http://www.manager.co.th/OnlineSection/ViewNews.aspx?NewsID=9590000043274
พ.ศ. ๒๕๐๘
ตลาดท่าเรือ ที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังเป็นชุมชนที่ไม่ใหญ่โตนัก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก มีเพียงห้องแถวไม้ชั้นเดียวตั้งเรียงรายอยู่สองฟากถนนที่ตัดมุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟ แต่การค้าของตลาดท่าเรือก็คึกคักพอสมควร มีสาขาธนาคารเกือบทุกแห่งตั้งอยู่ มีร้านทองถึง ๕ ร้าน แต่ละร้านก็แขวนทองโชว์เต็มตู้ประชันกัน โดยไม่คิดว่าจะมีโจรที่ไหนกล้ามาปล้น เพราะอยู่กลางตลาด ห่างจากสถานีตำรวจและที่ว่าการอำเภอประมาณ ๑๐๐ เมตรเท่านั้น
แต่แล้วในเย็นวันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๘ ราว ๑๖.๒๐ ก็มีรถเมล์สองแถวสีเทาคันหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างช้าๆ จอดที่หน้าโรงแรมตั้งซาฮะ ภายในรถมีชายฉกรรจ์สิบกว่าคน อาวุธครบมือ แต่งกายคล้ายเครื่องแบบครึ่งท่อน นุ่งกางเกงสีกากี ผู้คนในตลาดเห็นก็นึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับผู้ร้ายมา
ทันทีที่รถจอด ชายคนหนึ่งถือปืนคาร์ไบน์และยังมีถุงผ้าหูรูดห้อยติดข้อมือ กระโดดลงมาเป็นคนแรก แล้วยิงปืนขึ้นฟ้า ๑ นัด ประกาศก้องว่า “อ้ายเสือบุก!”
จากนั้นทุกคนก็ตามลงมา พร้อมกับยิงปืนหูดับตับไหม้เป็นการข่มขวัญ อีกส่วนหนึ่งกระจายกำลังไปที่หน้าสถานีตำรวจและที่ว่าการอำเภอ สาดกระสุนข่มขวัญและตรึงกำลังไว้โดยรอบไม่ให้เจ้าหน้าที่ออกมาต่อสู้ ชาวบ้านที่มาจับจ่ายซื้อของต่างวิ่งกันอลหม่าน เจ้าของร้านก็รีบปิดร้าน โดยเฉพาะร้านทองทั้ง ๕ แต่ก็ยังช้าไปกว่า ๕ โจรที่มีอาวุธปืนสั้นซึ่งมาเฝ้าประกบร้านทองทุกร้านล่วงหน้าแล้ว
นายแก้ว หรือ กำหน่ำ แซ่หล่า เจ้าของร้านทอง “เล่าย่งเฮง” กำลังจะปิดประตูร้าน แต่ก็ไม่ทันโจรคนหนึ่งที่ถือปืนสั้นปราดเข้ามา นายแก้วเห็นหน้าโจร ก็ร้องขึ้นว่า
“อ้ายวี เองหรือ?”
