“กรุ๊งกริ๊งๆๆ.......!” กระดิ่งที่ถูกผูกไว้กับบานประตูส่งเสียงเตือนเจ้าของร้านทุกครั้งที่มีลูกค้ารายใหม่ก้าวเข้ามาในร้าน มันเป็นสัญญาณบ่งบอกให้เจ้าของร้านในเคาเตอร์หันไปยิ้มและกล่าวสวัสดีกับผู้มาใหม่อย่างเป็นกันเอง ตอนนี้ร้านกาแฟแห่งนี้ต่างเนืองแน่นไปด้วยลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการอาหารและหลบร้อนจากแสงแดดที่ส่งแสงแรงกล้ายามเที่ยงวัน... และที่สำคัญรสชาติอาหารของร้านแห่งนี้เป็นที่ถูกปากทุกชนชั้น ยิ่งบวกกับรสชาติของกาแฟแสนกลมกล่อมรสชาติเยี่ยมของเจ้าของร้านแล้ว จึงทำให้ร้านทั้งร้านแทบจะเบียดเสียดไปด้วยลูกค้าที่เข้ามาลิ้มลองกันอย่างแน่นขนัดทุกๆวัน..
วรวิทย์ขับรถเปิดประทุนสีแดงสดของเขามาจอดที่ริมฟุตบาทเบื้องหน้าร้านนั้น เขามองเข้าไปในร้านดูฝูงชนที่เนืองแน่นภายในด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ สำหรับตัวเขาแล้วร้านกาแฟร้านนี้ก็เหมือนกับบ้านหลังที่สองของเขา เพราะเขาใช้บริการร้านนี้เป็นประจำตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่วันนี้เขามีธุระเลยทำให้มาที่นี่ช้าจนเวลาปาเข้าไปถึงช่วงคนพักกลางวันแล้ว... มองเข้าไปยังดูไม่ออกว่าจะมีที่ให้นั่งหรือเปล่า แต่ว่าไหนๆเขาก็อุตส่ามาแล้วอย่างน้อยก็ต้องลองเข้าไปดูก่อน....
เขาเดินเข้าไปในร้านด้วยท่าทางที่เหนื่อยอ่อนด้วยอากาศร้อนจัด แต่พอสัมผัสกับไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เย็นฉ่ำ และกลิ่นกาแฟที่หอมกรุ่นยั่วยวนอาการเหนื่อยล้านั้นก็แทบจะมลายหายไปในทันที เขาพยายามมองหาโต๊ะที่ว่างๆนั่งพอดีกับที่เจ้าของร้านหันมาเจอเขาเข้าพอดี..
“อ้าว... สวัสดีครับวิทย์ วันนี้มาช้าจังนะครับ?” เจ้าของทักเขาอย่างเป็นกันเอง
“ครับ!..พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะครับเลยมาช้า ว่าแต่มีที่นั่งว่างเหลือไหมครับ?” เขายังคงมองไปมาหาที่นั่ง แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรที่นั่งก็เต็มหมดแล้ว.... เจ้าของร้านชะโงกหน้าออกมาจาก เคาเตอร์ชงกาแฟมองไล่หาที่นั่งว่างจากแถวหน้าสุดไปยังหลังสุด... ในที่สุดก็เจอที่ว่างที่หนึ่ง!!
“นั่งรวมกับคนอื่นได้ไหมครับ คุณวิทย์?” เจ้าของร้านหันกลับมาถาม
“อ๋อ.. ได้ครับไม่มีปัญหา” เขาไม่ใช่คนถือตัวอยู่แล้ว การนั่งกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจเลยสำหรับเขา
“ซักครู่นะครับ.... คุณปิยะครับ คุณปิยะ?” เจ้าของร้านตะโกนข้ามฝูงชนไปยังชายที่สวมแว่นดำสนิทที่นั่งอยู่คนเดียวบนโต๊ะข้างบานกระจกติดเบื้องนอก เขาเงี่ยหูฟังเสียงนั้นอยู่อึดใจหนึ่งแล้วจึงหันหน้ามาตามเสียงเล็กน้อยก่อนตอบว่า
“ครับ.มีอะไรหรือครับ?”
