สวัสดีค่ะชาวพันทิปคอมมูนิตี้ วันนี้จขกท.จะมาแนะนำทุนที่เพิ่งได้ไปมา คาดว่าบางคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง หรือบางคนอาจจะยังไม่คุ้น ทั้งรายละเอียดของทุน ขั้นตอนการรับสมัคร สิ่งที่จะไปเรียน หรือประสบการณ์โดยรวมที่จะได้พบเจอ ไหนจะเรื่องภาษา การเดินทางอันแสนใกล้และไกล จากฟิลิปปินส์ไปยังอเมริกากลาง “คอสตาริก้า” อยู่ตรงไหนน้อ วันนี้เลยถือโอกาส...กระทู้แรก... บอกต่อทุนดีๆ ที่จขกท.คิดว่าคนยังรู้จักน้อยเกินไป และสำหรับคนที่กำลังมองหาทุนอยู่ ทุนนี้กำลังเปิดรับสมัครนะคร้า อ่านจบแล้วเตรียมเอกสาร ส่งไปได้เล้ยยย
ขอออกตัวก่อนว่าอันนี้เป็นความเห็นของจขกท.ล้วนๆ มี bias มีความอวยอยู่ ให้อ่านและตรองให้ดี แต่จะพยายามทำให้ balanced เท่าที่สุดค่ะ
1. ทุนนี้คืออะไร
ชื่อเต็มๆคือ Asian Peacebuilders Scholarship หรือ APS เป็นทุนที่ให้นักเรียนจากประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะนักเรียนจากอาเซียนไปเรียนด้าน peacebuilding โดย The Nippon Foundation เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดระยะเวลาเกือบสองปี “The objective of the programme is to train young Asian professionals to become peace building practitioners, ready to take up leading positions in organisations across the globe. In particular, the programme serves to strengthen the representation of Asian professionals with expertise in Asian issues.”
ผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับปริญญาโทสองใบ (a Dual Degree Master of Arts Programme) ใบแรกจาก Ateneo de Manila University ภาควิชา Global Politicsโดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งของที่นี่ ลองพูดชื่อนี้ให้คนฟิลิปปินส์ฟังดู ไม่มีใครไม่รู้จัก ประธานาธิบดีคนปัจจุบันก็จบจากที่นี่ และปริญญาใบที่สองจาก University for Peace (หรือเรียกสั้นๆว่า Upeace) ประเทศคอสตาริก้า โดยผู้ที่เข้าร่วมโครงการสามารถเลือกเรียนตามสาขาวิชาที่สนใจได้ ดังนี้
International Peace Studies
Media, Peace and Conflict Studies
Gender and Peacebuilding, Peace Education
International Law and Human Rights
International Law and the Settlement of Disputes
Environment, Development and Peace (มี 3 สาขาให้เลือก)
Responsible Management and Sustainable Economic Development

“As determined in the Charter of the University, the mission of the University for Peace is: “to provide humanity with an international institution of higher education for peace with the aim of promoting among all human beings the spirit of understanding, tolerance and peaceful coexistence, to stimulate cooperation among peoples and to help lessen obstacles and threats to world peace and progress, in keeping with the noble aspirations proclaimed in the Charter of the United Nations.”