ทันใดปืนในมือ “อ้ายวี” ก็คำรามขึ้น นายแก้วทรุดลงตายคาที่ โจรเอาด้ามปืนทุบกระจกตู้ กวาดทองคำเหลืองอร่ามลงใส่ถุงที่เตรียมมาจนเกลี้ยงตู้ แล้วเผ่นออกจากร้านไป
พอออกจากร้าน โจรที่หิ้วทองออกมาก็เห็นนายจอม เปี่ยมสาคร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๒ ตำบลท่าเจ้าสนุก อำเภอท่าเรือ ซึ่งแต่งเครื่องแบบจะไปร่วมงานวันเฉลิมพระชนม์พรรษาที่อำเภอ และวิ่งมาเพราะเสียงปืน โจรเลยนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่จะมาขัดขวาง เลยส่องดับคาที่ไปอีกราย
ที่ร้านทองอีกแห่งชื่อ“ย่งฮวด” นายตังสิ่น แซ่ตั้ง อายุ ๘๗ ปี เจ้าของร้านทำท่าจะขัดขืน เลยถูกยิงดับเป็นศพที่ ๓
แต่ที่ร้านทอง “ฮั่วซ่งหลี” นายเล่าท้อ แซ่ฮั้ว กับ นางเซี๊ยะกิม แซ่ฮั้ว กำลังช่วยกันจะเก็บทองซ่อน แต่พอเห็นโจรถือปืนพรวดพราดเข้ามาเลยกลัวจนตัวสั่น ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ดูโจรกวาดทองจากตู้ใส่ถุงไม่กระดุกกระดิก พอโจรกวาดทองเสร็จจะถอยออกจากร้าน ยิงปืนกลรัวเพื่อจะข่มขวัญ นางเซี๊ยะกิมซึ่งกำลังกลัวสุดขีดอยู่แล้ว เลยช็อกหัวใจวายตายเป็นศพที่ ๔
ก่อนที่จะถอยออกจากร้าน โจรคนหนึ่งหันไปเห็นนางสาวเซี๊ยะคิ้ม หน้าตาดีหลบซ่อนอยู่ เลยคว้าตัวไปด้วยเป็นของแถม
ไม่เพียงแต่ร้านทองทั้ง ๕ ร้านถูกทุบกระจกตู้กวาดทองไปเรียบ ร้านขายนาฬิกา ร้านขายวิทยุ ร้านขายเสื้อผ้า ก็ถูกกวาดทรัพย์สินมีค่าเช่นกัน กลุ่มโจรใช้เวลาปฏิบัติการอยู่นานราว ๒๐ นาที หัวหน้าโจรจึงส่งสัญญาณให้สมุนที่ปิดล้อมโรงพักและที่ว่าการอำเภอถอยไปที่รถ พร้อมกับตะโกนบอกกลุ่มที่ยังเก็บกวาดทรัพย์สินตามร้านว่า “อ้ายเสือถอย” มารวมกันกลับขึ้นรถพร้อมกับเชลยสาว แล้วยิงกราดไปรอบทิศเป็นการขู่ไม่ให้มีการติดตาม กระสุนชุดล่าถอยของโจรยังทะลุฝาบ้านเข้าไปถูกขานางนิภา เกตุอ่ำ ที่กำลังให้นมลูกบาดเจ็บไปอีกราย
ปรากฏว่าโจรที่ปฏิบัติการครั้งนี้มีถึง ๑๗ คน มากับรถสองแถว ๑๒ คน และรออยู่ก่อนแล้ว ๕ คน ส่วนคนขับรถสองแถวนั้นคือนายวิชัย มานะกิจมงคล ถูกโจรคนหนึ่งไปว่าจ้างให้ไปรับพรรคพวกอีก ๑๑ คน แล้วจี้ให้ขับไปที่ตลาดท่าเรือ
ขณะที่ถอยออกไปจากการปล้น นอกจากในรถสองแถวซึ่งดัดแปลงมาจากรถปิคอัพจะอัดแน่นไปด้วย ๑๗ โจรแล้ว น.ส.เซี๊ยะคิ้มที่ถูกจับมาด้วยยังร้องไห้ครวญครางขอชีวิตไปตลอดทาง พอไปถึงบ้านร่อม ห่างตลาดท่าเรือไป ๓ กม. โจรจึงยอมปล่อยตัวลงข้างทาง ส่วนคนขับรถยังถูกจี้ให้ไปส่งยังจุดที่กำหนดไว้ ซึ่งก็อยู่ในเขตบ้านร่อมนั่นเอง