“คือที่นั่งมันเต็มน่ะครับ..... ขอให้คุณวิทย์นั่งร่วมโต๊ะด้วยได้ไหมครับ?” เจ้าของร้านยังคงป้องปากตะโกนแข่งกับเสียงฝูงชนในร้านที่ส่งเสียงคุยกันดัง หากพูดด้วยเสียงธรรมดาๆแล้วคงไม่มีทางที่จะสื่อสารกันรู้เรื่อง
“เชิญครับ!” ชายแว่นดำยิ้มกว้าง พร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญอย่างสุภาพ
“ขอบคุณครับ” วรวิทย์ทรุดตัวลงนั่งด้วยความอ่อนล้าตรงข้ามกับชายแว่นดำ เมนูแนะนำอาหารของร้านวางอยู่บนโต๊ะอยู่แล้ว แต่เขาไม่จำเป็นที่ต้องพลิกมันขึ้นมาดูเลยแม้แต่น้อย เพราะยังไงเสียเจ้าของร้านก็จำเมนูอาหารที่เขาชอบทานเป็นประจำไว้หมดแล้ว
เขาละสายตาจากเมนูนั้นมามองที่ชายแว่นดำเบื้องหน้า ชายแว่นดำยังคงนิ่งเงียบเหมือนเหมือนกับหุ่นโชว์ตัวหนึ่ง เขายังคงมองดูชายแว่นดำจนเวลาผ่านไปนานลูกค้าก็ค่อยๆทยอยออกไปจากร้านแต่ชายแว่นดำก็ยังคงนิ่งเฉย วรวิทย์ยกนาฬิกาข้อมือยี่ห้อสุดหรูราคากว่าครึ่งล้านขึ้นมาดู มันบอกเวลาว่าตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้ว... น่าแปลก! ทั้งๆที่คนอื่นๆเริ่มออกจากร้านไปทำงานตอนบ่ายแล้ว เช่นนั้นทำไมชายแว่นดำคนนี้ยังคงนั่งดื่มกาแฟอย่างเงียบๆโดยไม่มีทีท่าเร่งร้อนไปทำงานบ้างเลย
“คุณไม่ไปทำงานหรือครับ?” อยู่ๆชายแว่นดำก็เอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ
“อ๋อ... ยังล่ะครับ งานของผมมันต้องรอให้เขาโทรมาเรียกถึงจำเป็นต้องเข้าไปน่ะครับ” เขาตอบ ก็แน่ล่ะเขาเป็นลูกชายคนเดียวของประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย ถึงนั่งเฉยๆไม่ต้องทำงานก็มีกินไปทั้งชีวิตอยู่แล้ว
“ถ้าเช่นนั้นคุณคงรวยมากเลยสินะ?” ชายชุดดำยิ้ม
“ครับ... แต่คุณทราบได้อย่างไร?” เขาตอบ แต่คิดดูถูกในใจว่าถ้าแค่เห็นเสื้อผ้า รถยนต์ และนาฬิกาเครื่องประดับในตัวเขาแล้ว ใครมันก็ต้องรู้ว่าเขารวย.... หมอนี่ถามอะไรแปลกๆ!!
“ผมได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพงจากตัวคุณ” ชายแว่นดำตอบ เล่นเอาเขางง!!... ชายแว่นดำเป็นคนแรกที่พูดทักเขาเรื่องน้ำหอมไม่ใช่เรื่องเครื่องแต่งกายประดับประดาภายนอก เรื่องน้ำหอมนี่ขนาดแฟนของเขายังไม่รู้เลยว่าเขาใส่น้ำหอม....!
“คุณอย่าได้สงสัยอะไรมากเลย... ผมเพียงแค่จมูกดีกว่าคนอื่นก็เท่านั้นเอง” ชายแว่นดำกล่าวเหมือนอ่านใจเขาได้ ตอนนี้เขายิ่งรู้สึกทึ่งในตัวชายแว่นดำผู้นี้มากขึ้นยิ่งไปอีก
“ท่าทางวันนี้คุณเหนื่อยนะครับ?” ชายแว่นดำกล่าวและยิ้มให้ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งสนิทเหมือนมองข้ามหลังวรวิทย์อยู่ตลอดเวลา
“ครับ... ช่วงนี้แฟนผมเค้าอยากให้ผมเอาใจมากไปหน่อย... ก็แบบว่าต้องคอยไปรับไปส่ง พาไปเที่ยวดูหนังซื้อของอะไรพวกนี้น่ะครับ... นี่ผมก็พึ่งจะได้ปลีกตัวว่างมาที่นี่ล่ะครับ” เขารู้สึกสบายใจอย่างประหลาดที่ได้ระบายเรื่องราวต่างๆให้ชายแว่นดำผู้นิ่งสงบผู้นี้ฟัง
“แฟนคุณคงน่ารักมากสินะครับ... ถึงทำให้คุณรักได้ขนาดนี้?”
“ครับ... ผมรักเธอมากทีเดียวล่ะ เธอเป็นผู้หญิงที่วิเศษกว่าผู้หญิงคนอื่นๆที่ผมเคยเจอ ทั้งสวยน่ารัก แถมเรียนมาสูงมีหัวคิดที่ทันสมัยอีกด้วย..... เอ่อ..คุณจะลองดูรูปเธอไหมล่ะครับ?” เขาพูดจบก็ทำท่าจะล้วงเอารูปแฟนสาวออกมาจากกระเป๋าสตางค์... แต่ชายแว่นดำยกมือขึ้นห้ามไว้!!