2. ทุนนี้ดียังไง
-การแข่งขันน้อย (น้อยกว่าทุนใหญ่อื่นแน่ๆ) เพราะคนยังไม่ค่อยรู้จัก อีกทั้งการส่งไปเรียนไกลถึงคอสตาริก้า ก็ทำให้หลายคนคิดหนัก เพราะประเทศทางแถบละตินอเมริกา ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก นอกจากกาแฟ และฟุตบอล (55+) ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องถามตัวเองดูว่าอยากได้อะไรจากการไปเรียนโท ประสบการณ์ ความรู้ ภาษา หรือ connection
-เหมาะสำหรับคนที่สนใจทางด้าน peacebuilding โดยเฉพาะกรอบของเอเชีย หรือละตินอเมริกาโดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับมุมมองที่หลากหลายจากทั้งอาจารย์ เพื่อนร่วมคลาส ที่มีประสบการณ์การทำงานกับ INGOs, NGOs, Goverments, Intergovernments ซึ่งทำให้การเรียนในห้องไม่น่าเบื่อเลย แม้ว่ามหาวิทยาลัยนี้จะตั้งโดย UN แต่การเรียนการสอนจะเน้นไปทาง critical paradigm จบมาอาจจะฝันสลายกับ big name organizations เหล่านี้ก็ได้ อันนี้ขอเตือน แต่สุดท้ายแล้ว ประสบการณ์ที่ได้รับทำให้เรามองอะไรแบบที่ควรจะเป็น
-Rich in diversity and multiculturalism สำหรับคนที่ชอบการเปลี่ยนแปลง การปรับตัว การได้พบเจอผู้คนหลากหลาย ทุนนี้ตอบโจทย์มากๆ ดังนั้น ทักษะที่ผู้เข้าร่วมโครงการควรจะต้องมี คือ interpersonal skills, flexibility และอยากที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง Timeline คร่าวๆคือ
3-6 เดือนแรก Ateneo de Manila University, the Philippines (ขึ้นอยู่กับคะแนนภาษาอังกฤษที่ยื่นเข้ามา)
11 เดือนต่อมา University for Peace, Costa Rica
2 เดือนต่อมา Ateneo de Manila University
2 เดือนต่อมา ต้องออกไปทำ Project ตามประเทศที่เลือก ส่วนมากจะอยู่ในอาเซียน
1 เดือนสุดท้ายกลับมาที่ฟิลิปปินส์ส่ง coursework และ graduation ceremony

-สำหรับคนที่ชอบเรียนภาษา ทุนนี้เปิดโอกาสให้ได้เรียนภาษาที่สอง สาม สี่ ฯลฯ เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาภาษาอังกฤษ เรียนสเปน หรือตากาล็อก
-ทุนฟรี ครอบคลุมทุกอย่าง!!! ถามว่าพอใช้มั้ย พอนะ เพื่อนๆบางคนเหลือเก็บด้วย แต่ถ้าคนอยากเที่ยวอยากเดินทาง อาจจะต้องควักเงินเก็บบ้าง จขกท.ก็ไปมาหลายประเทศ เพราะโอกาสที่จะได้ไปเที่ยวแถบนั้นยากจริงๆ
-ประเทศแถบละตินอเมริกาไม่ได้ไปง่ายๆ ถ้าอยากหา niche market ให้กับตัวเอง ขอแนะนำทุนนี้ เพราะคนรู้จักน้อย คนพูดภาษาสเปนในบ้านเรายิ่งน้อย ในขณะที่ฝั่งญี่ปุ่น อเมริกา หรือยุโรปปีนึงคนจบมาเป็นพันๆ แต่คนที่มีความรู้แถบละตินอเมริกายังน้อยมาก ในขณะที่ demand มีแต่เพิ่มสูงขึ้น