เมื่อถึงจุดที่หมาย กลุ่มโจรก็ลงจากรถ ยอมปล่อยคนขับไปแต่โดยดี แล้วพากันเดินถือปืนหอบทองตัดทุ่งไป ขณะนั้นยังไม่มืดชาวบ้านจึงเห็นพวกโจรถนัด แต่ก็ไม่มีใครกล้าดู ต่างปิดประตูหน้าต่างกันพร้อมหน้า กลุ่มโจรได้แวะที่บ้านของนายเชื้อ เขมารมย์ ครูใหญ่ ร.ร.ประชาบาลบ้านร่อม ซึ่งเป็นทางผ่าน ขอน้ำดื่ม ซึ่งครูใหญ่ก็ต้องบริการให้ด้วยความเกรงกลัว
ในวันนั้น พ.ต.ท.สมหวัง เพ็ญสูตร ผู้กำกับการตำรวจภูธรภาค ๑ มือปราบที่กำลังดัง นำตำรวจออกไปติดตามคนร้ายปล้นทรัพย์ที่ตลาดช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ กลับมาในตอนเย็นยังแวะที่สถานีตำรวจท่าลาน เพื่อสืบเรื่องคนร้ายปล้นรถโดยสารและฆ่าเจ้าทุกข์ตายที่อำเภอบ้านหมอ สระบุรีอีกคดี ก็พอดีมีรถโดยสารเข้ามาแจ้งว่ากำลังมีการปล้นที่ตลาดท่าเรือ ผู้กำกับฯสมหวังจึงโทรศัพท์แจ้งสถานีตำรวจบ้านหมอให้นำกำลังไปสกัดเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะต้องหนีไปทางนั้น ส่วนตัวเองก็นำกำลังรีบรุดไปติดตามคนร้ายกลุ่มนี้ทันที
ผู้กำกับฯสมหวังได้ข่าวว่ากลุ่มโจรลงรถที่บ้านร่อมและเดินตัดทุ่งไป จึงติดตามไปจนทัน กลุ่มโจรเห็นตำรวจตามมาจึงจี้ตัวชาวนากำบังกระสุนและยิงต่อสู้ขณะที่ถอย ทำเอาเจ้าหน้าที่ยิงตอบไม่สะดวก จนความมืดคืบคลานมา กลุ่มโจรทั้ง ๑๗ คนจึงอาศัยความมืดหลบหนีไปได้
ในยุคนั้นการปล้นฆ่าเกิดขึ้นในต่างจังหวัดเป็นประจำ โดยเฉพาะในภาคกลาง แต่การปิดตลาดท่าเรือปล้นถือว่าเป็นการกระทำอุกอาจ อำมหิต ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง และเป็นการหยามหน้ากรมตำรวจ หนังสือพิมพ์ได้ประโคมข่าวนี้อย่างเอิกเกริกจนทำให้ตำรวจใหญ่นั่งกันไม่ติด พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจ สั่งให้ระดมนายตำรวจของท้องที่โดยรอบเข้าร่วมพิชิตคดีนี้ โดยตั้งเป็นคณะปราบปรามชุดพิเศษเฉพาะกิจขึ้นมา มี พล.ต.ต.ประหลาท ประการะนันท์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธร เป็นผู้อำนวยการ
จากการสอบสวนในที่เกิดเหตุ มีผู้ตกเป็นเหยื่อโจรเสียชีวิตไป ๔ คน รวมทรัพย์สินที่โจรปล้นไปมีมูลค่าราว ๖ แสนบาท
เป็น ๖ แสนบาทในขณะที่ทองคำราคาบาทละ ๓๐๐ บาท
ต่อมาไม่นาน ตำรวจก็สืบรู้ตัวโจรก๊กนี้ ว่ามี เสือใบ กุลแพ ที่ลูกน้องตั้งฉายาให้ว่า “เจ้าพ่อกำแพงเขย่ง” เป็นหัวหน้า และเป็นคนที่เอาปืนจี้หัวนายวิชัยคนขับรถสองแถวให้มาปล้น โดยมี เสือมาย หรือ นายละมาย ภู่แสนสะอาด คนที่รสนิยมจัดในเรื่องผู้หญิงและเป็นคนคว้าตัว น.ส. เซี๊ยะคิ้มเป็นของแถม เป็นผู้วางแผนปล้น
เสือใบเคยบวชเรียนเป็นเณรและเป็นทหารอยู่ที่ลพบุรีถึง ๓ ปี เมื่อออกจากทหารก็ริเป็นเสือปล้นจนชื่อดัง เมื่อนายสันต์ เอกมหาชัย นายอำเภอเมืองลพบุรี มีนโยบายจะใช้โจรปราบโจร เสือใบจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๓ ตำบลดอนโพธิ์ ซึ่งก็ทำให้โจรในลพบุรีสงบไปได้พักหนึ่ง