“ขอโทษครับ..!! แต่ผมว่าผมไม่ดูจะดีกว่า” ชายชุดดำยิ้ม
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ” มาถึงตอนนี้วรวิทย์พึ่งนึกสมเพศตัวเองขึ้นมาได้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่น่าเอามาอวดกันเลยแม้แต่น้อย วันนี้เขาเป็นอะไรไปนะถึงช่างจ้อถึงแฟนสาวและอยากอวดเธอให้ใครๆรู้จักเสียจริงๆ...
“ปี๊บ...บ!!” โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะของเขาโชว์สายเรียกเข้าบ่งบอกว่าที่บริษัทต้องการตัวด่วน...
“ขอโทษนะครับ ผมมีธุระด่วนต้องขอตัวก่อน” ชายแว่นดำพยักหน้าให้เป็นเชิงตอบรับ ก่อนที่วรวิทย์ที่เร่งร้อนจะรีบขับรถคันงามนั้น บ่ายหน้าเข้าสู่ถนนใหญ่มุ่งเข้าสู่ตึกสูงเสียดฟ้า ณ ย่านใจกลางกรุงอย่างว่องไว...
วันถัดมาวรวิทย์มาถึงที่ร้านเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย เมื่อเขาเข้ามาในร้านก็พบว่าชายแว่นดำได้เข้ามานั่งอยู่ในร้านก่อนแล้ว แม้ว่าเก้าอี้ทุกตัวในร้านจะว่างเกือบหมดเพราะยังไม่ถึงเวลาพักกลางวันของพนักงานบริษัทรอบๆ แต่เขาก็ยังจงใจที่จะเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับชายแว่นดำ.
“สวัสดีครับคุณวรวิทย์ วันนี้มาเร็วนะครับ?” ชายแว่นดำเอ่ยทักเมื่อเขาทรุดตัวนั่งลง
“ครับสวัสดี... แหม! ก็ผมกลัวว่าวันนี้ลูกค้าจะเต็มร้านเสียก่อนก็เลยรีบมา ผมเองก็นึกว่าจะมาถึงเป็นลูกค้าคนต้นๆของร้านในวันนี้แล้ว แต่คุณนี่ก็ยังอุตส่ามาเร็วกว่าผมอีกนะนี่... อย่างนี้ผมก็เสียแชมป์แล้วสิ.!!” เขาแหย่ และชายชุดดำก็หัวเราะในมุขนั้น
“ผมก็มาอยู่ที่ร้านนี้ตั้งแต่สายๆทุกๆวันล่ะครับ เพียงแต่คุณไม่สังเกตเห็นเท่านั้นเอง” ชายแว่นดำพูดจบก็ใช้มือคลำไปมาหาถ้วยกาแฟเย็นจนเกือบจะกระแทกมันหล่นลงจากโต๊ะ วรวิทย์เริ่มสงสัยในพฤติกรรมนั้น..!!
“เอ่อ.. ขอโทษนะครับ คุณทำงานอะไรหรือจึงได้ว่างตอนช่วงกลางวันแบบนี้ทุกๆวัน.. หรือว่าคุณเป็นพวกนักเขียนนวนิยาย?” เขาแปลกใจในตัวชายชุดดำจริงๆจึงลองถามดู
“เปล่าครับ!.... ผมเป็นครูสอนดนตรี” ชายชุดดำวางแก้วกาแฟลง
“อ้อ..!!” เขาหายสงสัย
“ผมทำงานตอนกลางคืนครับ สอนดนตรีให้กับพวกที่เขารักจะเรียนทางด้านนี้ในสถาบันสอนดนตรีที่หนึ่ง... ที่จริงสอนตอนไหนก็ไม่ต่างกันหรอกครับสำหรับผมน่ะ แต่คนที่เรียนส่วนใหญ่เขาเป็นพวกเด็กนักเรียน พวกเขาเลยจะว่างตอนค่ำๆมากกว่า...” เขาหัวเราะ
“แต่ตอนกลางวันมันร้อนจนทนนอนไม่ไหว ผมเลยออกมานั่งที่นี่เกือบทุกวันรอเวลาทำงานน่ะครับ..!!” ชายแว่นดำพูดจบก็ก้มลงไปล้วงเอากล่องใส่แซคโซโฟนขึ้นมาจากใต้โต๊ะขึ้นมาอวดเขาด้วยความภูมิใจ ในขณะที่เขาก็ทึ่งพอกันเพราะเขาแทบจะไม่มีเพื่อนที่จะสามารถเล่นดนตรีได้เลย ทุกคนจะสนใจแต่เรื่องหุ้นหรือไม่ก็เรื่องกอล์ฟเท่านั้น...