-มหาวิทยาลัยที่คอสตาริก้าเล็กมาก อาจจะเป็นมหาวิทยาลัยที่เล็กที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ มีนักเรียน 120 คน รู้จักกันทุกคน มหาลัยว่าเล็กแล้ว เมืองที่อยู่ก็เล็กมากๆอีก สามารถเดินจากฝากหนึ่งของเมืองไปอีกฝากหนึ่งในเวลา 20 นาทีได้ Ciudad Colon เป็นเมืองที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา หน้าฝนฝนตกทุกวัน ตื่นมาก็จะเจอหมอกลง เจอสีเขียวทั้งเมือง ทางเดินไปมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยไร่กาแฟ ช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ก็จะเห็นชาวนิคารากัวขายแรงงานมาทำงานเก็บกาแฟในไร่เต็มไปหมด เมืองนี้ไม่มีห้าง จะไปห้างก็ต้องนั่งรถไปครึ่งชม. entertainment ที่มีคือการไปนั่งกินเหล้าบ้านเพื่อน จัด house party หรือปีนเขา เดินป่า เป็นโลกที่ surreal มากกก สมกับคำพูดติดปากของที่นี่ Pura Vida หรือ Pure Life ในภาษาอังกฤษ เดินผ่านเพื่อนบ้านก็ทักไป “Pura Vida” แทน “Hola” เลย
-รู้จักฟิลิปปินส์มากขึ้น ประสบการณ์การมาเรียน+ใช้ชีวิตที่นี่ ทำให้เราหลงรักผู้คนที่นี่โดยไม่รู้ตัว คนฟิลิปปินส์เป็นมิตรมาก ชอบช่วยเหลือคนอื่น ยิ่งเป็นคนต่างชาติด้วยแล้ว คนที่นี่รักครอบครัวมาก หลายๆครอบครัวยังอยู่แบบครอบครัวขยาย ไปไหนก็จะขนกันไปเป็นขบวน วันอาทิตย์ที่นี่ถือเป็นวันครอบครัว+เข้าโบสถ์ เพื่อนที่เรียนด้วยกันก็จะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปทำกิจกรรมที่โบสถ์กับครอบครัว อยู่ที่นี่ไม่มีปัญหาเรื่องภาษาเลย พูดภาษาอังกฤษคล่องกันทุกคน Ateneo มันถูกมองว่าเป็นมหาลัยของลูกคนรวย (the new rich) ในขณะที่ University of the Philippines หรือ UP จะออกแนวเพื่อสังคม สองมหาวิทยาลัยนี้ตั้งอยู่ติดกัน แต่ก็จะเห็นความแตกต่างตั้งแต่ก้าวเข้าไปมหาลัยเลย แนวๆจุฬาฯกับธรรมศาสตร์ ถ้าจะเปรียบได้มั้ยนะ จากประสบการณ์ที่ได้มาเรียนที่นี่รู้สึกชื่นชมกับการเรียนการสอนที่นี่มาก เด็กกล้าถาม-ตอบ แม้จะอายุยังน้อย (ช่วงแรกๆที่ไปเรียนฟิลิปปินส์ยังไม่ได้เปลี่ยนระบบการศึกษาแบบประเทศอื่นที่ใช้ระบบ K-12 เรียนมัธยม 12 ปี เด็กจึงเข้ามหาวิทยาลัยกันเร็ว) อีกนโยบายนึงของAteneo ที่ชอบมากๆคือ การเอาจริงเอาจังเรื่องการลดการใช้กระดาษและถุงพลาสติก การเรียนการสอนทุกอย่างทำออนไลน์หมด ไม่มีการแจกชี้ต ส่งงานทุกอย่างผ่านอีเมล์ โรงอาหารไม่มีถุงพลาสติก เด็กทุกคนจะมีกระปุกน้ำ กล่องข้าวมาจากบ้าน ไม่อย่างนั้นก็ต้องจ่ายเงินค่ามัดจำยืมกล่อง ถ้าใครไปฟิลิปปินส์จะสังเกตเห็นว่าคนที่นั่นใช้กระเป๋าเป้กันเยอะ เพราะต้องใส่ของหลายอย่าง น้ำที่นี่แพงมากด้วย มหาลัยก็จะมีจุดให้เติมน้ำดื่มฟรี มหาวิทยาลัยไทยน่าจะเอาเป็นตัวอย่างนะ ทั้ง save cost เรื่องค่ากระดาษ แล้วยังช่วยสิ่งแวดล้อมแบบเห็นผลอีกด้วย ถ้าเราคิดว่าทำระดับประเทศยากแล้ว ลองเริ่มทำจากจุดเล็กๆก่อน
สรุปคือ ทุนนี้ให้ประสบการณ์ทางตรงเยอะมาก นี่ยังไม่รวม project จบที่ให้ออกไปทำ fieldwork เองอีกด้วย hands-on experience แบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆเลย
3. ทุนนี้มีจุดอ่อนด้านไหนบ้าง
-มหาวิทยาลัยอาจจะไม่ดังเท่าฝั่งอเมริกาหรือยุโรป
-สาขาวิชามีให้เลือกน้อย
-ย้ายประเทศบ่อย ทำให้ต้องปรับตัวเยอะ ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม ภาษา
4. ทุนนี้เหมาะกับใคร
-คนที่สนใจ development field, peacebuilding field ด้าน environment and development ของ Upeace ก็ดัง คนที่เลือกเรียน environment ก็จะได้ไปเรียนกับเด็ก American University ที่มาเรียนคอร์สของยูพีซ
-คนที่ต้องการทุนเต็มเท่านั้น financially in need อย่างเช่น จขกท. ที่ถ้าไม่ได้ทุนเต็มก็ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปเรียนเมืองนอกได้
-คนที่ไม่อยากทำธีสิส ด้วยความที่เป็น non-thesis track หลายๆคนก็ชอบ เพราะโปรแกรมนี้เน้น fieldwork เน้นผลิต practitioner ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าใครอยากจะทำ thesis ทางโครงการก็สนับสนุนเต็มที่ จัดหา adviser ให้ แต่ต้องมีวินัยมากๆ เนื่องจากโปรแกรมการเรียนการสอนที่จัดมามัน intensive มากๆ ต้องแบ่งเวลาให้ดี
-ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ สำหรับคนที่ไม่ต้องการกลับมาใช้ทุน
-และขาเที่ยว ใครอยากท่องเที่ยว Central and South America พลาดไม่ได้เลยยย
5. โอกาสได้เยอะมั้ย
-ในแต่ละปี โควต้ารับ 30 คน ก็จะเฉลี่ยไปประเทศละสองสามคน คนญี่ปุ่นจะเป็นส่วนใหญ่ประมาณสิบ-สิบห้าคนต่อปี ปีที่จขกท.ไป เป็นคนไทยคนเดียว
-เขียน SOP กับทำตอนสัมภาษณ์ให้ดีๆ พยายามตอบให้ได้ว่าทำไมถึงอยากได้ทุนนี้ มีประโยชน์กับcareer pathเราในอนาคตยังไง สนใจประเด็นด้านไหนเป็นพิเศษ แนะนำว่าให้หาสิ่งที่ตัวเองสนใจแล้วมุ่งไปทางนั้น เช่น gender, war, peace, education, environment, international law, UN system อะไรก็ได้ ที่นี่เปิดกว้างมากๆกับความสนใจที่หลากหลาย พยายามเชื่อมให้ได้ว่าถ้าเค้าให้ทุนเราไป จบออกมาเราจะทำ “peace mission” ในแบบของเรายังไง อาจจะดูยิ่งใหญ่ แต่เค้าอยากฟังไอเดียเรานะ
6. ความรู้สึกหลังได้ทุนและเรียนจบออกมา
-รู้สึกว่าโครงการดีๆแบบนี้ ทำไมไม่ค่อยมีใครสมัคร
-ถ้าใครกำลังมองหาทุน ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดดู หรือเขียนมาหาก็ได้นะคะ ยินดีมากๆเลย
https://www.upeace.org/departments/asian-peacebuilders-scholarships
7. สุดท้ายนี้... จะว่าไป จขกท.ก็เป็นนักล่าทุนเหมือนกัน ทั้งชีวิตได้ทุนเรียนฟรีมาตลอด ทั้งในและนอกประเทศ ด้วยความที่มีข้อจำกัดหลายๆเรื่องในชีวิต โดยเฉพาะด้านหลักทรัพย์ ทำให้ต้องสรรหาทุนฟรี เพิ่มโพรไฟล์ให้กับตัวเองตลอดเวลา เป็นเด็กที่ไม่ยอมแพ้กับโชคชะตา แน่นอน ความไม่มีหลายๆครั้งก็เป็นอุปสรรค แต่หลายๆครั้งก็เป็นตัวผลักดันให้เรากล้าที่จะฝัน และพัฒนาตนเอง ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆนะคะ หลายๆอย่างคุณต้องเดินไปหามันเอง อยากใช้โอกาสนี้ให้กำลังใจกับทุกคน ไม่อยากให้ยอมแพ้เพียงเพราะความล้มเหลวไม่กี่ครั้ง ทุกครั้งที่ได้ลอง มันคือการ sharpen ทักษะประสบการณ์ของเรา จขกท.