แต่เสือไม่ยอมทิ้งลาย ต่อมาผู้ใหญ่ใบกับลูกน้องอีก ๕ คนข้ามถิ่นไปปล้นบ้านผู้ใหญ่ฉุย ที่ตำบลโคกโพธิ์ อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี เจ้าทรัพย์ยิงสู้ถูกต้นขาขวาผู้ใหญ่ใบจนหนีไม่รอด ถูกจับดำเนินคดี ศาลตัดสินจำคุก ๑๐ ปี ลดฐานสารภาพเหลือ ๕ ปี และขาข้างนั้นพิการจนต้องเดินโขยกได้ฉายาว่า “เจ้าพ่อกำแพงเขย่ง”
ในเรือนจำสระบุรี เสือใบได้รู้จักกับเสือมาย โจรรุ่นน้องที่ให้ความนับถือเรียกว่าพี่ เมื่อพ้นโทษก็ยังมีความสัมพันธ์กันตลอดมา เมื่อเสือมายคิดจะเข้าปล้นตลาดท่าเรือ โดยดูลาดเลาและวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว จึงไปชวนเสือใบมาร่วมปล้นด้วย
เมื่อรู้ตัวระดับหัวหน้าของ ๑๗ โจรที่ปิดตลาดท่าเรือปล้นแล้ว ตำรวจจึงวางแผนที่จะล่าคนหนึ่งคนใดมาให้ได้ก่อน เพื่อขยายผลเอาทั้ง ๑๗ โจรมารับโทษ แต่หัวหน้าโจรที่รู้ตัวมาต่างก็อยู่ในระดับพระกาฬทั้งนั้น จะยอมให้จับแต่โดยดีคงเป็นไปไม่ได้ หากจู่โจมเข้าไปจับแบบไม่รัดกุม ก็อาจจะทำให้เสียชีวิตฝ่ายปราบปรามเป็นแน่ และถ้าหากเสือร้ายเป็นฝ่ายตาย การขยายผลก็จะหมดไปทางหนึ่งด้วย
คณะปราบปรามชุดพิเศษเฉพาะกิจประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว กาหัวที่จะคว้าตัว “เจ้าพ่อกำแพงเขย่ง” เป็นคนแรก เพราะมีพยานยืนยันแน่ชัดว่าเป็นคนเอาปืนจี้หัวนายวิชัย คนขับรถสองแถว ทั้งยังเดินเขย่งโชว์ตัวให้คนเห็นทั้งตลาด
คณะปราบปรามฯได้ตัว จ.ส.ต.พล เพียรเจริญ หัวหน้าสถานีตำรวจบ้านกุ่ม ลพบุรี ซึ่งสนิทสนมกับเสือใบและรู้จักบ้านช่องเป็นอย่างดี ฉะนั้นกลางดึกของคืนวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๘ หลังการปล้นเพียง ๒ วัน พ.ต.อ.ตรึก สุทธิจิตต์ และพ.ต.ท. สมหวัง เพ็ญสูตร ก็นำกำลังตำรวจจำนวนหนึ่งลงเรือโดยมี จ.ส.ต.พลเป็นผู้นำทาง ไปถึงบ้านของเสือใบ กุลมา ที่ตำบลดอนโพธิ์ในเช้าตรู่ของวันที่ ๘
เมื่อวางกำลังรายล้อมไว้แล้ว จ.ส.ต.พลก็ไปตะโกนเรียกที่หน้าบ้านว่า
“ใบโว้ย ตื่นหรือยัง?”
“ใครวะ?” เสียงถามมาจากบนบ้าน
“ข้าเอง พลโว้ย”
“มาทำไมวะแต่เช้ามืด” เจ้าพ่อเริ่มสงสัย
“มีธุระโว้ย ลงมาคุยกันหน่อย”
แม้จะเรียกให้ลงมาโดยดี แต่เจ้าหน้าที่ก็เพียงต้องการให้เสือร้ายพุ่งความสนใจไปที่ จ.ส.ต.พลเท่านั้น ขณะที่หน่วยจู่โจมคืบคลานเข้าไปไม่ให้เสือร้ายรู้ตัว และตรูกันขึ้นไปล็อคตัวไว้ได้ขณะที่เสือร้ายถลาไปคว้าปืน
เมื่อหมดทางที่จะต่อสู้ “เจ้าพ่อกำแพงเขย่ง” ก็ยอมจำนนให้สวมกุญแจมือแต่โดยดี เจ้าหน้าที่ค้นทั่วบ้านและบริเวณโดยรอบ พบปืนคาร์ไบน์ที่ใช้ในการปล้นพร้อมเครื่องทองของกลางยังอยู่เพียบ เสือสิ้นลายรับสารภาพและเผยตัวลูกน้องร่วมขบวนจนหมดสิ้น
วันต่อมา สายรายงานมาว่า สมบุญ มากฤทธิ์ ๑ ใน ๑๗ โจรได้หลบไปอยู่บ้านพรรคพวกที่ ต.โพธิ์เอน ในอำเภอท่าเรือนั่นเอง พ.ต.ท.สมหวังจึงพาตำรวจไปล้อมไว้ตั้งแต่ตี ๓ พอสว่างก็จู่โจมเข้าจับ เสือร้ายหันไปคว้าปืน แต่ก็ถูกปืนตำรวจจ่ออยู่หลายกระบอก เลยต้องยอมให้จับแต่โดยดีอีกราย เจ้าหน้าที่ยึดได้ปืนพก ๑ กระบอก กระสุนตุนไว้ถึง ๑๐๒ นัด นาฬิการาโดเรือนทอง ๑ เรือน พร้อมกับเครื่องทองอีกมาก
ในเวลาต่อมา ตำรวจชุดเดิมก็บุกไปรวบตัว ทวี เฉลิมสมัย คนที่สังหารเถ้าแก่ร้านทองเล้าย่งฮง และผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๒ ท่าเจ้าสนุก ถึง ๒ ศพ ได้ที่บ้านแม่ พร้อมด้วยของกลางถึง ๘๕ รายการ
เมื่อได้ตัวหัวหน้าโจรและสมุนตัวสำคัญมาอีก ๒ คน พ.ต.ท.สมหวัง เพ็ญสูตร มือปราบคนดังก็คึกคักขึ้นมาทันที ในวันที่ ๒๗ สายก็รายงานมาว่า บุญเลิศ ปลอดเกิด โจรอีกคนหลบไปอยู่ที่ตลาดโคกตูม นิคมสร้างตนเอง ลพบุรี จึงพากำลังพร้อมสุนัขตำรวจมุ่งไปที่จุดนั้น แต่พอใกล้ถึง ตำรวจท้องที่คนพาไปก็ชี้มือให้ดูชายคนหนึ่งขี่จักรยานสวนทางมา พร้อมกับบอก
“นั่นไอ้บุญเลิศนี่ครับ”
ตำรวจเลยไม่ต้องออกแรง แค่จอดรถเทียบแล้วเอาปืนจ่อ บุญเลิศก็ลงจากรถให้จับแต่โดยดี
นายกฯ ใช้ ม.๑๗ สั่ง..ปล้นที่ไหนยิงเป้าที่นั่น...(โจ ขิง)
พ.ศ. ๒๕๐๘
ตลาดท่าเรือ ที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังเป็นชุมชนที่ไม่ใหญ่โตนัก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก มีเพียงห้องแถวไม้ชั้นเดียวตั้งเรียงรายอยู่สองฟากถนนที่ตัดมุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟ แต่การค้าของตลาดท่าเรือก็คึกคักพอสมควร มีสาขาธนาคารเกือบทุกแห่งตั้งอยู่ มีร้านทองถึง ๕ ร้าน แต่ละร้านก็แขวนทองโชว์เต็มตู้ประชันกัน โดยไม่คิดว่าจะมีโจรที่ไหนกล้ามาปล้น เพราะอยู่กลางตลาด ห่างจากสถานีตำรวจและที่ว่าการอำเภอประมาณ ๑๐๐ เมตรเท่านั้น
แต่แล้วในเย็นวันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๘ ราว ๑๖.๒๐ ก็มีรถเมล์สองแถวสีเทาคันหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างช้าๆ จอดที่หน้าโรงแรมตั้งซาฮะ ภายในรถมีชายฉกรรจ์สิบกว่าคน อาวุธครบมือ แต่งกายคล้ายเครื่องแบบครึ่งท่อน นุ่งกางเกงสีกากี ผู้คนในตลาดเห็นก็นึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับผู้ร้ายมา
ทันทีที่รถจอด ชายคนหนึ่งถือปืนคาร์ไบน์และยังมีถุงผ้าหูรูดห้อยติดข้อมือ กระโดดลงมาเป็นคนแรก แล้วยิงปืนขึ้นฟ้า ๑ นัด ประกาศก้องว่า “อ้ายเสือบุก!”
