เหตุผลหรือความรู้สึก

บางคนมีสัดส่วนทางอารมณ์มากหน่อย  ในขณะที่บางคนก็มีสัดส่วนของเหตุผลมากกว่า ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่ทุกคนย่อมมีทั้งสองส่วนนี้ประกอบกันเสมอ

เรื่องที่จะเล่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยผมกำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ครับ และอยู่ในช่วงที่ค้นพบอะไรบางอย่างในตัวเอง

เรื่องมีอยู่ว่า ....
สมัยที่ผมอยู่ประมาณ ม.4 ขึ้น ม.5 ได้มาเข้าร่วมโครงการหนึ่ง ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย แม่ผมเป็นคนแนะนำให้ลองมาสมัครเข้าร่วมโครงการดู ช่วงปิดเทอมก็ไม่ได้ทำอะไรด้วย น่าจะดีและมีประโยชน์

ช่วงแรกๆของการเข้าร่วมโครงการเป็นการคัดเลือกครับ มันเป็นอะไรที่อึดอัดมาก เพราะ ทุกอย่างเข้มข้นและจะคัดคนที่มีคุณสมบัติและจิตใจที่พร้อมแล้วเท่านั้น รอบละไม่เกิน 100 คน

ตอนนั้นทั้งเบื่อและก็อยากกลับบ้านมาก แต่ก็ทนมาจนจบโครงการได้

ในโครงการนี้จะมีพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำปรึกษาเราตลอดการเข้าร่วมโครงการ ผมจำได้แม่นเลยว่าในปีนั้น ผมเจอพี่เลี้ยงคนนึง แกชื่อพี่โจ้ พี่โจ้เป็นคนที่ออกแนว ป้ำๆ เป๋อๆ แกมักจะมีคำพูดติดปากว่า "จะจะ โจ้ ไม่เข้าใจ" แต่ผมรู้สึกว่าแกดีกับผมนะ มีขนมนมน้ำอะไร เอามาให้ไม่เคยขาด คุยได้ทุกเรื่อง แถมแกให้กำลังใจตลอด แกบอกว่า เพราะ เห็นน้องตั้งใจ พี่เลยอยากให้รางวัลบ้าง เล็กๆน้อยๆ อย่าคิดมาก รับๆไปเหอะ (ทุกวันนี้ก็ยังคุยกันอยู่นะใน facebook) แม้ว่าพี่โจ้อาจจะไม่ได้ดูดีในสายตาของคนทั้งโครงการ แต่สำหรับผม ผมคิดว่า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่มีตัวชี้วัดอะไร นอกจากความรู้สึก

พอปิดเทอม ม.5 ผมรึจะพลาดลองสมัครมาเป็นพี่เลี้ยงเลย
อยากลองเป็นอย่างพี่โจ้บ้าง มันคือ ความประทับใจในวัยเด็กของผมอย่างนึงเลยนะ การเข้าร่วมโครงการมาสมัครเป็นพี่เลี้ยงไม่ได้ยุ่งยากเท่าการเข้ามาเป็นผู้เข้าร่วมโครงการ คนที่อยากจะมาเป็นพี่เลี้ยงแต่ละปีน้อยมาก เพราะ ต้องทำงานหลายอย่าง เพื่อ support น้องๆที่มาเข้าร่วมโครงการ ไม่ว่าจะเป็นล้างจาน ถูพื้น เก็บกวาด เตรียมอุปกรณ์ ปูที่นอน บางครั้งก็มีเตรียมอาหาร ซึ่งบอกเลยว่าลำบาก คนที่อยากจะมาทำน้อยมากกก มากถึงขั้นที่ว่า ผู้จัดโครงการโทรไปหาคนที่ผ่านโครงการเมื่อปีที่แล้วเลยทีเดียว บางทีก็มีขอร้องจองตัวให้มาเป็นพี่เลี้ยงเลย
การมาเป็นพี่เลี้ยงแบบที่อยากเป็น มันยากมากครับ ผมเลยคิดว่า ปีนี้ยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็มาเป็นลูกมือให้กับพี่ๆ รุ่นเก๋าๆแล้วมากกว่า ไม่ได้ลงไปเป็นพี่เลี้ยงประจำบ้านอย่างชาวบ้านเค้าหรอก  แต่ก็คิดไว้ในใจนะว่า งานนี้ต้องมีแก้มือ เราอยากเก่งแบบพี่ๆ เค้าบ้าง

