ข้อคิดจากการเดินไปโรงเรียน

สวัสดีครับ วันนี้ผมมีเรื่องมานำเสนอ ที่จริงๆ ผมอยากจะเขียนตั้งนานแล้วแต่ไม่มีเวลามาเล่าเรื่องเลย ประกอบกับผมได้ทดลองเดินไปส่งลูกหลายวัน ยิ่งนานวันเข้ายิ่งรู้สึกได้ถึงได้หลายสิ่งหลายอย่าง เหมือนกลับไปสมัยเด็กอีกครั้ง นึกย้อนเรื่องราวเมื่อเรายังเด็กมากมาย มาผสมกับความรู้ที่เราได้เติบโตมาในระดับหนึ่งแล้ว เลยอยากจะเล่าแบ่งปัน เผื่อจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีบ้างแก่บ้านเมืองเรา
    
เด็กญี่ปุ่นทุกคนเมื่อขึ้นชั้น ป.1 จะต้องเดินไปโรงเรียน มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะใหม่สำหรับผม จากคำบอกเล่าของภรรยาที่เขาได้ฟังมาจากครูประจำชั้นในขั้นตอนการปฎิบัติต่าง ๆ แล้วมาเล่าให้ผมอีกครั้ง (ภาษาญี่ปุ่นสำหรับผมถือว่าอยู่ในระดับไม่ดี) ผมจะพยามเรียบเรียงให้ตามหลักและเหตุผลที่ผมคิดเองบ้างเพราะครูไม่ได้เล่าหมดทุกอย่าง หรือแฟนผมฟังไม่ครบถ้วน และผมไม่ค่อยเข้าใจบ้างก็คงมี

1. อุปกรณ์การเรียนในแต่ละวัน

นี่คือส่วนย่อย ๆ ของแต่ละวันที่ต้องแบกไปโรงเรียน ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก รวมถึงตำแหน่งของสิ่งของด้วย

กล่องดินสอ เสื้อกันฝน สมุดหนังสือตามตารางเรียน

ส่วนที่ใส่ไม่หมดก็ต้องห้อยข้าง ๆ กันไป ซึ่งเป็นปกติ (ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า กระดาษทิชชู ชุดพละ) เฉลี่ยต่อวันต้องแบกไปโรงเรียนประมาณวันละ 5 กิโลกรัม

ทั้งหมดนี้ ต้องจัดใหม่ทุกวัน ต้องเหลาดินสอในกล่องดินสอทุกวันทุกแท่ง ในกล่องดินสอจะมี ดินสอสีแดงน้ำเงินไว้ตรวจแบบฝึกหัด ดินสอเขียน 5 แท่ง ยางลบ ไม้บรรทัด จัดเรียงไว้ในกล่อง แทบจะเหมือนกันทุกคน (แอบไปดูของคนอื่นมาแล้ว) ไว้เป็นมาตรฐานในการตรวจของคุณครู ซึ่งคนญี่ปุ่นที่รู้จักกันเล่าให้ฟังว่า ครูชั้นป .1 ไม่เหมือน ชั้นอนุบาล จะเข้มงวดมาก ถ้าพ่อแม่ไม่สนใจดูแลกำกับให้ลูกจัดเตรียมของไปโรงเรียนอย่างสมบูรณ์แล้ว ครูจะโกรธมาก แต่ไม่ลงโทษที่เด็ก แต่จะมาว่ากล่าวตักเตือนที่พ่อแม่แทน

2. การเตรียมตัวเดินไปโรงเรียน ในชั้นอนุบาล เด็กจะไม่ได้เรียนหนังสือเลยสักนิด มีแต่ทักษะการใช้ชีวิตประจำวันที่จะได้เรียนรู้บ้าง ไม่มีการสอนเนื้อหาเตรียมขึ้น ป.1 เลยแม้แต่น้อย เด็กจะเริ่มข้ามถนนเป็นตั้งแต่ อายุ 6 ขวบ ที่จะได้เรียนรู้หลักมี กฎจราจรสำหรับการเดิน สัญญาณไฟจราจร การปฎิบัติตัว  รู้จักการขอบคุณรถ เมื่อมีรถหยุดให้ (ตำรวจที่มาสอนให้เหตุผลว่า การขอบคุณ ทำให้คนที่หยุดให้รู้สึกดี ที่ได้ทำความดีโดยการหยุดรถ ซึ่งมีผลทำให้ครั้งหน้าเค้าก็จะหยุดรถอีก และเห็นใจคนข้ามถนน) การยกมือขึ้นเมื่อข้ามถนน (เด็กตัวเล็ก การยกมือทำให้ระดับของคนขับขี่ สามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น เนื่องจากมีความสูงที่เพิ่มขึ้น