จากนั้นทุกคนก็ตามลงมา พร้อมกับยิงปืนหูดับตับไหม้เป็นการข่มขวัญ อีกส่วนหนึ่งกระจายกำลังไปที่หน้าสถานีตำรวจและที่ว่าการอำเภอ สาดกระสุนข่มขวัญและตรึงกำลังไว้โดยรอบไม่ให้เจ้าหน้าที่ออกมาต่อสู้ ชาวบ้านที่มาจับจ่ายซื้อของต่างวิ่งกันอลหม่าน เจ้าของร้านก็รีบปิดร้าน โดยเฉพาะร้านทองทั้ง ๕ แต่ก็ยังช้าไปกว่า ๕ โจรที่มีอาวุธปืนสั้นซึ่งมาเฝ้าประกบร้านทองทุกร้านล่วงหน้าแล้ว
นายแก้ว หรือ กำหน่ำ แซ่หล่า เจ้าของร้านทอง “เล่าย่งเฮง” กำลังจะปิดประตูร้าน แต่ก็ไม่ทันโจรคนหนึ่งที่ถือปืนสั้นปราดเข้ามา นายแก้วเห็นหน้าโจร ก็ร้องขึ้นว่า
“อ้ายวี เองหรือ?”
ทันใดปืนในมือ “อ้ายวี” ก็คำรามขึ้น นายแก้วทรุดลงตายคาที่ โจรเอาด้ามปืนทุบกระจกตู้ กวาดทองคำเหลืองอร่ามลงใส่ถุงที่เตรียมมาจนเกลี้ยงตู้ แล้วเผ่นออกจากร้านไป
พอออกจากร้าน โจรที่หิ้วทองออกมาก็เห็นนายจอม เปี่ยมสาคร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๒ ตำบลท่าเจ้าสนุก อำเภอท่าเรือ ซึ่งแต่งเครื่องแบบจะไปร่วมงานวันเฉลิมพระชนม์พรรษาที่อำเภอ และวิ่งมาเพราะเสียงปืน โจรเลยนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่จะมาขัดขวาง เลยส่องดับคาที่ไปอีกราย
ที่ร้านทองอีกแห่งชื่อ“ย่งฮวด” นายตังสิ่น แซ่ตั้ง อายุ ๘๗ ปี เจ้าของร้านทำท่าจะขัดขืน เลยถูกยิงดับเป็นศพที่ ๓
แต่ที่ร้านทอง “ฮั่วซ่งหลี” นายเล่าท้อ แซ่ฮั้ว กับ นางเซี๊ยะกิม แซ่ฮั้ว กำลังช่วยกันจะเก็บทองซ่อน แต่พอเห็นโจรถือปืนพรวดพราดเข้ามาเลยกลัวจนตัวสั่น ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ดูโจรกวาดทองจากตู้ใส่ถุงไม่กระดุกกระดิก พอโจรกวาดทองเสร็จจะถอยออกจากร้าน ยิงปืนกลรัวเพื่อจะข่มขวัญ นางเซี๊ยะกิมซึ่งกำลังกลัวสุดขีดอยู่แล้ว เลยช็อกหัวใจวายตายเป็นศพที่ ๔
ก่อนที่จะถอยออกจากร้าน โจรคนหนึ่งหันไปเห็นนางสาวเซี๊ยะคิ้ม หน้าตาดีหลบซ่อนอยู่ เลยคว้าตัวไปด้วยเป็นของแถม
ไม่เพียงแต่ร้านทองทั้ง ๕ ร้านถูกทุบกระจกตู้กวาดทองไปเรียบ ร้านขายนาฬิกา ร้านขายวิทยุ ร้านขายเสื้อผ้า ก็ถูกกวาดทรัพย์สินมีค่าเช่นกัน กลุ่มโจรใช้เวลาปฏิบัติการอยู่นานราว ๒๐ นาที หัวหน้าโจรจึงส่งสัญญาณให้สมุนที่ปิดล้อมโรงพักและที่ว่าการอำเภอถอยไปที่รถ พร้อมกับตะโกนบอกกลุ่มที่ยังเก็บกวาดทรัพย์สินตามร้านว่า “อ้ายเสือถอย” มารวมกันกลับขึ้นรถพร้อมกับเชลยสาว แล้วยิงกราดไปรอบทิศเป็นการขู่ไม่ให้มีการติดตาม กระสุนชุดล่าถอยของโจรยังทะลุฝาบ้านเข้าไปถูกขานางนิภา เกตุอ่ำ ที่กำลังให้นมลูกบาดเจ็บไปอีกราย