พอปิดเทอม ม.6 หลังจากสอบเสร็จ เอ็นทรานซ์เสร็จแล้ว
ผมกลับมาเป็นพี่เลี้ยงอีกปีครับ แต่ปีนี้พิเศษกว่าปีที่แล้ว เพราะ ผมได้มีโอกาสเป็นพี่เลียงประจำบ้าน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นบ้านสีเขียว (นานมากแล้ว จำไม่ค่อยได้) ด้วยความที่ตั้งใจและทุ่มเทมากกก ทุ่มเทถึงขั้นที่ว่า แม่ขอร้องให้กลับมาบ้าน มาทำเรื่องเลือกมหาลัยให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยกลับไปร่วมโครงการเลยทีเดียว
เอาจริงๆ ปีนี้เป็นปีที่ดีที่สุดในหน้าที่การเป็นพี่เลี้ยงของผมเลย ผมค่อนข้างมีความสุขมาก ที่เห็นน้องๆที่มาเข้าร่วมโครงการมีความสุขและกลับบ้านพร้อมรอยยิ้มกันทุกคน

พอกลับมาบ้านแล้ว
ในระหว่างที่กำลังนอนเอกขเนกอยู่ในห้อง ตากแอร์ชิวๆ อยากจะพักให้หายเหนื่อยก็มีโทรศัพท์เข้ามา (ทั้งๆที่ปกติก็ไม่ค่อยจะมีคนโทรมาเท่าไหร่หรอก)  แอบแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าใครโทรมาหา กลายเป็นว่าน้องในค่ายโทรมา แถมเป็นน้องบ้านสีเขียวของเราด้วย ทีนี้ก็คุยยาวเลย ก็มีโทรมาคุยอยู่เป็นพักๆ เอาจริงๆก็แทบจะทุกวันนะ ไม่รู้เหมือนกันว่า คุยไรกันนักหนา แต่เท่าที่จำได้ ตลอดระยะเวลาที่คุยกันมาเกือบ 4 เดือน มันสนุกมากก สนุกจนรู้สึกว่า เราต้องโทรมาเล่าเรื่องราว ชีวิตประจำวันของตัวเอง ตั้งแต่เพื่อนยันการช่วยตัวเองเลยทีเดียว (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมน้องเค้าถึงวนมาถามเราเรื่องนี้) แต่ก็จำได้นะว่า คุยกันทุกเรื่องจริงๆ คุยแล้วสนุก ไม่มีดราม่ามาปน บางครั้งเราก็คุยเรื่องเครียดๆกลายเป็นเรื่องขำๆไปซะงั้น   คุยกันแบบนี้อยู่พักนึงจนรู้สึกว่าเป็นเหมือนกับสารเสพติด วันไหนไม่ได้คุยกัน มันเหมือนกับขาดอะไรไปสักอย่างนึง
ผมจำได้ว่า ผมมีเวลาส่วนตัวเยอะมาก เพราะ ปี 1 ผมมาอยู่หอ อยากจะคุยถึงดึกดื่น ค่ำคืน แค่ไหนคุยได้ ไม่มีผู้ใหญ่มาห้าม ช่วงนั้นก็วุ่นๆเหมือนกันนะ เป็นช่วงปรับตัวที่ต้องเข้ามหาลัย หาเพื่อน นู่นนี่นั่น วุ่นวายไปหมด แต่เราก็ไม่เคยขาดการติดต่อกันเลย

มีเหตุการณ์ครั้งนึงครับ ที่ผมประทับใจมาก ผมกำลังกลับหอหลังจากที่อ่านหนังสือเตรียมสอบกลสงภาคกับเพื่อนๆ แต่ด้วยความที่ฝนตกหนักมากแล้วก็ไม่มีรถเข้าหอมาสักที น้ำก็ท่วมนองฟุตบาท เดินทางลำบากมากกก  แต่ที่กลัวคือ โทรศัพท์ดันมาดังเอาตอนนี้ กลัวก็กลัวนะ กลัวฟ้าผ่า แต่พอรู้ว่าใครโทรมาเท่านั้นแหละ ต้องรีบรับเลย

“ว่าไง ดึกแล้วยังไม่นอนหรอ นี่พี่กำลังกลับหอเนี่ย ฝนตกหนักมาก น้ำท่วมแล้วรถก็ยังไม่มาเลย”
“มันก็อันตรายนะพี่เก้า แถวนั้นมีขโมยป่าวเนี่ย ให้ปลื้มคุยเป็นเพื่อนป่าว”
“เฮ้ย ไม่ดีกว่าวะ พี่กลัวมือถือเปียก ฝนตกด้วย ไว้ค่อยคุยกันนะ”
“ได้พี่ กลับหอดีๆนะ”