“วันนี้ไม่ไปรับแฟนหรือครับ?” ชายแว่นดำถาม
“วันนี้ผมนัดเขาไว้ที่นี่ครับ... แต่เดี๋ยวเขามาก็คงต้องพาไปเที่ยวอีกแล้ว เฮ้อ... ผู้หญิงนี่ก็น่าเบื่อนะครับ ไม่รู้ชอบซื้อของอะไรกันนักกันหนา?” เขาท่าทางเหนื่อยจริงๆโดยไม่ได้พูดเล่น
“ทำงานยังไม่เหนื่อยเท่าสินะครับ.!” ชายแว่นดำหัวเราะ
“ครับ... ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” มันเป็นความจริงที่เขารับมือแฟนสาวได้ยากกว่าการทำงานเสียอีก เธอเป็นคนที่สวยมากนั่นทำให้เขาไม่อาจที่จะปล่อยให้เธอคลาดสายตาไปได้นานเพราะกลัวว่าจะมีใครแอบมาเป็นกิ๊กตอนที่เขาไม่เห็น ยิ่งเธอเป็นลูกคุณหนูแบบรั้นและเอาแต่ใจแบบเด็กๆ บวกกับการชอบซื้อโน้นซื้อนี่แบบไม่เคยพอมันเลยกลายเป็นการทำให้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจแบบสุดๆ ถึงเรื่องเงินมันจะไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาต่อให้ราคาหลักหมื่นหลักแสนก็ตาม เขาสมารถยอมจ่ายได้ทันทีโดยไม่ต้องลังเลซักนิด แต่ความอ่อนล้าสะสมที่เผาผลาญร่างกายนี่สิมันจะทำให้เขาตาเหลือกอยู่มะรอมมะล่อแล้ว...
จะว่าไปแล้วเขาไม่เคยได้ยินคำว่ารักเขาออกจากปากของแฟนสาวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดูๆแล้วเหมือนเธอจะหลงรักสินค้าที่เขาซื้อให้มากกว่าตัวเขาเสียอีก..!!
“แล้วแฟนคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ...?” เขาลองถามชายชุดดำเพื่อไล่ความคิดงี่เง่าออกจากหัวตัวเองบ้าง
“ผมก็ไม่ทราบครับ เพราะผมไม่เคยเห็นหน้าเธอ!!” ชายชุดดำตอบเรียบๆ ตอนแรกเขานึกว่าเป็นมุขของชายชุดดำจนเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว แต่พอมาคิดดูอีกทีคิดยังไงมันก็ไม่ใช่มุขแถมถูกพูดออกมาอย่างจริงจังอีก.... เขาไม่กล้าซักต่อ คนบ้าที่ไหนไม่เคยเห็นหน้าแฟนตัวเอง??
“ผมบอกกับคุณได้เพียงแค่ว่าเธอเป็นคนดีครับ เป็นคนดีมากที่ยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นและมีอยู่ได้... และรักในตัวตนของผมจริงๆ เท่านี้ผมก็พอใจแล้วล่ะครับ..!” ชายแว่นดำยิ้ม
“อ้อ... ครับ ท่าทางคุณคงรักแฟนคุณมากเลยนะครับ?” เขาถามต่อ
“แน่นอนครับ!!” ชายแว่นดำยังคงยิ้มโชว์ฟันขาววับครบทั้งสามสิบสองซี่....
พวกเขายังคงนั่งคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆอย่างเรื่อยเปื่อย หากใครที่เดินผ่านไปมาไม่รู้จักเขาทั้งสองดีแล้ว คงจะคิดเอาเองว่าทั้งสองเป็นเพื่อนรักที่ไม่ได้พบกันนานเสียหลายปีจนต้องถามไถเรื่องราวกันอย่างเนิ่นนานเช่นนี้ พอวรวิทย์เผลอมองออกไปข้างนอกหน้าต่างก็พบว่าบัดนี่ท้องฟ้าได้มืดลงเสียแล้ว..
“เย็นป่านนี้แล้วหรือนี่!.... วันๆหนึ่งนี่มันทำไมผ่านไปไวเหลือเกิน?” เขาพึมพำเมื่อเห็นฟ้าเริ่มมืด
“ขอโทษครับ.. ไม่ทราบว่าตอนนี้กี่โมงแล้วครับ?” ชายแว่นดำถาม ท่าทางที่นิ่งเฉยนั้นกลับปรากฏความร้อนใจ ท่าทางเช่นนี้ใครๆก็เดาออกว่าชายแว่นดำกำลังคอยใครอยู่แน่ๆ... เขาแอบชื่นใจเล็กน้อยเพราะอย่างน้อยชายชุดดำก็ไม่ถึงขนาดที่นิ่งเป็นท่อนไม้ที่ไม่ว่ายังไงก็นิ่งอย่างนั้น..
“จะหนึ่งทุ่มแล้วครับ... หื๋อ! เดี๋ยวได้เวลาที่แฟนผมจะมาหาที่นี่แล้วนี่นา แล้วคุณรอใครอยู่รึเปล่าครับ?” เขาลองถามดู ตั้งใจไว้ว่าถ้าชายแว่นดำไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาจะได้แนะนำแฟนสาวให้รู้จักเพื่อนใหม่คนนี้ของเขาเสียเลย..
