอกาสได้อ่านก็เถอะ >< )
แชร์ประสบการณ์ไปต่างประเทศกับเพื่อนครั้งแรกแล้ว"โรงแรมที่จองไว้ปิด!"
ตอนนั้นเราก็เป็นคนหนึ่งที่ก็อยากจะมีโมเมนท์ออกไปเที่ยวไกลๆกับเพื่อนบ้าง สุดท้ายกลุ่มเรามาลงตัวกันที่ไปฮ่องกง ซึ่งเป็นทริปไปต่างประเทศด้วยกันครั้งแรกของพวกเรา เราจองโรงแรมผ่านเว็บ A (ใช้ชื่อย่อละกัน) โดยได้ตั๋วของสายการบิน Hongkong Airline ในราคา ไปกลับ 5,000 กว่าบาท และแน่นอนด้วยความเป็นตั๋วโปร ช่วงเวลาบินจึงไม่ค่อยสวยนัก แต่ไม่เป็นไร เรากับเพื่อนวางแผนไว้เบ็ดเสร็จว่าบินไปถึงจะนอนที่สนามบินฮ่องกง 1 คืน เช้ามาจะจับรถเที่ยวแรกไปทิ้งกระเป๋าไว้ที่โรงแรมแถวจิมซาจุ่ย แล้วค่อยออกไปเที่ยว สวยๆ ชิลๆ เก๋ๆ ตามโปรแกรมที่วางไว้ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด
ผิดพลาด!!!
ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สวยตามแพลน เราได้นอนสนามบินฮ่องกง 1 คืนสมใจ และนั่งรถบัสสาย A21รอบเช้าสุด ไปลงย่านจิมซาจุ่ย เราถึงหน้าตึก Chung King Mansion ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ซึ่งในนั้นมีโฮสเทลเจ้าที่เราจองไว้ ขอเกริ่นก่อนว่าโฮสเทลในฮ่องกงส่วนใหญ่ จะมีลักษณะเป็นห้องใหญ่ แล้วข้างในซอยเป็นห้องเล็กๆ เข้าไปในห้องแล้วบางที่อาจมีล๊อบบี้เล็กๆอยู่ข้างหน้า ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนจะเข้าไปได้ เราต้องผ่านประตูโฮสเทลที่มีการล็อครหัสผ่านเหมือนประตูบ้านตามคอนโดทั่วไปก่อน
พวกเรากดออดและยืนรออยู่หน้าประตูประมาณสองชั่วโมงได้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีใครมาเปิดประตูให้สักที เรามากับเพื่อนสามคน ต่างคนต่างมองหน้ากันว่าเอาไงดี เราอาจมาเช้าไป เรายังไม่ได้ซื้อซิม เราไม่มีอินเทอร์เน็ต เราไม่รู้ว่าเราจะติดต่อทางโฮสเทลยังไง( ยังมองโลกในแง่ดีอยู่ คิดเอาเองว่าเราตื่นเต้นเกินไป) สุดท้ายพวกเราจึงตัดสินใจลากกระเป๋าไปหาอาหารเช้าแถวๆนั้นก่อน หลังกินเสร็จก็พยามยามดูๆร้านที่ขายซิม แต่จากที่อ่านมามีแต่คนบอกว่าอย่าไปคุยกับพวกอินเดียใต้แมนชั่น มีคนพยายามยื่นมือถือมาให้เรายืมด้วยนะ แบบระหว่างที่เรากับเพื่อนเดินเคว้งอยู่ที่ชั้นล่างของแมนชั่น มีพี่อินเดียพยายามมาเสนอความช่วยเหลือตลอด แต่เรารู้สึกว่ามันแปลก มันดูไม่น่าไว้ใจเลยขึ้นลิฟกลับไปที่หน้าโฮสเทลอีกรอบ
คราวนี้เราเริ่มสังเกตุหน้าประตูโฮสเทลดีๆ มันมีกระดาษปิดไว้อยู่สองใบใบนึงเป็นภาษาจีน อีกใบเป็นภาษาอังกฤษ(จริงๆถ่ายรูปไว้แต่restore เครื่อง รูปหายหมดเลย ) เป็นภาษาอังกฤษที่อ่านได้ค่อนข้างยาก น่าจะเป็นศัพท์ทางกฎหมาย จับใจความคร่าวๆได้ประมาณว่า ให้ผู้ที่อาศัยอยู่ห้องนี้ย้ายออกภายในเวลา 60 วัน (จำตัวเลขเป๊ะๆไม่ได้แล้ว ) ไม่งั้นกรมอะไรสักอย่างจะมายึด อ่านจบเราแบบหะ งง แก ช่วยชั้นแปลหน่อย ชั้นแปลผิดป่าววะ สรุปด้วยภาษาอังกฤษง่อยๆของพวกเราสามคน ก็แปลออกไปในทางเดียวกัน
บอกได้คำเดียวว่า ชิบห.. แล้วววววววววว
ตอนนั้นคือแบบ ชอคคค เฮ้ยย มันจริงหรอวะ
มันมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ
โรงแรมนี้ได้คะแนนเกือบสามดาว จากเว็บที่เราจองนะ
รีวิวก็มีแต่คนบอกว่าเจ้าของโฮสเทลโอเคนะ
เกิดอะไรขึ้น! เราสับสน เราจ่ายตังไปแล้ว แล้วแบบนี้อีกสองคืนที่เหลือพวกเราจะนอนไหน!!!
ไม่รอช้า เราขอยืมมือถือผู้ชายที่เดินผ่านมาพอดี หน้าตาพวกเราคงดูน่าสงสารมากอะ เขาถึงให้ยืมง่ายๆ (ขอบคุณจริงๆค่ะ คุณช่วยชีวิตพวกเราไว้ ถึงคุณจะไม่มีโอกาสได้อ่านก็เถอะ >< )