จำได้ว่า วันนั้นกลับหอด้วยการนั่งแท็กซี่และก็เปียกไปละครึ่งตัว ไหนจะฝนสาด ไหนจะน้ำกระเซ็นจากรถที่วิ่งเร็วๆ ผ่านไปผ่านมาอีก ผมนี่ต้องเอาตัวบังเลย กลัวหนังสือกับคอม เปียกน้ำ  สะบักสะบอมมาพอสมควรกว่าจะถึงหอ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกแล้วตอนผมกำลังอาบน้ำ ไอเราก็คิดว่าแม่โทรมา ก็รีบวิ่งออกมารับโทรศัพท์ แบบไม่ได้มองด้วยนะว่าใครโทรมา

“หวัดดีครับแม่ เก้าอาบน้ำอยู่ เดี๋ยวก้าวโทรกลับนะ”
“พี่เก้าถึงหอแล้วหรอ ดีแล้วๆ เนี่ยปลื้มรอพี่ถึงหออยู่แล้วค่อยเข้านอน”
“อ้าว โทษที นึกว่าแม่โทรมา นี่มันจะห้าทุ่มแล้ว จะรอทำไม คุยพรุ่งนี้ก็ได้ป้ะ”
“เอ๊า (เสียงสูง) ก็ปลื้มมีพี่ชายอยู่คนเดียว ถ้าไม่ให้ปลื้มห่วงพี่ แล้วจะให้ปลื้มไปห่วงใคร”
“เวอร์ละ ไปนอนเลย ไว้คุยกันใหม่พรุ่งนี้นะ บ๊ายบาย” ผมนี่ยิ้มแก้มไม่หุบเลย ผมเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่และน้อง แต่พอมาเจอคนพูดแบบนี้ มันก็รู้สึกดีเนอะ

พอเริ่มชินกับชีวิตมหาลัยแล้ว ผมก็เริ่มสนใจ สาวๆ ในคณะบ้าง มีไปคุยบ้าง ช่วงนั้นยังเป็น Hi5 กับ MSN อยู่ ก็มีแชทๆ คุยๆ อยู่บ้าง แอบเซฟรูปเก็บไว้ดูบ้างตามประสา หนุ่มโสด 555
มีเหตุการณ์ประหลาดอยู่อีกครั้งนึง คือ ตอนนั้นคุย MSN กับเจ้าปลื้มอยู่ แต่ตอบช้ามากก
จนมันทนไม่ไหว ต้องโทรมาถามว่า
“ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงตอบช้าจัง”
“พี่คุยแชทกับเพื่อนที่มหาลัยอยู่อ่ะ เพลินไปหน่อย โทษทีๆ”
“คุยกับผู้ชายหรือผู้หญิงอ่ะ”
“ผู้หญิงดิ ระดับนี้ละ มันก็ต้องมีคุยกับสาวบ้างดิเฮ้ย จะให้โสดไปถึงไหน”
“ไหนๆ เอารูปมาให้ดูมั่ง อยากเห็นๆ”
“ไม่เอาอ่ะ ทำไมต้องส่งไปให้ดู”
“ส่งมาเหอะนะ” (เสียงห้วนและดูรำคาญนิดหน่อย)
“อืมๆ เดี๋ยวส่งไป คุยกันในเอ็มนะ”  #วางสายเลย

พอผมส่งรูปไป เจ้าปลื้มก็บอกว่า ไม่ผ่าน QC หาเหตุผลล้านแปดมาบอกว่า อย่าไปคุยเลย คุยแบบเพื่อนไปเหอะ เลิกคุยไปบ้างก็ได้   จนผมสงสัยว่า ทำไมต้องห้ามขนาดนั้น  สุดท้ายเจ้าตัวก็เลยบอกว่า
“ก็ผมมีพี่ชายคนเดียวก็ต้องหวงบ้างสิ ได้คบคนไม่ดีมาละแย่เลย”
ตอนนั้นรู้สึกดีมาก เหมือนมีคนสำคัญเข้ามาในชีวิตเพิ่ม 1 คนเลย

ปีนี้เป็นปีพิเศษครับ ที่โครงการลองจัดกิจกรรมช่วงเดือน ตุลาคม ดูบ้าง
จังหวะนี้ทำให้เรากลับไปเป็นพี่เลี้ยงพร้อมกัน มีเรื่องมากมายเกินขึ้น คุยกันเยอะแยะเลย เรามีโอกาสใกล้ชิดกันมาก และแล้วเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เราสองคนมองตากัน แล้วผมก็พูดขึ้นมาว่า
“นี่เราไม่เหมือนพีน้องกันเลยเนอะ มันดูสนิทกันมากไปนะเนี่ย”
“โอ๊ย!! (แค่นเสียง) พี่เก้าพึ่งจะรู้สึกตัวหรอ”
“เอิ่มมมม แล้วยังไงอ่ะ”
“ก็เป็นแฟนกันไปเลยพี่ มาซะขนาดนี้ละ”
“เออ ก็ได้”

ตลกว่ะ ทำไมผมไปตอบตกลงไวมาก ทำไมไม่คิดให้ดี เอาให้ถี่ถ้วนกว่านี้

แต่ก็นะ ….
พอตกลงปลงใจแล้ว ความหวานเนี้ย มันเห็นชัดมาก จนกลายเป็นเรื่องเม้ามอยกับแทบจะทั้งโครงการแล้วว่า เก้ากับปลื้มคบกัน  เอาจริงๆ ก็ไม่ได้อยากให้คืนอื่นรู้มากหรอกนะ แต่โดนจับผิดหลายช๊อตมาก

มีครั้งนึง ฮามาก โป๊ะแตก ลำไย พลาด มากกก 555
ผมพยายามที่จะปฏิเสธมาโดยตลอดว่าเราเป็นแค่พี่น้องกัน ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ แต่มาพลาดเอาตรงที่ผมซื้อเสื้อสีขาวมาสองตัว เอามาปักชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษที่หน้าอกข้างซ้าย ด้วยไหมไทย

ด้วยความที่พยายามใส่สลับกันมาตลอด เพื่อไม่ให้โดนจับได้  แต่ก็ไม่รอดด้วยความที่ลืมทั้งคู่ แถมใส่มาตอนนั่งประชุมสรุปงานประจำวันด้วย   โดนหัวหน้าพี่เลี้ยงแซวจนรู้กันหมดเลย

ตอนกลับบ้านหลังจากที่จบโครงการแล้ว ผมซื้อกรอบมือถือ Nokia N72 ให้น้องปลื้ม เป็นของขวัญ แล้วพ่อน้องปลื้มก็ขับรถมาส่งผมที่บ้าน  หลังจากนั้นก็มีไปหาที่โรงเรียนบ้างเป็นครั้งคราว เหนื่อยเหมือนกันกับการนั่งรถจากมหาลัยไปโรงเรียนของน้องเค้า เดินทางแต่ละทีไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ทำแบบนี้อยู่ประมาณ 3 -4 ครั้ง

แน่นอนว่า พออะไรๆ ชัดเจนขนาดนี้ เรื่องก็ไปถึงผู้ใหญ่ท่านนึง ผู้ซึ่งเป็นคนก่อตั้งโครงการนี้ขึ้นมาเลย

อยู่ๆน้องปลื้มก็ไม่รับโทรศัพท์ผมเกือบ 2 เดือน

มาเจอกันอีกทีก็ตอนวันสถาปนามูลนิธิ เราก็มีโอกาสเจอกันอยู่พักนึง และผมก็ได้คำตอบว่า
“มีใครไม่รู้โทรไปบอกพ่อกับแม่ เลิกยุ่งกันเถอะพี่เก้า หยุดยุ่งกับปลื้มด้วยจะดีมาก”

พองานจบ หัวหน้าโครงการก็เรียกผมเข้าไปคุย พยายามเคลียร์เรื่องของเราสองคน ด้วยการที่พยายามพูดในเชิงว่า “เห็นแก่อนาคตของน้องนะเก้า ปล่อยน้องไปเจอคนที่ดีกว่าและที่สำคัญพี่รับไม่ได้ที่คนของโครงการพี่จะมาคบกันแบบนี้ ทางฝั่งพ่อกับแม่ของน้องปลื้ม พี่จะเป็นคนจัดการเอง ส่วนถ้าเก้าอยากกลับมาทำงานโครงการกับพี่อยู่ เดี๋ยวพี่จะส่งเก้าไปอบรมที่ปทุมธานีในปีหน้า ถ้าอบรมแล้วผ่าน พี่จะให้เรากลับมาทำงานที่โครงการนะ”

มาถึงคำถามของผม  ผมอยากรู้ว่า ถ้าคุณเป็นพี่เจ้าของโครงการจะทำยังไงบ้าง  จะทำแบบที่เค้าทำกับผมหรือป่าว   จะสนใจเหตุผลหรือสนใจความรู้สึกของผมมากกว่ากัน


ตอนนี้พอมองย้อนกลับไป มันก็เหมือนกับว่า เราเป็นเด็กคนนึง ที่เค้าใช้แล้วก็ทิ้ง ไม่ได้แคร์ความรู้สึกของเราตอนนั้นด้วยว่า เราจะเสียใจแค่ไหน จะรู้สึกยังไง พี่เค้ามีเหตุผลของเค้าและเค้าก็ไม่ได้รับฟังเหตุผลของเราเลย ทุกวันนี้พี่เค้าเป็น CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าหนึ่งแถบพระราม 4

ปล.ผมก็คิดนะ คนที่ทำงานด้านนี้ เค้าก็น่าจะเห็นผลประโยชน์มาก่อนความรู้สึกของคนอื่นๆหรือป่าว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่