“ผมก็รอแฟนอยู่เหมือนกันครับ.. อีกซักครู่คงจะมารับผมแล้ว คือ..ได้เวลาทำงานของผมแล้วน่ะครับ!” ชายแว่นดำยิ้มท่าทางมีความสุข วรวิทย์คิดในใจว่าเขาทั้งสองมีจุดที่เหม
แสงสว่างสุดท้าย
วรวิทย์ขับรถเปิดประทุนสีแดงสดของเขามาจอดที่ริมฟุตบาทเบื้องหน้าร้านนั้น เขามองเข้าไปในร้านดูฝูงชนที่เนืองแน่นภายในด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ สำหรับตัวเขาแล้วร้านกาแฟร้านนี้ก็เหมือนกับบ้านหลังที่สองของเขา เพราะเขาใช้บริการร้านนี้เป็นประจำตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่วันนี้เขามีธุระเลยทำให้มาที่นี่ช้าจนเวลาปาเข้าไปถึงช่วงคนพักกลางวันแล้ว... มองเข้าไปยังดูไม่ออกว่าจะมีที่ให้นั่งหรือเปล่า แต่ว่าไหนๆเขาก็อุตส่ามาแล้วอย่างน้อยก็ต้องลองเข้าไปดูก่อน....
เขาเดินเข้าไปในร้านด้วยท่าทางที่เหนื่อยอ่อนด้วยอากาศร้อนจัด แต่พอสัมผัสกับไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เย็นฉ่ำ และกลิ่นกาแฟที่หอมกรุ่นยั่วยวนอาการเหนื่อยล้านั้นก็แทบจะมลายหายไปในทันที เขาพยายามมองหาโต๊ะที่ว่างๆนั่งพอดีกับที่เจ้าของร้านหันมาเจอเขาเข้าพอดี..
“อ้าว... สวัสดีครับวิทย์ วันนี้มาช้าจังนะครับ?” เจ้าของทักเขาอย่างเป็นกันเอง
“ครับ!..พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะครับเลยมาช้า ว่าแต่มีที่นั่งว่างเหลือไหมครับ?” เขายังคงมองไปมาหาที่นั่ง แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรที่นั่งก็เต็มหมดแล้ว.... เจ้าของร้านชะโงกหน้าออกมาจาก เคาเตอร์ชงกาแฟมองไล่หาที่นั่งว่างจากแถวหน้าสุดไปยังหลังสุด... ในที่สุดก็เจอที่ว่างที่หนึ่ง!!
“นั่งรวมกับคนอื่นได้ไหมครับ คุณวิทย์?” เจ้าของร้านหันกลับมาถาม
“อ๋อ.. ได้ครับไม่มีปัญหา” เขาไม่ใช่คนถือตัวอยู่แล้ว การนั่งกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจเลยสำหรับเขา
“ซักครู่นะครับ.... คุณปิยะครับ คุณปิยะ?” เจ้าของร้านตะโกนข้ามฝูงชนไปยังชายที่สวมแว่นดำสนิทที่นั่งอยู่คนเดียวบนโต๊ะข้างบานกระจกติดเบื้องนอก เขาเงี่ยหูฟังเสียงนั้นอยู่อึดใจหนึ่งแล้วจึงหันหน้ามาตามเสียงเล็กน้อยก่อนตอบว่า
“ครับ.มีอะไรหรือครับ?”
