สวัสดีเพื่อนๆพี่ๆและสมาชิกชาวพันทิปทุกคน วันนี้เรามีคำถามและเรื่องราวที่อยากนำมาเล่าให้เป็นอุทาหรณ์แก่ทุกคนเกี่ยวกับการซื้อรถยนต์หรือการเป็นผู้ค้ำประกันให้ผู้อื่น หากท่านยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบบ้านเราท่านอาจไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ ทำแบบนี้กันได้หรอ เราจะเล่าแบบย่อๆที่สุดละกันนะ
ว่าด้วยเรื่องบ้านแม่เราโดนขายทอดตลาด ไปเมื่อ30 ธันวาคม 2557 ซึ่งเรื่องไม่เกี่ยวกับบ้านเลย เกี่ยวกับการซื้อรถกระบะที่แม่ไปซื้อเป็นชื่อแม่แต่น้าชายใช้และน้าชายเป็นคนส่ง มีแฟนน้าชายเป็นคนค้ำ ต่อมาน้าส่งไม่ไหว แม่เราเลยบอกให้เอารถไปคืนเค้าซะ น้าก็เอาไปคืนไฟแนนซ์ ซึ่งทางไฟแนนซ์ก็คุยกับแม่ว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะคืนรถแล้ว จะเครียร์ให้ดี
จนเวลาผ่านไป มีหมายศาลมาถึงแม่และคนค้ำ ให้ไปชำระเงินส่วนที่บริษัทรถให้จ่าย (ไม่กี่พันบาท)แฟนน้าชายก็บอกกับแม่ว่าเงินแค่นี้เดี๋ยวจัดการเอง แม่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดไรขึ้น เพราะความเป็นคนแก่เรียนไม่สูงไม่ได้รู้อะไร ก็คิดว่าไม่มีอะไร จึงปล่อยให้แฟนน้าจัดการไป เวลาผ่านไป นานหลายปี ต้นปี58 คนข้างบ้านเรามาบอกว่าบ้านเราถูกขายแล้ว ทางบ้านเราก็งงว่า จะถูกขายได้ไง เมื่อบ้านเราส่งหมดไปตั้งนานแล้ว ไม่ได้ติดหนี้ธนาคารแต่อย่างใดและโฉนดที่ดินก็ยังอยู่กับทางบ้านเรา แต่คนข้างบ้านคือบ้านติดกันเลย ปกติก็คุยกันดีได้มาบอกว่าบ้านเราโดนขาย เราจึง งง และตกใจ เค้ามีเอกสารมาให้ดู ซึ่งเป็นเอกสารจากบังคับคดี ถึงการประมูลขายบ้านแม่เรา
เราไม่ได้รู้กฎหมายมาก แต่ก็พอจะรู้บ้างว่า การที่ทางบริษัทหรือธนาคารจะขายบ้านใคร ต้องมีขั้นตอนมากมาย ต้องมีหมายศาลมามากมาย แต่ที่ผ่านมาบ้านเราไม่เคยได้เห็นหมายศาลหรือจากบังคับคดีเกี่ยวกับเรื่องการประกาศขายบ้านแม่เราเลยสักครั้ง
ด้วยความไม่แน่ใจ เราจึงเดินทางไปขอดูเอกสารเกี่ยวกับบ้านแม่เราว่ามีหมายมาหรือคดีเป็นเช่นไรกันแน่ สรุปคือที่รายงานการเดินหมายนั้นมีหมายมาบ้านแม่เราหลายครั้งเป็นเวลาหลายปี แต่ทางบ้านเรากลับไม่เคยเห็นหมายเลย เราจึงเดินทางไปขอคำปรึกษาจากหลายไปปรึกษาทนายหลายท่านคำตอบที่ได้คือ ทำอะไรไม่ได้แล้วทำได้แค่ทำใจแล้วย้ายออกจากบ้านไปและรอรับเงินส่วนต่างเพราะคดีมันจบแล้ว ถ้าไม่ยอมออกจากบ้านก็จะมีหมายขับไล่มาไม่ออกอาจติดคุกได้ ตอนนั้นความงงก็เยอะมากทำอะไรแทบจะไม่ถูก พ่อแม่ก็เครียดร้องไห้กันจนจะเป็นบ้า เราคนเป็นลูกก็ไม่อยากเห็นพ่อแม่ทุกข์ใจ(ลืมบอกบ้านเป็นชื่อของทั้งพ่อและแม่)เรายังมาเจอคำปรึกษาที่บั่ยทอนจิตใจอีกใจตอนนั้นแทบสลายกฎหมายก็ไม่รู้เลยและหมายศาลก็ไม่เคยเห็นแล้วจะทำอย่างไรต่อ