ไม่เคยคิดว่าตัวเองแพ้เลย คิดแต่ว่าเราเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นทุกๆครั้งที่ลอง จำไว้นะคะ ไม่มีอะไรมาหยุดเราได้หรอกค่ะ นอกเสียแต่ว่าเราถอดใจไปเอง
<<<... ทุนดีๆแบบนี้ไม่บอกต่อไม่ได้แล้ว ป.โทจากคอสตาริก้า+ฟิลิปปินส์ ประสบการณ์สองทวีป สองแคมปัส สองใบปริญญา...>>>
1. ทุนนี้คืออะไร
ชื่อเต็มๆคือ Asian Peacebuilders Scholarship หรือ APS เป็นทุนที่ให้นักเรียนจากประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะนักเรียนจากอาเซียนไปเรียนด้าน peacebuilding โดย The Nippon Foundation เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดระยะเวลาเกือบสองปี “The objective of the programme is to train young Asian professionals to become peace building practitioners, ready to take up leading positions in organisations across the globe. In particular, the programme serves to strengthen the representation of Asian professionals with expertise in Asian issues.”
ผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับปริญญาโทสองใบ (a Dual Degree Master of Arts Programme) ใบแรกจาก Ateneo de Manila University ภาควิชา Global Politicsโดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งของที่นี่ ลองพูดชื่อนี้ให้คนฟิลิปปินส์ฟังดู ไม่มีใครไม่รู้จัก ประธานาธิบดีคนปัจจุบันก็จบจากที่นี่ และปริญญาใบที่สองจาก University for Peace (หรือเรียกสั้นๆว่า Upeace) ประเทศคอสตาริก้า โดยผู้ที่เข้าร่วมโครงการสามารถเลือกเรียนตามสาขาวิชาที่สนใจได้ ดังนี้
International Peace Studies
Media, Peace and Conflict Studies
Gender and Peacebuilding, Peace Education
International Law and Human Rights
International Law and the Settlement of Disputes
Environment, Development and Peace (มี 3 สาขาให้เลือก)
Responsible Management and Sustainable Economic Development
“As determined in the Charter of the University, the mission of the University for Peace is: “to provide humanity with an international institution of higher education for peace with the aim of promoting among all human beings the spirit of understanding, tolerance and peaceful coexistence, to stimulate cooperation among peoples and to help lessen obstacles and threats to world peace and progress, in keeping with the noble aspirations proclaimed in the Charter of the United Nations.”