“คือที่นั่งมันเต็มน่ะครับ..... ขอให้คุณวิทย์นั่งร่วมโต๊ะด้วยได้ไหมครับ?” เจ้าของร้านยังคงป้องปากตะโกนแข่งกับเสียงฝูงชนในร้านที่ส่งเสียงคุยกันดัง หากพูดด้วยเสียงธรรมดาๆแล้วคงไม่มีทางที่จะสื่อสารกันรู้เรื่อง
“เชิญครับ!” ชายแว่นดำยิ้มกว้าง พร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญอย่างสุภาพ
“ขอบคุณครับ” วรวิทย์ทรุดตัวลงนั่งด้วยความอ่อนล้าตรงข้ามกับชายแว่นดำ เมนูแนะนำอาหารของร้านวางอยู่บนโต๊ะอยู่แล้ว แต่เขาไม่จำเป็นที่ต้องพลิกมันขึ้นมาดูเลยแม้แต่น้อย เพราะยังไงเสียเจ้าของร้านก็จำเมนูอาหารที่เขาชอบทานเป็นประจำไว้หมดแล้ว
เขาละสายตาจากเมนูนั้นมามองที่ชายแว่นดำเบื้องหน้า ชายแว่นดำยังคงนิ่งเงียบเหมือนเหมือนกับหุ่นโชว์ตัวหนึ่ง เขายังคงมองดูชายแว่นดำจนเวลาผ่านไปนานลูกค้าก็ค่อยๆทยอยออกไปจากร้านแต่ชายแว่นดำก็ยังคงนิ่งเฉย วรวิทย์ยกนาฬิกาข้อมือยี่ห้อสุดหรูราคากว่าครึ่งล้านขึ้นมาดู มันบอกเวลาว่าตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้ว... น่าแปลก! ทั้งๆที่คนอื่นๆเริ่มออกจากร้านไปทำงานตอนบ่ายแล้ว เช่นนั้นทำไมชายแว่นดำคนนี้ยังคงนั่งดื่มกาแฟอย่างเงียบๆโดยไม่มีทีท่าเร่งร้อนไปทำงานบ้างเลย
“คุณไม่ไปทำงานหรือครับ?” อยู่ๆชายแว่นดำก็เอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ
“อ๋อ... ยังล่ะครับ งานของผมมันต้องรอให้เขาโทรมาเรียกถึงจำเป็นต้องเข้าไปน่ะครับ” เขาตอบ ก็แน่ล่ะเขาเป็นลูกชายคนเดียวของประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย ถึงนั่งเฉยๆไม่ต้องทำงานก็มีกินไปทั้งชีวิตอยู่แล้ว
“ถ้าเช่นนั้นคุณคงรวยมากเลยสินะ?” ชายชุดดำยิ้ม
“ครับ... แต่คุณทราบได้อย่างไร?” เขาตอบ แต่คิดดูถูกในใจว่าถ้าแค่เห็นเสื้อผ้า รถยนต์ และนาฬิกาเครื่องประดับในตัวเขาแล้ว ใครมันก็ต้องรู้ว่าเขารวย.... หมอนี่ถามอะไรแปลกๆ!!
“ผมได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพงจากตัวคุณ” ชายแว่นดำตอบ เล่นเอาเขางง!!... ชายแว่นดำเป็นคนแรกที่พูดทักเขาเรื่องน้ำหอมไม่ใช่เรื่องเครื่องแต่งกายประดับประดาภายนอก เรื่องน้ำหอมนี่ขนาดแฟนของเขายังไม่รู้เลยว่าเขาใส่น้ำหอม....!
“คุณอย่าได้สงสัยอะไรมากเลย... ผมเพียงแค่จมูกดีกว่าคนอื่นก็เท่านั้นเอง” ชายแว่นดำกล่าวเหมือนอ่านใจเขาได้ ตอนนี้เขายิ่งรู้สึกทึ่งในตัวชายแว่นดำผู้นี้มากขึ้นยิ่งไปอีก
“ท่าทางวันนี้คุณเหนื่อยนะครับ?” ชายแว่นดำกล่าวและยิ้มให้ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งสนิทเหมือนมองข้ามหลังวรวิทย์อยู่ตลอดเวลา
“ครับ... ช่วงนี้แฟนผมเค้าอยากให้ผมเอาใจมากไปหน่อย... ก็แบบว่าต้องคอยไปรับไปส่ง พาไปเที่ยวดูหนังซื้อของอะไรพวกนี้น่ะครับ... นี่ผมก็พึ่งจะได้ปลีกตัวว่างมาที่นี่ล่ะครับ” เขารู้สึกสบายใจอย่างประหลาดที่ได้ระบายเรื่องราวต่างๆให้ชายแว่นดำผู้นิ่งสงบผู้นี้ฟัง
“แฟนคุณคงน่ารักมากสินะครับ... ถึงทำให้คุณรักได้ขนาดนี้?”
“ครับ... ผมรักเธอมากทีเดียวล่ะ เธอเป็นผู้หญิงที่วิเศษกว่าผู้หญิงคนอื่นๆที่ผมเคยเจอ ทั้งสวยน่ารัก แถมเรียนมาสูงมีหัวคิดที่ทันสมัยอีกด้วย..... เอ่อ..คุณจะลองดูรูปเธอไหมล่ะครับ?” เขาพูดจบก็ทำท่าจะล้วงเอารูปแฟนสาวออกมาจากกระเป๋าสตางค์... แต่ชายแว่นดำยกมือขึ้นห้ามไว้!!
“ขอโทษครับ..!! แต่ผมว่าผมไม่ดูจะดีกว่า” ชายชุดดำยิ้ม
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ” มาถึงตอนนี้วรวิทย์พึ่งนึกสมเพศตัวเองขึ้นมาได้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่น่าเอามาอวดกันเลยแม้แต่น้อย วันนี้เขาเป็นอะไรไปนะถึงช่างจ้อถึงแฟนสาวและอยากอวดเธอให้ใครๆรู้จักเสียจริงๆ...
“ปี๊บ...บ!!” โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะของเขาโชว์สายเรียกเข้าบ่งบอกว่าที่บริษัทต้องการตัวด่วน...