จนเราได้ลองไปปรึกษาที่สำนักงานอัยการเพื่อปรชาชน ทางสำนักงานให้ลองหาทนายเราบอกลองปรึกษามาบ้างแล้วแต่เจอคำตอบว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว และเราเองก็ยังไม่รู้ว่าอะไรยังไงบอกตรงๆว่ายังไม่แน่ใจเลยว่าเรื่องบ้านถูกขายไปคือเรื่องจริงทำได้ด้วยหรอขายบ้านแม่เราทั้งๆที่แม่เราไม่รู้ได้หรอ จนเราสืบหาทนายที่เก่งได้หนึ่งท่านเลยตัดสินใจไปปรึกษาและขอคำแนะนำ ท่านบอกว่าคดีแบบนี้มันยากมาก ท่านแนะนำให้ไปร้องขอความเป็นธรรมและขอข้อเท็จจริงจากที่ศูนย์ดำรงธรรมก่อน
เราจึงไปศูนย์ดำรงธรรมเพื่อให้ทางศูนย์ดำรงธรรมช่วยขอให้ทางบังคับคดีช่วยชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นมาว่าทำไมทางบ้านเราจึงไม่ทราบเรื่องและมีลายเซ็นรับหมาย2แห่งซึ่งไม่ใช่ลายเซ็นของคนในบ้านเลย เรามีเอกสารแนบไปเพื่อขอคำชี้แจงและความเป็นธรรม ทางบังคับคดีกว่าจะตอบกลับมากินระยะเวลาเป็นเดือนซึ่งตอนนั้นเราจะมัวรอคำชี้แจงอยู่คงได้ติดคุกที่ไม่ยอมออกจากบ้านตามหมายขับไล่แน่ๆ(ช่วงที่รอคำตอบก็พยายามหาอ่านกฎหมายแพ่งด้วยเพื่อทำความเข้าใจบ้าง)และเมื่อทางบังคับคดีตอบกลับมามีใจความว่าทางบังคับคดีได้ทำการคามขั้นตอนการปิดหมายอย่างถูกต้องทุกประการและลายเซ็นที่เราขอให้ชี้แจงว่าเป็นลายเซ็นใครอาจมีคนอื่นที่ไม่ใช่คนในบ้านมาเซ็นรับหมายศาลแทนนั้นมิใช่ลายเซ็นแต่เป็นการเขียนคำว่าปิดหมาย เขียนลงในช่องผู้รับหมาย(แต่เราอ่านยังไงก็ไม่น่าใช่คำว่าปิดหมาย เอาไว้จะถ่ายรูปมาให้ดูนะ) เมื่อได้ทราบเรื่องดังนั้นเราคิดว่าคงมีอะไรไม่ชอบมาพากลบางอย่างแน่นอน
ในตอนนั้นพี่สาวที่อยู่กรุงเทพฯได้ได้รับคำปรึกษาจากทนายท่านนึง ท่านแนะนำให้ร้องต่อศาลขอเพิกถอนการขายทอดตลาด เราจึงไปร้องต่อศาลขอเพิกถอนการขายทอดตลาด แต่เรื่องดำเนินมาถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีวี่แววจะได้บ้านคืนเลย โดยปัจจุบันเงินที่รวมค่าปรับอยู่ที่เพียง80000กว่าบาทเท่านั้น แต่ขายบ้านราคาเกือบล้าน ซึ่งเมื่อ20ปีที่แล้วแม่เราซื้อบ้านหลังนี้มาในราคา8แสนบาท นี่คือราคาขาย ไม่รวมดอกเบี้ยธนาคาร และเวลาผ่านไป20ปี บ้านเรากลับถูกประเมินอยู่ที่ราคา470000บาท ซึ่งถูกประมูลขายไปที่490000บาท