ปรากฏว่าโจรที่ปฏิบัติการครั้งนี้มีถึง ๑๗ คน มากับรถสองแถว ๑๒ คน และรออยู่ก่อนแล้ว ๕ คน ส่วนคนขับรถสองแถวนั้นคือนายวิชัย มานะกิจมงคล ถูกโจรคนหนึ่งไปว่าจ้างให้ไปรับพรรคพวกอีก ๑๑ คน แล้วจี้ให้ขับไปที่ตลาดท่าเรือ
ขณะที่ถอยออกไปจากการปล้น นอกจากในรถสองแถวซึ่งดัดแปลงมาจากรถปิคอัพจะอัดแน่นไปด้วย ๑๗ โจรแล้ว น.ส.เซี๊ยะคิ้มที่ถูกจับมาด้วยยังร้องไห้ครวญครางขอชีวิตไปตลอดทาง พอไปถึงบ้านร่อม ห่างตลาดท่าเรือไป ๓ กม. โจรจึงยอมปล่อยตัวลงข้างทาง ส่วนคนขับรถยังถูกจี้ให้ไปส่งยังจุดที่กำหนดไว้ ซึ่งก็อยู่ในเขตบ้านร่อมนั่นเอง
เมื่อถึงจุดที่หมาย กลุ่มโจรก็ลงจากรถ ยอมปล่อยคนขับไปแต่โดยดี แล้วพากันเดินถือปืนหอบทองตัดทุ่งไป ขณะนั้นยังไม่มืดชาวบ้านจึงเห็นพวกโจรถนัด แต่ก็ไม่มีใครกล้าดู ต่างปิดประตูหน้าต่างกันพร้อมหน้า กลุ่มโจรได้แวะที่บ้านของนายเชื้อ เขมารมย์ ครูใหญ่ ร.ร.ประชาบาลบ้านร่อม ซึ่งเป็นทางผ่าน ขอน้ำดื่ม ซึ่งครูใหญ่ก็ต้องบริการให้ด้วยความเกรงกลัว
ในวันนั้น พ.ต.ท.สมหวัง เพ็ญสูตร ผู้กำกับการตำรวจภูธรภาค ๑ มือปราบที่กำลังดัง นำตำรวจออกไปติดตามคนร้ายปล้นทรัพย์ที่ตลาดช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ กลับมาในตอนเย็นยังแวะที่สถานีตำรวจท่าลาน เพื่อสืบเรื่องคนร้ายปล้นรถโดยสารและฆ่าเจ้าทุกข์ตายที่อำเภอบ้านหมอ สระบุรีอีกคดี ก็พอดีมีรถโดยสารเข้ามาแจ้งว่ากำลังมีการปล้นที่ตลาดท่าเรือ ผู้กำกับฯสมหวังจึงโทรศัพท์แจ้งสถานีตำรวจบ้านหมอให้นำกำลังไปสกัดเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะต้องหนีไปทางนั้น ส่วนตัวเองก็นำกำลังรีบรุดไปติดตามคนร้ายกลุ่มนี้ทันที
ผู้กำกับฯสมหวังได้ข่าวว่ากลุ่มโจรลงรถที่บ้านร่อมและเดินตัดทุ่งไป จึงติดตามไปจนทัน กลุ่มโจรเห็นตำรวจตามมาจึงจี้ตัวชาวนากำบังกระสุนและยิงต่อสู้ขณะที่ถอย ทำเอาเจ้าหน้าที่ยิงตอบไม่สะดวก จนความมืดคืบคลานมา กลุ่มโจรทั้ง ๑๗ คนจึงอาศัยความมืดหลบหนีไปได้
ในยุคนั้นการปล้นฆ่าเกิดขึ้นในต่างจังหวัดเป็นประจำ โดยเฉพาะในภาคกลาง แต่การปิดตลาดท่าเรือปล้นถือว่าเป็นการกระทำอุกอาจ อำมหิต ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง และเป็นการหยามหน้ากรมตำรวจ หนังสือพิมพ์ได้ประโคมข่าวนี้อย่างเอิกเกริกจนทำให้ตำรวจใหญ่นั่งกันไม่ติด พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจ สั่งให้ระดมนายตำรวจของท้องที่โดยรอบเข้าร่วมพิชิตคดีนี้ โดยตั้งเป็นคณะปราบปรามชุดพิเศษเฉพาะกิจขึ้นมา มี พล.ต.ต.ประหลาท ประการะนันท์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธร เป็นผู้อำนวยการ
จากการสอบสวนในที่เกิดเหตุ มีผู้ตกเป็นเหยื่อโจรเสียชีวิตไป ๔ คน รวมทรัพย์สินที่โจรปล้นไปมีมูลค่าราว ๖ แสนบาท
เป็น ๖ แสนบาทในขณะที่ทองคำราคาบาทละ ๓๐๐ บาท
ต่อมาไม่นาน ตำรวจก็สืบรู้ตัวโจรก๊กนี้ ว่ามี เสือใบ กุลแพ ที่ลูกน้องตั้งฉายาให้ว่า “เจ้าพ่อกำแพงเขย่ง” เป็นหัวหน้า และเป็นคนที่เอาปืนจี้หัวนายวิชัยคนขับรถสองแถวให้มาปล้น โดยมี เสือมาย หรือ นายละมาย ภู่แสนสะอาด คนที่รสนิยมจัดในเรื่องผู้หญิงและเป็นคนคว้าตัว น.ส. เซี๊ยะคิ้มเป็นของแถม เป็นผู้วางแผนปล้น
เสือใบเคยบวชเรียนเป็นเณรและเป็นทหารอยู่ที่ลพบุรีถึง ๓ ปี เมื่อออกจากทหารก็ริเป็นเสือปล้นจนชื่อดัง เมื่อนายสันต์ เอกมหาชัย นายอำเภอเมืองลพบุรี มีนโยบายจะใช้โจรปราบโจร เสือใบจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๓ ตำบลดอนโพธิ์ ซึ่งก็ทำให้โจรในลพบุรีสงบไปได้พักหนึ่ง
แต่เสือไม่ยอมทิ้งลาย ต่อมาผู้ใหญ่ใบกับลูกน้องอีก ๕ คนข้ามถิ่นไปปล้นบ้านผู้ใหญ่ฉุย ที่ตำบลโคกโพธิ์ อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี เจ้าทรัพย์ยิงสู้ถูกต้นขาขวาผู้ใหญ่ใบจนหนีไม่รอด ถูกจับดำเนินคดี ศาลตัดสินจำคุก ๑๐ ปี ลดฐานสารภาพเหลือ ๕ ปี และขาข้างนั้นพิการจนต้องเดินโขยกได้ฉายาว่า “เจ้าพ่อกำแพงเขย่ง”
ในเรือนจำสระบุรี เสือใบได้รู้จักกับเสือมาย โจรรุ่นน้องที่ให้ความนับถือเรียกว่าพี่ เมื่อพ้นโทษก็ยังมีความสัมพันธ์กันตลอดมา เมื่อเสือมายคิดจะเข้าปล้นตลาดท่าเรือ โดยดูลาดเลาและวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว จึงไปชวนเสือใบมาร่วมปล้นด้วย
เมื่อรู้ตัวระดับหัวหน้าของ ๑๗ โจรที่ปิดตลาดท่าเรือปล้นแล้ว ตำรวจจึงวางแผนที่จะล่าคนหนึ่งคนใดมาให้ได้ก่อน เพื่อขยายผลเอาทั้ง ๑๗ โจรมารับโทษ แต่หัวหน้าโจรที่รู้ตัวมาต่างก็อยู่ในระดับพระกาฬทั้งนั้น จะยอมให้จับแต่โดยดีคงเป็นไปไม่ได้ หากจู่โจมเข้าไปจับแบบไม่รัดกุม ก็อาจจะทำให้เสียชีวิตฝ่ายปราบปรามเป็นแน่ และถ้าหากเสือร้ายเป็นฝ่ายตาย การขยายผลก็จะหมดไปทางหนึ่งด้วย
คณะปราบปรามชุดพิเศษเฉพาะกิจประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว กาหัวที่จะคว้าตัว “เจ้าพ่อกำแพงเขย่ง” เป็นคนแรก เพราะมีพยานยืนยันแน่ชัดว่าเป็นคนเอาปืนจี้หัวนายวิชัย คนขับรถสองแถว ทั้งยังเดินเขย่งโชว์ตัวให้คนเห็นทั้งตลาด
คณะปราบปรามