The Dark Side of Bangkok (ด้านมืดของกรุงเทพมหานคร)

The Dark Side of Bangkok

ณ ชุมชนแออัด ย่านตึกแดงบางซื่อ มีแคมป์คนงานก่อสร้างรถไฟฟ้าตั้งอยู่บริเวณปลายซอยพ่วงทรัพย์ ริมคลองประปา “โด้” สุนัขไทยพันธุ์ทาง ที่แม่ของโด้มาคลอดทิ้งไว้ โด้เติบโตมาด้วยข้าวที่คนในชุมชนและคนงานในบริเวณนั้นให้กินประทังชีวิตจนมาอายุราว 3 ปีเศษ โด้อาศัยหลับนอน วิ่งเล่น อยู่ในบริเวณนั้นตามสัญชาติญานของการเอาชีวิตรอดไปวันๆ ตามร่างกายเต็มไปด้วยเห็บหมัด แต่โด้ก็ไม่ได้ใส่ใจ คันก็เกา ใช้ปากกัดเห็บหมัดไปบ้าง

วันหนึ่ง ปลายเดือนเมษายน ชีวิตของโด้ก็พลิกผัน ต้องประสบชะตากรรมที่มืดมิด ขณะที่โด้วิ่งเล่นอยู่แถวแคมป์คนงานที่ตั้งอยู่ 2 ฟากถนนในซอย มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งมาทับโด้ที่บริเวณสะโพกและขาหลังทั้ง 2 ข้าง จนโด้ล้ม ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด คนงานที่อยู่ในบริเวณดังกล่าววิ่งมาดู คนที่ขับรถยนต์ก็ลงมาและแจ้งว่า ตนทำงานอยู่ในบริษัทปูนซีเมนต์ไทย และให้เบอร์โทรศัพท์มือถือไว้ว่าจะรับผิดชอบการดูแลรักษา ให้แจ้งไปแล้วก็ขับขี่รถออกไป หลังจากนั้น ก็ไม่มีใครสามารถติดต่อทางโทรศัพท์กับเขาได้อีกเลย

โด้ต้องประสบชะตากรรม กลายเป็นหมาพิการ ใช้ขาหน้าทั้ง 2 ข้าง ตะเกียกตะกายไปตามพื้นที่ขรุขระ จนบริเวณขาหลังทั้ง 2 ข้าง เต็มไปด้วยแผล และมีความเจ็บปวดทุกครั้งที่มันขยับร่างกาย ไม่มีผู้ใดมาใส่ใจ มันไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดมันถึงไม่สามารถขยับร่างกายตามปกติวิสัยที่มันเคยทำได้ มันได้แต่ใช้ลิ้นเลียบริเวณแผลและบริเวณที่เจ็บปวด โดยคิดว่าคงจะบรรเทาความเจ็บปวดลงได้

และแล้วเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม เคราะห์กรรมของโด้ยังไม่หมดสิ้น ขณะที่โด้นอนหลับอยู่บริเวณข้างรั้วสังกะสีแคมป์คนงาน ได้มีคนขับรถกระบะขับเข้ามาจอดบริเวณที่โด้นอนอยู่ ได้ขับทับบริเวณขาหลังของโด้ซ้ำอีกครั้ง มันตกใจและร้องเสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวด



ขณะนั้นเอง แม่ของเราเพิ่งขับรถไปรับพี่สาวกลับจากที่ทำงานจากสถานีรถไฟใต้ดินบางซื่อจะกลับบ้านขับผ่านมาพอดี เห็นเหตุการณ์จึงจอดรถลงไปดู และบอกให้ผู้ขับรถพาโด้ไปหาหมอ เมื่อแม่และพี่สาวกลับมาถึงบ้าน ด้วยความไม่สบายใจ ทั้ง 2 คนรู้ดีว่า คนที่ขับรถทับโด้คงไม่เอาโด้ไปรักษา จึงตัดสินใจย้อนกลับไปดูโด้อีกครั้ง เป็นจริงตามคาด ร่างอันยับเยินของโด้ถูกนำไปวางไว้ในซอกหนึ่งหลังแคมป์คนงาน ให้โด้นอนรอความตายที่เข้ามาเยือนอย่างช้าๆ แม่และพี่สาวจึงตัดสินใจอุ้มร่างของโด้ขึ้นรถพาไปส่งโรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด โด้ไม่ร้องหรือแม้แต่ส่งเสียงครางแต่อย่างใด คงจะเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย จนไม่สามารถจะขยับร่างกายได้ เมื่อไปถึงโรงพยาบาล แพทย์ผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีต่อสัตว์ผู้ยากไร้เข้าช่วยชีวิตโด้อย่างเต็มที่ โดยไม่ได้รังเกียจว่าร่างกายของโด้ที่สกปรกและเต็มไปด้วยเห็บหมัดทั่วร่างกาย