ประเด็นคือเรื่องเก่าเราไม่ได้ติดใจถือว่าแม่เราไม่รู้เอง แต่ที่สงสัยคือ ทำไมมีหมายมาจากบังคับคดีตั้งหลายครั้ง ถ้ามีหมายมาจริงตามรายงานการเดินหมาย ทำไมพ่อเราแม่เราและคนในบ้านเราจึงไม่เคยได้เห็นหมายเลยแม้แต่สักครั้งเดียว จนมีการขายทอดตลาดไปแล้วจึงมารู้จากปากคนข้างบ้าน สืบทราบในภายหลังว่าคนข้างบ้านเค้าคือคนประมูลบ้านเราไปนั่นเอง ที่เรายังคงหาคำตอบไม่ได้คือหมายมาทำไมไม่เคยเห็นและถ้ามีมาจริงๆหมายหายไปไหนทุกๆหมายเลย
คนข้างบ้านคนกันเองคุยกันดี ทำไมเค้าจึงไม่บอกบ้านเราเลยว่าบ้านเราถูกขายทอดตลาด และเจ้าของบ้านยังไม่เคยเห็นหมายไม่เคยรู้เลยว่าบ้านตัวเองจะถูกประมูลขายทอดตลาด ไม่มีแม้แต่โอกาสจะไปคัดค้านหรือไกล่เกลี่ย แต่คนข้างบ้านรู้ได้อย่างไรว่าบ้านเราจะถูกขาย และเรื่องก็ไม่มีวี่แววเลยว่าเราจะได้บ้านคืนมาให้แม่ น้ำพักน้ำแรงคนหาเช้ากินค่ำ กว่าจะส่งบ้านหลังนึงหมดแทบแย่ วันนึงบ้านมาถูกขายไปโดยไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ไม่เคยได้ไปคัดค้านไม่มีแม้แต่โอกาสจะขอไกล่เกลี่ยชดใช้หนี้ที่เกิดขึ้นมาเลย
ถามว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ต้องทำยังไง ถามว่าเรายังสามารถได้รับโอกาสและความยุติธรรมบ้างไหม หน่วยงานไหนจะช่วยเหลือครอบครัวเราได้บ้าง ครอบครัวเรายังจะคงได้รับความเป็นธรรมใช่มั้ย
จะทำอย่างไรถ้าอยู่ดีๆบ้านที่เราอยู่มาตั้งแต่เด็กกลายไปเป็นบ้านของคนข้างบ้านโดยที่คนในบ้านไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลย
ว่าด้วยเรื่องบ้านแม่เราโดนขายทอดตลาด ไปเมื่อ30 ธันวาคม 2557 ซึ่งเรื่องไม่เกี่ยวกับบ้านเลย เกี่ยวกับการซื้อรถกระบะที่แม่ไปซื้อเป็นชื่อแม่แต่น้าชายใช้และน้าชายเป็นคนส่ง มีแฟนน้าชายเป็นคนค้ำ ต่อมาน้าส่งไม่ไหว แม่เราเลยบอกให้เอารถไปคืนเค้าซะ น้าก็เอาไปคืนไฟแนนซ์ ซึ่งทางไฟแนนซ์ก็คุยกับแม่ว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะคืนรถแล้ว จะเครียร์ให้ดี
จนเวลาผ่านไป มีหมายศาลมาถึงแม่และคนค้ำ ให้ไปชำระเงินส่วนที่บริษัทรถให้จ่าย (ไม่กี่พันบาท)แฟนน้าชายก็บอกกับแม่ว่าเงินแค่นี้เดี๋ยวจัดการเอง แม่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดไรขึ้น เพราะความเป็นคนแก่เรียนไม่สูงไม่ได้รู้อะไร ก็คิดว่าไม่มีอะไร จึงปล่อยให้แฟนน้าจัดการไป เวลาผ่านไป นานหลายปี ต้นปี58 คนข้างบ้านเรามาบอกว่าบ้านเราถูกขายแล้ว ทางบ้านเราก็งงว่า จะถูกขายได้ไง เมื่อบ้านเราส่งหมดไปตั้งนานแล้ว ไม่ได้ติดหนี้ธนาคารแต่อย่างใดและโฉนดที่ดินก็ยังอยู่กับทางบ้านเรา แต่คนข้างบ้านคือบ้านติดกันเลย ปกติก็คุยกันดีได้มาบอกว่าบ้านเราโดนขาย เราจึง งง และตกใจ เค้ามีเอกสารมาให้ดู ซึ่งเป็นเอกสารจากบังคับคดี ถึงการประมูลขายบ้านแม่เรา
