เส้นทางสายไหมใหม่ แผนที่จีนเดินหน้าเต็มกำลัง

กระทู้คำถาม
updated: 03 พ.ค. 2559 เวลา 22:59:34 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

คอลัมน์ เลียบรั้วเลาะโลก โดย จอห์น จู นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารเอชเอสบีซี

ปีนี้ข่าวการควบรวมกิจการข้ามประเทศของบริษัทจีนกลายเป็นข่าวโด่งดังในสื่อต่าง ๆ นับเป็นปรากฏการณ์อีกก้าวหนึ่งของทุนจีนในกระแสโลกาภิวัตน์ และน่าจะเป็นประโยชน์ร่วมกันสำหรับนักลงทุนจีนและประเทศที่ได้รับเงินลงทุนจากจีน

ปี 2558 มูลค่าการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของจีนที่ไม่นับรวมภาคการเงิน สูงกว่าเงินทุนไหลเข้าในประเทศเป็นครั้งแรก ซึ่งเกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ (หรืออาจจะเนื่องมาจาก) เศรษฐกิจจีนชะลอตัว

เราคิดว่ามูลค่าการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของจีนยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปริมาณเงินออมในประเทศส่วนเกินเป็นปัจจัยหนุนการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่สามารถให้ผลตอบแทนได้ในระยะยาวการลงทุนในต่างประเทศทำให้ผู้ประกอบการและผู้ออมเงินในจีนสามารถกระจายแหล่งรายได้ไปยังต่างประเทศและเพิ่มอุปสงค์ให้แก่สินค้าส่งออกของจีนในตลาดโลก

เส้นทางสายไหมใหม่ที่เชื่อมต่อเส้นทางทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งมักรู้จักกันว่าเป็นยุทธศาสตร์ "One Belt, One Road" ก็เป็นส่วนสำคัญของแผนลงทุนในต่างประเทศของจีน

ในปี 2558 มูลค่าการลงทุนของวิสาหกิจจีนใน 49 ประเทศตามแนวเส้นทางสายไหมใหม่ คิดเป็น 14,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1 ใน 8 ของเงินลงทุนโดยตรงในต่างประเทศนอกภาคการเงิน จีนขับเคลื่อนการลงทุนตามแนวเส้นทางสายไหมใหม่และดินแดนที่ห่างไกลออกไป เพื่อแสวงหาตลาดใหม่และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น รวมทั้งหาแหล่งรายได้ที่แน่นอนเพื่อสั่งซื้อสินค้านำเข้าได้มากขึ้น โดยหลายประเทศที่ทุนจีนไหลเข้ามาลงทุนมักจะมีเงินออมไม่เพียงพอที่จะรองรับการลงทุนที่จำเป็น

อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนจากจีนก็ใช่ว่าจะมีได้ต่อเนื่องในทุก ๆ ด้าน เนื่องจากเศรษฐกิจจีนกำลังเติบโตช้าลง ปริมาณความต้องการทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรแร่ต่าง ๆ ของจีนจึงลดน้อยลงตามวัฏจักรเศรษฐกิจ และการปรับโครงสร้างระยะยาว ซึ่งจะลดสัดส่วนของอุตสาหกรรมหนัก ดังนั้น ในปี 2557 จึงพบว่าการลงทุนโดยตรงของจีนในแอฟริกาลดลงร้อยละ 5 และในแถบละตินอเมริกาลดลงร้อยละ 10.5

จีนได้โยกเงินลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศไปเป็นการลงทุนโดยตรงมากขึ้น จากเดิมที่เป็นการสะสมหลักทรัพย์ต่างประเทศในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ และกว่าร้อยละ 80 ของการลงทุนโดยตรงเป็นเงินลงทุนในหุ้นทุน ไม่ใช่การปล่อยกู้ ที่จริงแล้ว การลงทุนในต่างประเทศของจีนอยู่ในรูปการควบรวมกิจการถึงร้อยละ 60 โดยเมื่อปีที่แล้วมีดีลควบรวมถึง 593 ดีล มูลค่ารวมทั้งสิ้น 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แม้ว่าการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 1.2 ของจีดีพีในปี 2557 ซึ่งต่ำกว่าของประเทศที่พัฒนาแล้วอยู่มาก ทั้งนี้ ก็มีคำถามว่าโลกจะมีท่าทีอย่างไรต่อการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของการควบรวมธุรกิจ และการลงทุนในต่างประเทศของจีน และเรื่องที่น่ากังวลคือ การลงทุนในต่างประเทศของจีน จะทำให้ประเทศที่เป็นฝ่ายรับหวังจะพึ่งพาทุนจีนด้านการค้าและการลงทุนมากเกินไปหรือไม่

ปัจจุบันจีนกลายเป็นหรือกำลังจะเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของหลาย ๆ ประเทศที่จีนเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่ตั้งอยู่ตามแนวเส้นทางสายไหมใหม่ในเอเชียและยุโรป อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสุทธิของเงินทุน สินค้าและบริการ เป็นผลของการที่ประเทศหนึ่งมีเป้าประสงค์จะลงทุนมากกว่าออมเงิน

การจำกัดการลงทุนจากต่างชาติ จะทำให้ประเทศที่จะมีทุนไหลเข้ามีต้นทุนของเงินทุนเพิ่มขึ้น และซ้ำเติมปัญหาการขาดดุลของประเทศมากยิ่งขึ้น รวมทั้งลดโอกาสที่จะได้รับผลพลอยได้อื่น ๆ เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างชาติ การสร้างงาน การเพิ่มขึ้นของผลิตภาพและรายได้

ท้ายที่สุดแล้วคุณลักษณะหรือประเภทของผู้ซื้อจึงสำคัญมากกว่าสัญชาติ ดังนั้น ผู้ประกอบการจีนจึงมีแรงจูงใจที่จะพิสูจน์ตัวเองในฐานะผู้ลงทุนระยะยาวที่มีความรับผิดชอบ และพร้อมจะเพิ่มมูลค่าการลงทุนของตนในต่างประเทศ

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1462161840
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่