จากเด็กบ้านนอกไปเป็นโรบินฮูดในญี่ปุ่น แดนปลาดิบ

บล็อกที่ 1 ปฐมบทแห่งโรบินฮูด

จากเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เกิดมาในครอบครัวของคนบ้านนอกที่มีลูกถึง 4 คน หลังจากลองต่อสู้กับความจนดู จนแน่ใจแล้วว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีทางจะเอาชนะมันได้แน่ พ่อซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวและเป็นคนที่แม่รักที่สุด จึงตัดสินใจย้ายครอบครัวเข้ามาอาศัยในกรุงเทพฯ
ณ. ซอกเล็กๆของสลัมชานเมืองกรุงเทพฯ พ่อซึ่งเป็นกำลังหลักได้งานเป็นคนขับแท็กซี่และแม่ได้อาศัยขายขนมเล็กๆน้อยๆในตลาดกัดฟันส่งเสียลูกทั้งสี่เพื่อหวังให้มีอนาคตที่ดีต่อไป
ตั้งแต่จำความได้พ่อกับแม่ต้องออกทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวตั้งแต่เช้าจนดึก ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูกชายวัยรุ่นทั้งสามคนทำให้พี่ชายของผมทั้งสองคนหันหน้าไปคบเพื่อนมั่วสุม ติดยา เที่ยวเตร่และไม่เรียนหนังสือ ส่วนผมซึ่งเป็นคนที่แม่คาดหวังมากที่สุดหลังจากจบ ม.3 ก็ไปเรียนต่อด้านช่างทั้งที่ไม่มีใจรัก แต่ก็ทุลักทุเลเรียนจนจบมาได้หลังจากต้องกลับไปแก้ ร. มผ. ที่ติดค้างกับอาจารย์ไว้

เมื่อเรียนมาทางด้านช่างจึงต้องทำงานด้านช่างฝ่าฟันกับชีวิตการทำงานที่มีการชิงดีชิงเด่นกัน พร้อมกับเรียนต่อมหาลัยฯราม ไปด้วยได้สักพัก ด้วยความที่เป็นคนที่ขยันไฝ่หาความรู้และถือคติที่ว่า "หัวดีแพ้ขยัน" บริษัทจึงมองเห็นความสามารถและส่งให้ไปศึกษาอบรมดูงานถึงประเทศอังกฤษ หลังจากกลับจากต่างประเทศแล้ว คิดทบทวนดูหลายอย่างมองแล้วว่า ถ้าหากทำงานในเมืองไทยต่อไปเอาแค่พอจะเอาตัวรอดไปวันๆ ยังยากไม่ต้องพูดถึงอนาคต จึงคิดหาทางไปในที่ๆน่าจะมีโอกาสและมีอนาคตมากกว่า ที่ญี่ปุ่น

บล็อกที่ 2 บ้านนอก in Japan

"เธอต้องมาเอง ตอนนี้ไม่มีไครว่างไปรับ" เสียงนี้ยังดังอยู่ในหูผม หลังจากที่ผมวางหูโทรศัพท์ที่โทรจากโตเกียวไปหาพี่คนหนึ่งที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะช่วยหางานที่ญี่ปุ่นให้หลังจากที่ผมไปถึงญี่ปุ่นแล้ว ซึ่งพี่คนนี้ทำงานอยู่ที่ร้านขายของไทยที่จังหวัด นากาโน่ ที่ประเทศญี่ปุ่นและรู้จักกับพี่ชายผม

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มาที่ญี่ปุ่น รถไฟก็ไม่เคยขึ้นภาษาญี่ปุ่นก็พูดไม่ได้ คนไทยคนอื่นก็ไม่รู้จักดีที่ยังจะพอพูดภาษาอังกฤษได้บ้างแล้วผมจะไปยังงัย แล้วก็ย้อนนึกถึงคำพูดของแม่ที่เตือนผมไว้ หลังจากที่ผมบอกกับแม่ว่า จะไปทำงานที่ญี่ปุ่น "เอ็งจะไปทำไมที่นั่น อยู่นี่ก็ดีแล้วงานก็ดีเงินเดือนก็เยอะ แล้วเค้าก็บอกว่ามีแต่ผู้หญิงไปขายตัว"

คืนนั้นหลังจากที่ผมลองไปเดินสำรวจที่สถานีรถไฟที่ไกล้โรงแรมที่พักที่สุด สถานีอีเคบุกุโร่และได้ลองสอบทางเส้นทางรถไฟที่ผมจะไป คือที่จังหวัดนากาโน่ตามที่อยู่ที่พี่คนนั้นไห้ไว้ และผมเพิ่งรู้ว่ามีนากาโน่ที่เป็นจังหวัด กับนาคาโน่ที่เป็นเขตหนึ่งในโตเกียวเมื่อมั่นใจว่ารู้เส้นทางแล้ว คืนนั้นผมจึงรีบเข้านอนเพื่อที่ว่าตอนเช้าจะได้ออกเดินทางแต่เช้าเผื่อหลงทาง จะได้มีเวลาย้อนกลับไปเริ่มใหม่ได้