3. การเดินไปโรงเรียน ในระบบการศึกษาของญี่ปุ่น เด็กส่วนใหญ่จะเข้าโรงเรียนใกล้บ้าน ข้อมูลทุกอย่างจะเชื่อมโยงกันหมดในอำเภอ เด็กจะถูกกำหนดว่าต้องเข้าประถมที่โรงเรียนไหน หลังจากจบชั้นอนุบาลแล้ว ดังนั้นระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนจึงไม่ไกลมากนัก มีการนัดแนะกับผู้ปกครองในชั้นเดียวกัน เพื่อพลัดเปลี่ยนเวรกันมาดูแลเด็กเดิน ไปกลับโรงเรียน ตามแยกไฟแดง หรือ ข้ามถนนก็จะมีคนแก่มาเป็นอาสาสมัครเพื่อจะช่วยโบกธง ดูแลเด็กข้ามถนน ผมว่ามันเป็นอะไรที่มากมายมาก ในการเดินข้ามถนน


สรุปข้อคิด
1. การเริ่มต้นวันใหม่ของเด็กด้วยการออกกำลังง่าย ๆ ด้วยการเดินไปโรงเรียน
2. การรู้จักทักทายคนแปลกหน้าในตอนเช้า แรก ๆ ผมก็งง ว่าทำไมเด็ก ๆ ต้องทักคนแปลกหน้า ทั้งๆ ที่ไม่รู้จัก ภรรยาผมเล่าให้ฟังว่า ตำรวจสอนเด็ก เพราะ การทักทายทำให้เรารู้ปฎิกิริยาของคนที่ทัก ทำลายกำแพงความไม่รู้จัก จดจำรายละเอียดได้ หากเกิดเหตุร้าย จะได้ระวังตัว เตรียมตัวดึงตัวสัญญาณกันขโมยติดกระเป๋า (เดี๋ยวไว้ถ่ายรูปให้ดูครับ)
3. การให้ความร่วมมือของชุมชน คนแก่ตื่นเช้า ไม่รู้จะทำอะไรก็มาคอยเป็นอาสาสมัครช่วยเด็ก บ้านใกล้เรื่อนเคียง ช่วยกันสอดส่องเด็กเดินทาง ผมว่ามันเป็นการสร้างชุมชนให้ปลอดภัยดีมาก ในตัวเมืองมาก ๆ ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมอยู่นอกเมืองบรรยากาศตอนเช้า ที่เดินผ่านแล้วเจอคนทำกิจกรรมยามเช้า แล้วเด็กก็ส่งเสียงสวัสดียามเช้ากับทุกคนและมีการตอบกลับ ผมว่ามันดีมากครับ
4. ความรับผิดชอบต่อชุมชน ในกรณีของผมคือเจอ การก่อสร้าง แน่นอน ญี่ปุ่น เขาไม่ยอมให้วางวัสดุเรี่ยราดอยู่แล้ว ยิ่งหากเป็นทางเดินของเด็ก แม้แต่เศษสีเศษวัสดุเขายังเก็บกวาดตลอดในระหว่างการทำงาน
5. ความรับผิดชอบของเด็ก การสอนความรับผิดชอบให้เด็กได้เป็นผู้เดิน เมื่อโตขึ้น เขาก็จะเข้าใจคนเดินถนน และสิ่งต่าง ๆ ที่เขาเคยทำในวัยเด็ก และแน่นอนเขาก็จะมีความรับผิดชอบในการใช้ถนนร่วมกับผู้อื่น


จริง ๆ มันมีข้อดีอีกมากมาย แต่ผมไม่ได้จดไว้ ช่วงนี้ผมยังต้องเดินตามหลังห่าง ๆ ไปส่งลูก ในแต่ละวันจึงได้คิดอะไรไปเรื่อย ๆ ตามทาง จริง ๆ แล้วบ้านเรา เมืองไทยหากมีโรงเรียนไหนนำร่องสักโรงเรียนคงจะดี ค่อย ๆ เริ่ม ค่อย ๆ ทำปรับปรุงวิธีการให้เข้ากับเมืองไทย ผมว่ามันจะทำให้เราต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิดอีกมากแน่นอน คนขับรถช้าลง มีวินัยการจราจรเพิ่มขึ้น

ผมเคยไปเที่ยวน่านเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มีคุณลุงสอนผมผมจำไว้ติดตัวตลอดเลยคือ รั้วสูงใจต่ำ รั๋วต่ำใจสูง เมื่อวานระหว่างทางเดินตามคอยดูลูกผมที่ไปส่ง ผมก็คิดได้ว่า ถนนที่ผมเดินนั้น ไม่มีเส้นแบ่งเลน รถวิ่งสวนกันค่อนข้างยาก มีจักรยาน มีคนเดิน ผมว่าผมก็ได้เจออะไรเหมือนที่น่านแล้วเหมือนกัน ถนนแคบใจกว้าง ถนนกว้างใจแคบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่