เมื่อรักษาอาการเบื้องต้นพร้อมตรวจเลือดแล้ว ก็แจ้งให้ทราบว่า โด้มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด แผลที่ขาทั้ง 2 ข้างพิการอย่างถาวร เกินที่จะเยียวยา และที่โรงพยาบาลไม่มีสถานที่รับสัตว์ไว้ค้างคืน จึงต้องหาสถานที่ไว้ดูแลอาการต่อ จึงได้พาโด้ไปโรงพยาบาลสัตว์ปากเกร็ด 24 ชั่วโมง โด้โชคดี ได้รับความเมตตาจากแพทย์ดูแลรักษาอย่างดี โด้ถูกโกนขนทั่วร่างกายเพื่อกำจัดเห็บหมัด อาบน้ำ ทำความสะอาดแผล และถ่ายเลือดใหม่ เพื่อรักษาอาการติดเชื้อ และการที่ถูกเห็บหมัดกัดกินเลือดเป็นระยะเวลาอันยาวนาน





ปัจจุบัน โด้ยังอยู่ในการดูแลของแพทย์ อาการติดเชื้อในกระแสเลือดลดลง แพทย์แนะนำว่าโด้ต้องถูกตัดขาหลังทั้ง 2 ข้างที่ถูกรถทับ 2 ครั้ง จนกระดูกแตกละเอียดและแผลติดเชื้อ
ระหว่างนั้นพี่สาวเราได้พยายามลงใน facebook ประกาศหาผู้อุปการะให้โด้มีบ้านพักอยู่อย่างถาวร เพราะสภาพสุนัขพิการอย่างโด้ ยากนักที่จะมีใครรับไปเลี้ยงดู
แต่ในช่วงความมืดมิดย่อมมีแสงสว่างอยู่เสมอ

วันหนึ่ง พี่สาวได้รับการติดต่อจากคุณเก๋และสามี (เทวดาประจำตัวของโด้) อาสาจะรับไปดูแลตลอดชั่วชีวิตของโด้

นี่คือเรื่องราวชะตากรรมของสุนัขข้างถนนตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในมุมมืดของกรุงเทพมหานคร ผู้เขียนนำเสนอมิใช่จะตำหนิผู้ใด แต่อยากจะเตือนใจว่า “โด้” แม้มันจะเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่มีชีวิต มันรู้ร้อน รู้หนาว รู้สึกเจ็บปวด รู้สึกหิว รู้สึกอิ่ม เช่นเดียวกับมนุษย์ มันเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่ร่วมเคียงข้างกับมนุษย์มานับหมื่นปี ควรจะให้ความเห็นใจ ความเมตตา หยิบยื่นความกรุณาปรานีแก่มัน แล้วมันจะให้ความจงรักและภักดีตอบแทนกับเรา โดยมันจะส่งความรู้สึกผ่านทางสายตาส่งมาให้เรา ไม่รักมัน ก็อย่าทำร้ายมัน ถ้าทำให้มันบาดเจ็บ ก็รับผิดชอบรักษามัน และความมืดเหล่านี้จะเป็นความสว่างอยู่ในจิตใจของมนุษย์เราทุกคน

ป.ล.
ขณะนี้โด้ยังอาการวิกฤต พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลปากเกร็ด 24 ชม. เนื่องจากตรวจพบพยาติในกระแสเลือด ต้องสั่งยามารักษาอาการนี้ให้หายก่อน และรอจนกว่าร่างกายของโด้จะแข็งแรง จึงจะสามารถทำการผ่าตัดขาทั้งสองข้างออกได้ ติดตามดูรายละเอียดและความคืบหน้าได้ที่เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/natk.gelatin?fref=ts



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่