เช้าวันต่อมาวันที่ 2 พฤษภาคมซึ่งเป็นวันหยุดยาวของคนญี่ปุ่นที่เรียกว่า "โกลเด้นวีค" คล้ายๆวันหยุดสงกรานต์บ้านเรา ผมเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแต่เช้าพร้อมกระเป๋าแบบมีล้อลากที่ใช้กันทั่วไปตามสนามบิน ซึ่งต่อมาผมก็รู้ว่ามันไม่เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่ซึ่งมันทั้งหนักทั้งใหญ่ และมันก็มีล้อซึ่งจะคอยส่งเสียง กึก กึก ๆ อยู่ตลอดเวลาเพราะว่าตามฟุตบาททางเดินที่ญี่ปุ่นจะทำเป็นปุ่มนูนๆสำหรับคนตาบอดและฟุตบาทในเมืองบางช่วง ก็จะทำให้ขรุขระเพื่อความสวยงาม อย่งไรก็ตามผมก็ต้องลากมันไปด้วย

หลังจากขึ้นรถไฟเพื่อมาต่อรถที่สถานีโตเกียวซึ่งเป็นสถานีใหญ่คล้ายๆหัวลำโพงบ้านเราแต่ใหญ่กว่า และคนเยอะกว่าเป็นสิบเท่าและมีชั้นใต้ดินลึกลงไปหลายชั้น มีหรือคนที่ไม่เคยมาอย่างผมจะไม่งง หลังจากเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาและสอบถามเส้นทางกับเจ้าหน้าที่ซึ่งพูดภาษาอังฤษไม่ได้ แล้วผมก็รู้ว่าผมจะต้องขึ้นรถไฟ "ชิงคันเซง" ซึ่งเป็นรถไฟความเร็วสูงไปที่สถานีนากาโน่
โอโห..อลังการ ความรู้สึกของผมในตอนนั้นบอกว่าทำไมญี่ปุ่นถึงเจริญมากขนาดนี้ รู้สึกว่าห่างจากเมืองไทยเป็นสิบปีและคิดไปว่าถ้าพวกนักการเมืองบ้านเราไม่โกงไม่กินคงจะเจริญมากกว่าที่ป็นอยู่มาก

ถึงแม้รถไฟจะวิ่งด้วยความเร็วเป็นสองร้อยกว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ภายในตัวรถไฟไม่รู้สึกเลยว่ามันวิ่งเร็วขนาดนั้นนอกเสียจากว่าเรามองออกไปนอกตัวรถไฟ และภายในตัวรถมีห้องน้ำอย่างดีและสะอาดมาก หลังจากรถไฟออกไปได้สักพักก็จะมีพนักงานเข็นรถเข็นเล็กๆมาขายของที่มีขนมขบเคี้ยว น้ำดื่มและอาหารกล่อง
หลังจากที่รถไฟมาเทียบที่ชานชลาของสถานีรถไฟจังหวัดนากาโน่แล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาต้องเดินอีกแล้ว

ผมลากกระเป๋าใบโตของผมเดินไปตามทางเดินที่มุ่งสู่ตัวเมืองและลองสอบถามทางจากคนญี่ปุ่นที่พอจะรู้ภาษาอังกฤษบ้างว่า ที่อยู่ที่ผมจะไปตามที่พี่เค้าให้ไว้เนี่ยอยู่ที่ไหน ก็ได้ความว่าจะต้องเดินไปอีกซัก 20 นาที ซึ่งที่ผมตัดสินใจเดินก็เพราะว่ารู้ว่าค่าแท็กซี่ที่ญี่ปุ่นแพงมาก และผมก็ไม่มีเงินซะด้วยและก็อยากลองเดินชมวิวที่นี่ดู และนี่ก็ในเมืองมันมีโน่นมีนี่ให้ดูเยอะ เมื่อผมเดินไปตามทางที่เค้าบอกและแวะถามทางมาเรื่อยก็ไม่ยักเจอร้านอาหารไทยที่ผมต้องการจะไป จนไปถึงสวนสาธารณะเล็กๆแห่งหนึ่งซึงอยู่ไกล้ๆกับสถานีรถไฟไต้ดิน และอยู่ติดกับห้างใหญ่ชื่อ อิโตโยกาโดะ ผมก็นั่งพักที่ตรงนั้นและลองโทรถามพี่ที่อยู่ที่ร้านดูอีกที่ว่าอยู่ตรงไหน ถามไปถามมาถึงรู้ว่า ร้านอยู่ตรงหน้าผมนี่เองแต่ปรากฏว่าร้านนี้มันเป็นตึกสองชั้นเหมือนอาคารพานิชย์บ้านเรา และมีร้านอาหารอยู่ชั้นสอง ส่วนชั้นล่างเป็นเหมือนมินิมาร์ทแต่ว่าข้างในขายแต่ของไทยเต็มไปหมด ผมจึงเดินเข้าไปยกมือไหว้สวัสดีคนที่อยู่ในร้านเค้าชื่อพี่เมย์ เมื่อพี่เมย์พบผมแล้วก็จัดแจงหาข้าวหาน้ำให้ผมทานเป็นการใหญ่และถามไถ่ถึงการเดินทางของผม และเมื่อพักผ่อนได้สักพักพี่เมย์ก็พาผมไปพบเจ้าของร้านซึ่งเป็นผู้ชายอายุน่าจะไม่เกิน 40 และแนะนำตัวให้เจ้าของร้านรู้จัก หลังจากพูดคุยกันจนรู้ที่มาที่ไปของผมแล้วเจ้าของร้านซึ่งเรียกกันเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "ซาโจ้" ก็ตกลงจะรับผมเข้าทำงาน



ตัวหนังสือเยอไปชักตาลาย ไว้ค่อยมาต่อตอนต่อไปครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่