2. ทุนนี้ดียังไง
-การแข่งขันน้อย (น้อยกว่าทุนใหญ่อื่นแน่ๆ) เพราะคนยังไม่ค่อยรู้จัก อีกทั้งการส่งไปเรียนไกลถึงคอสตาริก้า ก็ทำให้หลายคนคิดหนัก เพราะประเทศทางแถบละตินอเมริกา ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก นอกจากกาแฟ และฟุตบอล (55+) ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องถามตัวเองดูว่าอยากได้อะไรจากการไปเรียนโท ประสบการณ์ ความรู้ ภาษา หรือ connection
-เหมาะสำหรับคนที่สนใจทางด้าน peacebuilding โดยเฉพาะกรอบของเอเชีย หรือละตินอเมริกาโดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับมุมมองที่หลากหลายจากทั้งอาจารย์ เพื่อนร่วมคลาส ที่มีประสบการณ์การทำงานกับ INGOs, NGOs, Goverments, Intergovernments ซึ่งทำให้การเรียนในห้องไม่น่าเบื่อเลย แม้ว่ามหาวิทยาลัยนี้จะตั้งโดย UN แต่การเรียนการสอนจะเน้นไปทาง critical paradigm จบมาอาจจะฝันสลายกับ big name organizations เหล่านี้ก็ได้ อันนี้ขอเตือน แต่สุดท้ายแล้ว ประสบการณ์ที่ได้รับทำให้เรามองอะไรแบบที่ควรจะเป็น
-Rich in diversity and multiculturalism สำหรับคนที่ชอบการเปลี่ยนแปลง การปรับตัว การได้พบเจอผู้คนหลากหลาย ทุนนี้ตอบโจทย์มากๆ ดังนั้น ทักษะที่ผู้เข้าร่วมโครงการควรจะต้องมี คือ interpersonal skills, flexibility และอยากที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง Timeline คร่าวๆคือ
3-6 เดือนแรก Ateneo de Manila University, the Philippines (ขึ้นอยู่กับคะแนนภาษาอังกฤษที่ยื่นเข้ามา)
11 เดือนต่อมา University for Peace, Costa Rica
2 เดือนต่อมา Ateneo de Manila University
2 เดือนต่อมา ต้องออกไปทำ Project ตามประเทศที่เลือก ส่วนมากจะอยู่ในอาเซียน
1 เดือนสุดท้ายกลับมาที่ฟิลิปปินส์ส่ง coursework และ graduation ceremony
-ทุนฟรี ครอบคลุมทุกอย่าง!!! ถามว่าพอใช้มั้ย พอนะ เพื่อนๆบางคนเหลือเก็บด้วย แต่ถ้าคนอยากเที่ยวอยากเดินทาง อาจจะต้องควักเงินเก็บบ้าง จขกท.ก็ไปมาหลายประเทศ เพราะโอกาสที่จะได้ไปเที่ยวแถบนั้นยากจริงๆ
-ประเทศแถบละตินอเมริกาไม่ได้ไปง่ายๆ ถ้าอยากหา niche market ให้กับตัวเอง ขอแนะนำทุนนี้ เพราะคนรู้จักน้อย คนพูดภาษาสเปนในบ้านเรายิ่งน้อย ในขณะที่ฝั่งญี่ปุ่น อเมริกา หรือยุโรปปีนึงคนจบมาเป็นพันๆ แต่คนที่มีความรู้แถบละตินอเมริกายังน้อยมาก ในขณะที่ demand มีแต่เพิ่มสูงขึ้น
-มหาวิทยาลัยที่คอสตาริก้าเล็กมาก อาจจะเป็นมหาวิทยาลัยที่เล็กที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ มีนักเรียน 120 คน รู้จักกันทุกคน มหาลัยว่าเล็กแล้ว เมืองที่อยู่ก็เล็กมากๆอีก สามารถเดินจากฝากหนึ่งของเมืองไปอีกฝากหนึ่งในเวลา 20 นาทีได้ Ciudad Colon เป็นเมืองที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา หน้าฝนฝนตกทุกวัน ตื่นมาก็จะเจอหมอกลง เจอสีเขียวทั้งเมือง ทางเดินไปมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยไร่กาแฟ ช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ก็จะเห็นชาวนิคารากัวขายแรงงานมาทำงานเก็บกาแฟในไร่เต็มไปหมด เมืองนี้ไม่มีห้าง จะไปห้างก็ต้องนั่งรถไปครึ่งชม. entertainment ที่มีคือการไปนั่งกินเหล้าบ้านเพื่อน จัด house party หรือปีนเขา เดินป่า เป็นโลกที่ surreal มากกก สมกับคำพูดติดปากของที่นี่ Pura Vida หรือ Pure Life ในภาษาอังกฤษ เดินผ่านเพื่อนบ้านก็ทักไป “Pura Vida” แทน “Hola” เลย
-รู้จักฟิลิปปินส์มากขึ้น ประสบการณ์การมาเรียน+ใช้ชีวิตที่นี่ ทำให้เราหลงรักผู้คนที่นี่โดยไม่รู้ตัว คนฟิลิปปินส์เป็นมิตรมาก ชอบช่วยเหลือคนอื่น ยิ่งเป็นคนต่างชาติด้วยแล้ว คนที่นี่รักครอบครัวมาก หลายๆครอบครัวยังอยู่แบบครอบครัวขยาย ไปไหนก็จะขนกันไปเป็นขบวน วันอาทิตย์ที่นี่ถือเป็นวันครอบครัว+เข้าโบสถ์ เพื่อนที่เรียนด้วยกันก็จะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปทำกิจกรรมที่โบสถ์กับครอบครัว อยู่ที่นี่ไม่มีปัญหาเรื่องภาษาเลย พูดภาษาอังกฤษคล่องกันทุกคน Ateneo มันถูกมองว่าเป็นมหาลัยของลูกคนรวย (the new rich) ในขณะที่ University of the Philippines หรือ UP จะออกแนวเพื่อสังคม สองมหาวิทยาลัยนี้ตั้งอยู่ติดกัน แต่ก็จะเห็นความแตกต่างตั้งแต่ก้าวเข้าไปมหาลัยเลย แนวๆจุฬาฯกับธรรมศาสตร์ ถ้าจะเปรียบได้มั้ยนะ จากประสบการณ์ที่ได้มาเรียนที่นี่รู้สึกชื่นชมกับการเรียนการสอนที่นี่มาก เด็กกล้าถาม-ตอบ แม้จะอายุยังน้อย (ช่วงแรกๆที่ไปเรียนฟิลิปปินส์ยังไม่ได้เปลี่ยนระบบการศึกษาแบบประเทศอื่นที่ใช้ระบบ K-12 เรียนมัธยม 12 ปี เด็กจึงเข้ามหาวิทยาลัยกันเร็ว) อีกนโยบายนึงของAteneo ที่ชอบมากๆคือ การเอาจริงเอาจังเรื่องการลดการใช้กระดาษและถุงพลาสติก การเรียนการสอนทุกอย่างทำออนไลน์หมด ไม่มีการแจกชี้ต ส่งงานทุกอย่างผ่านอีเมล์ โรงอาหารไม่มีถุงพลาสติก เด็กทุกคนจะมีกระปุกน้ำ กล่องข้าวมาจากบ้าน ไม่อย่างนั้นก็ต้องจ่ายเงินค่ามัดจำยืมกล่อง ถ้าใครไปฟิลิปปินส์จะสังเกตเห็นว่าคนที่นั่นใช้กระเป๋าเป้กันเยอะ เพราะต้องใส่ของหลายอย่าง น้ำที่นี่แพงมากด้วย มหาลัยก็จะมีจุดให้เติมน้ำดื่มฟรี มหาวิทยาลัยไทยน่าจะเอาเป็นตัวอย่างนะ ทั้ง save cost เรื่องค่ากระดาษ แล้วยังช่วยสิ่งแวดล้อมแบบเห็นผลอีกด้วย ถ้าเราคิดว่าทำระดับประเทศยากแล้ว ลองเริ่มทำจากจุดเล็กๆก่อน
สรุปคือ ทุนนี้ให้ประสบการณ์ทางตรงเยอะมาก นี่ยังไม่รวม project จบที่ให้ออกไปทำ fieldwork เองอีกด้วย hands-on experience แบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆเลย
3. ทุนนี้มีจุดอ่อนด้านไหนบ้าง
-มหาวิทยาลัยอาจจะไม่ดังเท่าฝั่งอเมริกาหรือยุโรป
-สาขาวิชามีให้เลือกน้อย
-ย้ายประเทศบ่อย ทำให้ต้องปรับตัวเยอะ ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม ภาษา
4. ทุนนี้เหมาะกับใคร