“ขอโทษนะครับ ผมมีธุระด่วนต้องขอตัวก่อน” ชายแว่นดำพยักหน้าให้เป็นเชิงตอบรับ ก่อนที่วรวิทย์ที่เร่งร้อนจะรีบขับรถคันงามนั้น บ่ายหน้าเข้าสู่ถนนใหญ่มุ่งเข้าสู่ตึกสูงเสียดฟ้า ณ ย่านใจกลางกรุงอย่างว่องไว...
วันถัดมาวรวิทย์มาถึงที่ร้านเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย เมื่อเขาเข้ามาในร้านก็พบว่าชายแว่นดำได้เข้ามานั่งอยู่ในร้านก่อนแล้ว แม้ว่าเก้าอี้ทุกตัวในร้านจะว่างเกือบหมดเพราะยังไม่ถึงเวลาพักกลางวันของพนักงานบริษัทรอบๆ แต่เขาก็ยังจงใจที่จะเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับชายแว่นดำ.
“สวัสดีครับคุณวรวิทย์ วันนี้มาเร็วนะครับ?” ชายแว่นดำเอ่ยทักเมื่อเขาทรุดตัวนั่งลง
“ครับสวัสดี... แหม! ก็ผมกลัวว่าวันนี้ลูกค้าจะเต็มร้านเสียก่อนก็เลยรีบมา ผมเองก็นึกว่าจะมาถึงเป็นลูกค้าคนต้นๆของร้านในวันนี้แล้ว แต่คุณนี่ก็ยังอุตส่ามาเร็วกว่าผมอีกนะนี่... อย่างนี้ผมก็เสียแชมป์แล้วสิ.!!” เขาแหย่ และชายชุดดำก็หัวเราะในมุขนั้น
“ผมก็มาอยู่ที่ร้านนี้ตั้งแต่สายๆทุกๆวันล่ะครับ เพียงแต่คุณไม่สังเกตเห็นเท่านั้นเอง” ชายแว่นดำพูดจบก็ใช้มือคลำไปมาหาถ้วยกาแฟเย็นจนเกือบจะกระแทกมันหล่นลงจากโต๊ะ วรวิทย์เริ่มสงสัยในพฤติกรรมนั้น..!!
“เอ่อ.. ขอโทษนะครับ คุณทำงานอะไรหรือจึงได้ว่างตอนช่วงกลางวันแบบนี้ทุกๆวัน.. หรือว่าคุณเป็นพวกนักเขียนนวนิยาย?” เขาแปลกใจในตัวชายชุดดำจริงๆจึงลองถามดู
“เปล่าครับ!.... ผมเป็นครูสอนดนตรี” ชายชุดดำวางแก้วกาแฟลง
“อ้อ..!!” เขาหายสงสัย
“ผมทำงานตอนกลางคืนครับ สอนดนตรีให้กับพวกที่เขารักจะเรียนทางด้านนี้ในสถาบันสอนดนตรีที่หนึ่ง... ที่จริงสอนตอนไหนก็ไม่ต่างกันหรอกครับสำหรับผมน่ะ แต่คนที่เรียนส่วนใหญ่เขาเป็นพวกเด็กนักเรียน พวกเขาเลยจะว่างตอนค่ำๆมากกว่า...” เขาหัวเราะ
“แต่ตอนกลางวันมันร้อนจนทนนอนไม่ไหว ผมเลยออกมานั่งที่นี่เกือบทุกวันรอเวลาทำงานน่ะครับ..!!” ชายแว่นดำพูดจบก็ก้มลงไปล้วงเอากล่องใส่แซคโซโฟนขึ้นมาจากใต้โต๊ะขึ้นมาอวดเขาด้วยความภูมิใจ ในขณะที่เขาก็ทึ่งพอกันเพราะเขาแทบจะไม่มีเพื่อนที่จะสามารถเล่นดนตรีได้เลย ทุกคนจะสนใจแต่เรื่องหุ้นหรือไม่ก็เรื่องกอล์ฟเท่านั้น...
“วันนี้ไม่ไปรับแฟนหรือครับ?” ชายแว่นดำถาม
“วันนี้ผมนัดเขาไว้ที่นี่ครับ... แต่เดี๋ยวเขามาก็คงต้องพาไปเที่ยวอีกแล้ว เฮ้อ... ผู้หญิงนี่ก็น่าเบื่อนะครับ ไม่รู้ชอบซื้อของอะไรกันนักกันหนา?” เขาท่าทางเหนื่อยจริงๆโดยไม่ได้พูดเล่น
“ทำงานยังไม่เหนื่อยเท่าสินะครับ.!” ชายแว่นดำหัวเราะ
“ครับ... ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” มันเป็นความจริงที่เขารับมือแฟนสาวได้ยากกว่าการทำงานเสียอีก เธอเป็นคนที่สวยมากนั่นทำให้เขาไม่อาจที่จะปล่อยให้เธอคลาดสายตาไปได้นานเพราะกลัวว่าจะมีใครแอบมาเป็นกิ๊กตอนที่เขาไม่เห็น ยิ่งเธอเป็นลูกคุณหนูแบบรั้นและเอาแต่ใจแบบเด็กๆ บวกกับการชอบซื้อโน้นซื้อนี่แบบไม่เคยพอมันเลยกลายเป็นการทำให้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจแบบสุดๆ ถึงเรื่องเงินมันจะไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาต่อให้ราคาหลักหมื่นหลักแสนก็ตาม เขาสมารถยอมจ่ายได้ทันทีโดยไม่ต้องลังเลซักนิด แต่ความอ่อนล้าสะสมที่เผาผลาญร่างกายนี่สิมันจะทำให้เขาตาเหลือกอยู่มะรอมมะล่อแล้ว...
จะว่าไปแล้วเขาไม่เคยได้ยินคำว่ารักเขาออกจากปากของแฟนสาวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดูๆแล้วเหมือนเธอจะหลงรักสินค้าที่เขาซื้อให้มากกว่าตัวเขาเสียอีก..!!
“แล้วแฟนคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ...?” เขาลองถามชายชุดดำเพื่อไล่ความคิดงี่เง่าออกจากหัวตัวเองบ้าง
“ผมก็ไม่ทราบครับ เพราะผมไม่เคยเห็นหน้าเธอ!!” ชายชุดดำตอบเรียบๆ ตอนแรกเขานึกว่าเป็นมุขของชายชุดดำจนเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว แต่พอมาคิดดูอีกทีคิดยังไงมันก็ไม่ใช่มุขแถมถูกพูดออกมาอย่างจริงจังอีก.... เขาไม่กล้าซักต่อ คนบ้าที่ไหนไม่เคยเห็นหน้าแฟนตัวเอง??
“ผมบอกกับคุณได้เพียงแค่ว่าเธอเป็นคนดีครับ เป็นคนดีมากที่ยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นและมีอยู่ได้... และรักในตัวตนของผมจริงๆ เท่านี้ผมก็พอใจแล้วล่ะครับ..!” ชายแว่นดำยิ้ม
“อ้อ... ครับ ท่าทางคุณคงรักแฟนคุณมากเลยนะครับ?” เขาถามต่อ
“แน่นอนครับ!!” ชายแว่นดำยังคงยิ้มโชว์ฟันขาววับครบทั้งสามสิบสองซี่....
พวกเขายังคงนั่งคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆอย่างเรื่อยเปื่อย หากใครที่เดินผ่านไปมาไม่รู้จักเขาทั้งสองดีแล้ว คงจะคิดเอาเองว่าทั้งสองเป็นเพื่อนรักที่ไม่ได้พบกันนานเสียหลายปีจนต้องถามไถเรื่องราวกันอย่างเนิ่นนานเช่นนี้ พอวรวิทย์เผลอมองออกไปข้างนอกหน้าต่างก็พบว่าบัดนี่ท้องฟ้าได้มืดลงเสียแล้ว..
“เย็นป่านนี้แล้วหรือนี่!.... วันๆหนึ่งนี่มันทำไมผ่านไปไวเหลือเกิน?” เขาพึมพำเมื่อเห็นฟ้าเริ่มมืด
“ขอโทษครับ.. ไม่ทราบว่าตอนนี้กี่โมงแล้วครับ?” ชายแว่นดำถาม ท่าทางที่นิ่งเฉยนั้นกลับปรากฏความร้อนใจ ท่าทางเช่นนี้ใครๆก็เดาออกว่าชายแว่นดำกำลังคอยใครอยู่แน่ๆ... เขาแอบชื่นใจเล็กน้อยเพราะอย่างน้อยชายชุดดำก็ไม่ถึงขนาดที่นิ่งเป็นท่อนไม้ที่ไม่ว่ายังไงก็นิ่งอย่างนั้น..
“จะหนึ่งทุ่มแล้วครับ... หื๋อ! เดี๋ยวได้เวลาที่แฟนผมจะมาหาที่นี่แล้วนี่นา แล้วคุณรอใครอยู่รึเปล่าครับ?” เขาลองถามดู ตั้งใจไว้ว่าถ้าชายแว่นดำไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาจะได้แนะนำแฟนสาวให้รู้จักเพื่อนใหม่คนนี้ของเขาเสียเลย..
“ผมก็รอแฟนอยู่เหมือนกันครับ.. อีกซักครู่คงจะมารับผมแล้ว คือ..ได้เวลาทำงานของผมแล้วน่ะครับ!” ชายแว่นดำยิ้มท่าทางมีความสุข วรวิทย์คิดในใจว่าเขาทั้งสองมีจุดที่เหม