==ชีวประวัติของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์(Albert Eistein) และทฤษฎีสัมพัทธภาพ(Relativity)==

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Eistein) เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก และถูกพูดถึงบ่อยๆ สมการ E=mc^2 น่าจะเป็นสมการที่โด่งดังที่สุด คนรู้จักกันมากที่สุด แต่ถ้าถามว่าแล้วสมการนี้เกี่ยวข้องอะไรกับทฤษฎีสัมพัทธภาพ ? อธิบายอีกก็คือทฤษฎีพูดถึงเรื่อง เวลา อวกาศ  แรงโน้มถ่วงมิใช่หรือ เกี่ยวอะไรกับความสัมพันธ์ของมวลและพลังงาน ? หรือทฤษฎีสัมพัทธภาพพูดถึงเรื่องอะไร นอกจากเรื่องปฏิทรรศน์ของฝาแฝด ? หรือทำไมไอน์สไตน์ได้รางวัลโนเบล แต่ทำไมได้เรื่องอื่นไม่ได้เพราะทฤษฎีสัมพัทธภาพ ? แล้วไอน์สไตน์ตอนเด็กๆเรียนไม่เก่งจริงหรือเปล่า ?







ถ้าอยากรู้ว่าคนๆหนึ่งสามารถมีผลงานที่ยิ่งใหญ่ เปิดเผยความลึกลับดำมืดของเอกภพได้อย่างไร เราก็ต้องมารู้จักกับชีวิตและตัวตนของเขาก่อนดูว่าเขาทำอะไร ผ่านอะไรมาบ้าง ดังเรื่องราวของฮุ้ยปวยเอี้ยง พระเอกในกระบี่ไร้เทียมทานที่ต้องเผชิญทุกข์เหนือทุกข์เพื่อกลายมาเป็นคนเหนือคน !
















จอมยุทธ์ในนวนิยายกำลังภายในล้วนต้องผ่านการเคี่ยวกรำฝึกฝนอย่างหนัก ค่อยฝึกปรือวิชาไหมฟ้าได้ ไอน์สไตน์ก็เช่นกัน ต้องลำบากตรากตรำก็จำทน จนกว่าจะเข้าใจการทำงาน ความลับในธรรมชาติ !







เหล่าจอมยุทธ์ยากฝ่าด่านหญิงงาม ไอน์สไตน์ก็เป็นเฉกเช่นกัน







หลากหลายเรื่องราวมากมาย หลากหลายคำถามที่น่าสนใจ นั้นวันนี้เราลองมาทำความรู้จักกับชีวประวัติของอัลเบิร์ต ไอนสไตน์(Albert Eistein) และทฤษฎีสัมพัทธภาพ(Relativity)กันเถอะ


==================================
เพราะการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่นับพันลี้ เริ่มต้นด้วยก้าวเล็กๆเสมอ !







เพลงมา !



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เพลง กระบี่ไร้เทียมทาน



จากเด็กเล็กตัวน้อยๆจากประเทศเยอรมนี







คร่ำเคร่งฝึกกระบวนวิชาจนมาเป็นบุรุษแห่งศตววรษ ผู้ปฏิวัติวงการฟิสิกส์  และหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดการ







ไอน์สไตน์เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ปี 1879 ที่เมืองอูม ประเทศเยอรมนี ตอนเด็กๆเขาเติบโตและได้รับการศึกษาขั้นต้นที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี เมืองมิวนิค ใช่แล้ว ทีมบาเยินมิวนิคก็มาจากเมืองนี้ไง น่าเสียดายที่พึ่งตกรอบยูฟ่าเชียมเปียนลีกไป








เมืองมิวนิคในปัจจุบัน



ตอนเด็กๆแม้อายุ 9ขวบแล้ว เขาก็ยังพูดไม่คล่องด้วยซ้ำ แต่เมื่อเขาได้เข็มทิศเป็นของเล่น เขารู้สึกสนใจกับมันมาก ในเข็มทิศมันมีพลังลึกลับที่ทำให้เข็มทิศชี้ไปทางทิศเหนืออยู่ตลอดเวลา เขาใคร่ครวญคิดถึงเรื่องนี้มาก







การเรียนคณิตศาสตร์ก็ทำได้ดี ไอน์สไตน์เชี่ยวชาญแคลคูลัสเชิงปริพันธ์และเชิงอนุพันธ์ขณะอายุเพียง 16 ปี







สิ่งหนึ่งที่ไอน์สไตน์ชอบมากอีกอย่างหนึ่งก็คือวิชาปรัชญา เขาชื่อชอบและตามอ่านงานของ อิมมานูเอิล คานท์ (Immanuel Kant)  ซึ่งเป็นนักปรัชญาชาวเยอรมัน จากแคว้นปรัสเซีย ได้รับการยกย่องโดยทั่วไปว่า เป็นนักคิดที่มีอิทธิพลมากที่สุดของยุโรป และเป็นนักปรัชญาคนสำคัญคนสุดท้ายของยุคแสงสว่าง เขาสร้างผลกระทบที่สำคัญไปถึงนักปรัชญาสายโรแมนติกและสายจิตนิยม ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 งานของเขาเป็นจุดเริ่มของ เฮเกิล




Immanuel Kant



คานท์เป็นที่รู้จักเนื่องจากแนวคิดของเขา ที่เรียกว่าจิตนิยมอุตรวิสัย (transcendental idealism) ที่กล่าวว่ามนุษย์ใช้แนวคิดบางอย่างที่ติดตัวมาแต่กำเนิด (innate idea) ในการรับรู้ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวในโลก เรารับรู้โลกโดยผ่านทางประสาทสัมผัสประกอบกับมโนภาพที่ติดตัวมานี้ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถล่วงรู้หรือเข้าใจใน "สรรพสิ่งที่แท้" ได้ ความรู้ต่อสรรพสิ่งที่เรามีนั้นจึงเป็นได้แค่เพียงภาพปรากฏ ที่เรารับรู้ได้ผ่านทางประสาทสัมผัสเท่านั้น




หนึ่งผลงานเขยนที่มีชื่อที่สุดของเขา Critique of Pure Reason



เนื่องมาจากความล้มเหลวในธุรกิจเคมีไฟฟ้าของพ่อของเขา ทำให้ครอบครัวไอน์สไตน์ย้ายจากเมืองมิวนิก ไปยังเมืองพาเวีย ประเทศอิตาลี




เมืองพาเวีย ประเทศอิตาลี ในปัจจุบัน



โดยที่ไอน์สไตน์ยังอาศัยอยู่ในบ้านพักในมิวนิกอยู่จนเรียนจบจากโรงเรียน โดยเรียนเสร็จไปแค่ภาคเรียนเดียวก่อนจะลาออกจากโรงเรียนมัธยมศึกษา ต่อมาเขาจึงตามครอบครัวของเขาไปอาศัยอยู่ในเมืองพาเวีย เขาลาออกโดยไม่บอกพ่อแม่ของเขา และโดยไม่ผ่านการเรียนหนึ่งปีครึ่งรวมถึงการสอบไล่ ไอน์สไตน์เกลี้ยกล่อมโรงเรียนให้ปล่อยตัวเขาออกมา โดยกล่าวว่าจะไปศึกษาเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดตามคำเชิญจากเพื่อนผู้เป็นแพทย์ของเขาเอง โรงเรียนยินยอมให้เขาลาออก แต่นี่หมายถึงเขาจะไม่ได้รับใบรับรองการศึกษาชั้นเรียนมัธยม



ในระหว่างที่ไอน์สไตน์อยู่ที่เมืองพาเวียนี้เอง เพื่อความบันเทิงของชีวิต ไอน์สไตน์จึงไปนั่งฟังเลขเชอร์ หาความรู้ที่มหาวิทยาลัยพาเวีย นั่งsit-in ฟังเลขเชอร์เฉยๆ โดยไม่ต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องการสอบไล่ ความรู้ที่ได้จากตรงนี้ก็มีส่วนสำคัญให้ไอน์สไตน์จะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต




มหาวิทยาลัยพาเวีย



แม้ว่าเขาจะมีความสามารถชั้นเลิศในสาขาวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ แต่การที่เขาไร้ความรู้ใด ๆ ทางด้านศิลปศาสตร์ ทำให้เขาไม่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าสถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิสในเมืองซูริก ( ETH) ทำให้ครอบครัวเขาต้องส่งเขากลับไปเรียนมัธยมศึกษาให้จบที่อารอในสวิตเซอร์แลนด์ เขาสำเร็จการศึกษาและได้รับใบอนุปริญญาในเดือนพฤศจิกายน ปี 1896 และสอบเข้า ETH ได้ในเดือนตุลาคม แล้วจึงย้ายมาอาศัยอยู่ในเมืองซูริก




สถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิสในเมืองซูริก ( ETH)



ในปี 1900 เขาได้รับประกาศนียบัตรสำเร็จการศึกษาจาก  ETH หลังจากจบการศึกษา ไอน์สไตน์ไม่สามารถหางานสอนหนังสือได้ หลังจากเพียรพยายามอยู่เกือบสองปี พ่อของอดีตเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งก็ช่วยให้เขาได้งานทำที่สำนักงานสิทธิบัตรในกรุงเบิร์น ในตำแหน่งผู้ช่วยตรวจสอบเอกสาร หน้าที่ของเขาคือการตรวจประเมินใบสมัครของสิทธิบัตรในหมวดหมู่อุปกรณ์แม่เหล็กไฟฟ้า ในปี 1903 ไอน์สไตน์ได้แต่งงานกับมิเลวา มารี เพื่อนเก่าสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งเมืองซูริคมีลูกด้วยกัน 2 คน ปีเดียวกันนี้ไอน์สไตน์ก็ได้บรรจุเข้าเป็นพนักงานประจำ หลังจากถูกมองข้ามมานานจนกระทั่งกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจักรกล

ขณะเดียวกัน วันที่ 30 เมษายน 1905 ไอน์สไตน์ทำวิทยานิพนธ์สำเร็จ โดยมี Alfred Kleiner เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ไอน์สไตน์ได้วุฒิการศึกษาปริญญาเอก จาก University of Zurich







หลังจากเสร็จงานของเขาทำให้ไอน์สไตน์มีเวลามานั่งศึกษา ทำงานด้านฟิสิกส์ได้อย่างเต็มที่ อาจารย์ผมก็เคยสอนว่าเวลานั่งทำโจทย์ฟิสิกส์ต้องมีเวลานั่งเงียบๆคนเดียวในห้องครั้งละสักประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อสามารถมีเวลาคิดใคร่ครวญได้อย่างเต็มที่







หลังจากใช้เวลาศึกษา ทำงานอย่างยาวนาน พอถึงปี 1905 ก็เป็งช่วงเวลาที่ดอกไม้เบ่งบาน ไอน์สไตน์ได้เขียนงาน 3 บทความตีพิมพ์ลงวารสารที่มีชื่อที่สุดในยุคนนั้น ถ้าเป็นยุคนี้วงการฟิสิกส์อาจจะเป็นวารสาร Physical Review Letters แต่ในสมัยนั้นคือ วารสาร Annalen der Physik ทั้ง 3 งานที่ตีพิมพ์นั้นสุดยอดมาก แต่ละชิ้นสมควรเหมาะแก่การได้รับรางวัลโนเบลทุกชิ้น เป็นความจริงที่ว่า การจะดูว่าแต่ละคนเก่งกาจมากน้อยแค่ไหน ให้ดูที่ผลงานของเขา และวงการวิทยาศาสตร์ ผลงานการตีพิมพ์บทความงานวิจัย ก็ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจน โจ๋งครึ่ม







รายละเอียดในงานวิจัยทั้ง 3 งานนั้นกล่าวโดยย่อ งานแรกแสดงให้เห็นว่าอะตอมมีตัวตนอยู่จริงๆ งานที่สองเป็นพื้นฐานแรกๆเกี่ยวกับทฤษฎีควอนตัม ซึ่งข้อสังเกตคือในช่วงแรกๆของจนถึงกลางคนไอน์สไตน์มักไม่เชื่อแนวความคิดในเรื่องทฤษฎีควอนตัม แต่สิ่งที่ย้อนแย้งคืองานของเขากลับเป็นพื้นฐานแรกๆเกี่ยวกับทฤษฎีควอนตัม และงานสุดท้ายชิ้นที่ 3  คือทฤษฎีสัมพัทธภาพที่โด่งดัง ถ้าให้เจาะจงไปอีกงานชิ้นที่คือเรื่องสัมพัทธภาพแบบพิเศษ คือไม่ใช่ธรรมดา คือถ้าสั่งข้าวก็ได้เยอะขึ้น และมีไข่ดาวด้วย



ทฤษฎีนี้น่าสนใจมากๆ และมันขัดกับสามัญสำนึกมากๆ คือเวลานั้นไม่ได้ผ่านไปเท่าๆกันในสำหรับทุกคน ย้ำอีกครั้ง เวลาที่ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเท่ากันทุกที่ในเอกภพนั้นไม่จริง นี่ไม่ใช่พลอตนวนิยายวิทยาศาสตร์แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ถ้ามีฝาแฝดคู่หนึ่ง จะพบว่ามีอีกคนอายุมากกว่าอีกคน ถ้ามีคนใดคนหนึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้แสง เขาจะพบว่าแฝดที่อยู่บนโลกนั้นแก่ลงไปมาก







เพียงชั่วข้ามคืนไอน์สไตน์ก็กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง หลากหลายมหาวิทยาลัยยื่นข้อเสนองานให้เขา แต่ในใจลึกๆแล้วยังมีบางสิ่งรบกวนเขาอยู่ ทฤษฎีสัมพัทธภาพนั้นดูไม่เข้ากับกับเรื่องของความโน้มถ่วงที่รู้จักกัน และเขาก็ตระหนักได้ว่า ความโน้มถ่วงสากล ที่ไอแซก นิวตัน นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่อีกคนก่อนหน้ายุคของไอน์สไตน์หลายร้อยปีอธิบายถึงนั้น อาจจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขใหม่ เพื่อให้เข้ากับทฤษฎีสัมพัทธภาพ







แต่ก็ตามสำนวนนวนิยายกำลังภายในของท่านกิมย้ง "ไหนเลยมีเรื่องง่ายดายปานนั้น" ไอน์สไตน์ต้องใช้เวลาอย่างยาวนานต่อเนื่องนับ 10 ปี เพื่อคร่ำเคร่งฝึกปรือวิชา 10 ปีแห่งการพยายามทำความเพียร ความผิดพลาด ความสับสน แนวคิดที่ผิด และแนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องความโน้มถ่วง





เดี๋ยวมาเขียนต่อครับ
------------------------------------------------------------------------------------




“ถ้าชอบกระทู้รบกวนช่วยกดบวก กดถูกใจกระทู้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ”
-แม่นางเซียวเหลียงนึ่ง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่