-คนที่สนใจ development field, peacebuilding field ด้าน environment and development ของ Upeace ก็ดัง คนที่เลือกเรียน environment ก็จะได้ไปเรียนกับเด็ก American University ที่มาเรียนคอร์สของยูพีซ
-คนที่ต้องการทุนเต็มเท่านั้น financially in need อย่างเช่น จขกท. ที่ถ้าไม่ได้ทุนเต็มก็ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปเรียนเมืองนอกได้
-คนที่ไม่อยากทำธีสิส ด้วยความที่เป็น non-thesis track หลายๆคนก็ชอบ เพราะโปรแกรมนี้เน้น fieldwork เน้นผลิต practitioner ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าใครอยากจะทำ thesis ทางโครงการก็สนับสนุนเต็มที่ จัดหา adviser ให้ แต่ต้องมีวินัยมากๆ เนื่องจากโปรแกรมการเรียนการสอนที่จัดมามัน intensive มากๆ ต้องแบ่งเวลาให้ดี
-ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ สำหรับคนที่ไม่ต้องการกลับมาใช้ทุน
-และขาเที่ยว ใครอยากท่องเที่ยว Central and South America พลาดไม่ได้เลยยย
5. โอกาสได้เยอะมั้ย
-ในแต่ละปี โควต้ารับ 30 คน ก็จะเฉลี่ยไปประเทศละสองสามคน คนญี่ปุ่นจะเป็นส่วนใหญ่ประมาณสิบ-สิบห้าคนต่อปี ปีที่จขกท.ไป เป็นคนไทยคนเดียว
-เขียน SOP กับทำตอนสัมภาษณ์ให้ดีๆ พยายามตอบให้ได้ว่าทำไมถึงอยากได้ทุนนี้ มีประโยชน์กับcareer pathเราในอนาคตยังไง สนใจประเด็นด้านไหนเป็นพิเศษ แนะนำว่าให้หาสิ่งที่ตัวเองสนใจแล้วมุ่งไปทางนั้น เช่น gender, war, peace, education, environment, international law, UN system อะไรก็ได้ ที่นี่เปิดกว้างมากๆกับความสนใจที่หลากหลาย พยายามเชื่อมให้ได้ว่าถ้าเค้าให้ทุนเราไป จบออกมาเราจะทำ “peace mission” ในแบบของเรายังไง อาจจะดูยิ่งใหญ่ แต่เค้าอยากฟังไอเดียเรานะ
6. ความรู้สึกหลังได้ทุนและเรียนจบออกมา
-รู้สึกว่าโครงการดีๆแบบนี้ ทำไมไม่ค่อยมีใครสมัคร
-ถ้าใครกำลังมองหาทุน ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดดู หรือเขียนมาหาก็ได้นะคะ ยินดีมากๆเลย
https://www.upeace.org/departments/asian-peacebuilders-scholarships
7. สุดท้ายนี้... จะว่าไป จขกท.ก็เป็นนักล่าทุนเหมือนกัน ทั้งชีวิตได้ทุนเรียนฟรีมาตลอด ทั้งในและนอกประเทศ ด้วยความที่มีข้อจำกัดหลายๆเรื่องในชีวิต โดยเฉพาะด้านหลักทรัพย์ ทำให้ต้องสรรหาทุนฟรี เพิ่มโพรไฟล์ให้กับตัวเองตลอดเวลา เป็นเด็กที่ไม่ยอมแพ้กับโชคชะตา แน่นอน ความไม่มีหลายๆครั้งก็เป็นอุปสรรค แต่หลายๆครั้งก็เป็นตัวผลักดันให้เรากล้าที่จะฝัน และพัฒนาตนเอง ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆนะคะ หลายๆอย่างคุณต้องเดินไปหามันเอง อยากใช้โอกาสนี้ให้กำลังใจกับทุกคน ไม่อยากให้ยอมแพ้เพียงเพราะความล้มเหลวไม่กี่ครั้ง ทุกครั้งที่ได้ลอง มันคือการ sharpen ทักษะประสบการณ์ของเรา จขกท.ไม่เคยคิดว่าตัวเองแพ้เลย คิดแต่ว่าเราเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นทุกๆครั้งที่ลอง จำไว้นะคะ ไม่มีอะไรมาหยุดเราได้หรอกค่ะ นอกเสียแต่ว่าเราถอดใจไปเอง