เราไม่ได้รู้กฎหมายมาก แต่ก็พอจะรู้บ้างว่า การที่ทางบริษัทหรือธนาคารจะขายบ้านใคร ต้องมีขั้นตอนมากมาย ต้องมีหมายศาลมามากมาย แต่ที่ผ่านมาบ้านเราไม่เคยได้เห็นหมายศาลหรือจากบังคับคดีเกี่ยวกับเรื่องการประกาศขายบ้านแม่เราเลยสักครั้ง
ด้วยความไม่แน่ใจ เราจึงเดินทางไปขอดูเอกสารเกี่ยวกับบ้านแม่เราว่ามีหมายมาหรือคดีเป็นเช่นไรกันแน่ สรุปคือที่รายงานการเดินหมายนั้นมีหมายมาบ้านแม่เราหลายครั้งเป็นเวลาหลายปี แต่ทางบ้านเรากลับไม่เคยเห็นหมายเลย เราจึงเดินทางไปขอคำปรึกษาจากหลายไปปรึกษาทนายหลายท่านคำตอบที่ได้คือ ทำอะไรไม่ได้แล้วทำได้แค่ทำใจแล้วย้ายออกจากบ้านไปและรอรับเงินส่วนต่างเพราะคดีมันจบแล้ว ถ้าไม่ยอมออกจากบ้านก็จะมีหมายขับไล่มาไม่ออกอาจติดคุกได้ ตอนนั้นความงงก็เยอะมากทำอะไรแทบจะไม่ถูก พ่อแม่ก็เครียดร้องไห้กันจนจะเป็นบ้า เราคนเป็นลูกก็ไม่อยากเห็นพ่อแม่ทุกข์ใจ(ลืมบอกบ้านเป็นชื่อของทั้งพ่อและแม่)เรายังมาเจอคำปรึกษาที่บั่ยทอนจิตใจอีกใจตอนนั้นแทบสลายกฎหมายก็ไม่รู้เลยและหมายศาลก็ไม่เคยเห็นแล้วจะทำอย่างไรต่อ
จนเราได้ลองไปปรึกษาที่สำนักงานอัยการเพื่อปรชาชน ทางสำนักงานให้ลองหาทนายเราบอกลองปรึกษามาบ้างแล้วแต่เจอคำตอบว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว และเราเองก็ยังไม่รู้ว่าอะไรยังไงบอกตรงๆว่ายังไม่แน่ใจเลยว่าเรื่องบ้านถูกขายไปคือเรื่องจริงทำได้ด้วยหรอขายบ้านแม่เราทั้งๆที่แม่เราไม่รู้ได้หรอ จนเราสืบหาทนายที่เก่งได้หนึ่งท่านเลยตัดสินใจไปปรึกษาและขอคำแนะนำ ท่านบอกว่าคดีแบบนี้มันยากมาก ท่านแนะนำให้ไปร้องขอความเป็นธรรมและขอข้อเท็จจริงจากที่ศูนย์ดำรงธรรมก่อน
เราจึงไปศูนย์ดำรงธรรมเพื่อให้ทางศูนย์ดำรงธรรมช่วยขอให้ทางบังคับคดีช่วยชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นมาว่าทำไมทางบ้านเราจึงไม่ทราบเรื่องและมีลายเซ็นรับหมาย2แห่งซึ่งไม่ใช่ลายเซ็นของคนในบ้านเลย เรามีเอกสารแนบไปเพื่อขอคำชี้แจงและความเป็นธรรม ทางบังคับคดีกว่าจะตอบกลับมากินระยะเวลาเป็นเดือนซึ่งตอนนั้นเราจะมัวรอคำชี้แจงอยู่คงได้ติดคุกที่ไม่ยอมออกจากบ้านตามหมายขับไล่แน่ๆ(ช่วงที่รอคำตอบก็พยายามหาอ่านกฎหมายแพ่งด้วยเพื่อทำความเข้าใจบ้าง)และเมื่อทางบังคับคดีตอบกลับมามีใจความว่าทางบังคับคดีได้ทำการคามขั้นตอนการปิดหมายอย่างถูกต้องทุกประการและลายเซ็นที่เราขอให้ชี้แจงว่าเป็นลายเซ็นใครอาจมีคนอื่นที่ไม่ใช่คนในบ้านมาเซ็นรับหมายศาลแทนนั้นมิใช่ลายเซ็นแต่เป็นการเขียนคำว่าปิดหมาย เขียนลงในช่องผู้รับหมาย(แต่เราอ่านยังไงก็ไม่น่าใช่คำว่าปิดหมาย เอาไว้จะถ่ายรูปมาให้ดูนะ) เมื่อได้ทราบเรื่องดังนั้นเราคิดว่าคงมีอะไรไม่ชอบมาพากลบางอย่างแน่นอน
ในตอนนั้นพี่สาวที่อยู่กรุงเทพฯได้ได้รับคำปรึกษาจากทนายท่านนึง ท่านแนะนำให้ร้องต่อศาลขอเพิกถอนการขายทอดตลาด เราจึงไปร้องต่อศาลขอเพิกถอนการขายทอดตลาด แต่เรื่องดำเนินมาถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีวี่แววจะได้บ้านคืนเลย โดยปัจจุบันเงินที่รวมค่าปรับอยู่ที่เพียง80000กว่าบาทเท่านั้น แต่ขายบ้านราคาเกือบล้าน ซึ่งเมื่อ20ปีที่แล้วแม่เราซื้อบ้านหลังนี้มาในราคา8แสนบาท นี่คือราคาขาย ไม่รวมดอกเบี้ยธนาคาร และเวลาผ่านไป20ปี บ้านเรากลับถูกประเมินอยู่ที่ราคา470000บาท ซึ่งถูกประมูลขายไปที่490000บาท
ประเด็นคือเรื่องเก่าเราไม่ได้ติดใจถือว่าแม่เราไม่รู้เอง แต่ที่สงสัยคือ ทำไมมีหมายมาจากบังคับคดีตั้งหลายครั้ง ถ้ามีหมายมาจริงตามรายงานการเดินหมาย ทำไมพ่อเราแม่เราและคนในบ้านเราจึงไม่เคยได้เห็นหมายเลยแม้แต่สักครั้งเดียว จนมีการขายทอดตลาดไปแล้วจึงมารู้จากปากคนข้างบ้าน สืบทราบในภายหลังว่าคนข้างบ้านเค้าคือคนประมูลบ้านเราไปนั่นเอง ที่เรายังคงหาคำตอบไม่ได้คือหมายมาทำไมไม่เคยเห็นและถ้ามีมาจริงๆหมายหายไปไหนทุกๆหมายเลย
คนข้างบ้านคนกันเองคุยกันดี ทำไมเค้าจึงไม่บอกบ้านเราเลยว่าบ้านเราถูกขายทอดตลาด และเจ้าของบ้านยังไม่เคยเห็นหมายไม่เคยรู้เลยว่าบ้านตัวเองจะถูกประมูลขายทอดตลาด ไม่มีแม้แต่โอกาสจะไปคัดค้านหรือไกล่เกลี่ย แต่คนข้างบ้านรู้ได้อย่างไรว่าบ้านเราจะถูกขาย และเรื่องก็ไม่มีวี่แววเลยว่าเราจะได้บ้านคืนมาให้แม่ น้ำพักน้ำแรงคนหาเช้ากินค่ำ กว่าจะส่งบ้านหลังนึงหมดแทบแย่ วันนึงบ้านมาถูกขายไปโดยไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ไม่เคยได้ไปคัดค้านไม่มีแม้แต่โอกาสจะขอไกล่เกลี่ยชดใช้หนี้ที่เกิดขึ้นมาเลย
ถามว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ต้องทำยังไง ถามว่าเรายังสามารถได้รับโอกาสและความยุติธรรมบ้างไหม หน่วยงานไหนจะช่วยเหลือครอบครัวเราได้บ้าง ครอบครัวเรายังจะคงได้รับความเป็นธรรมใช่มั้ย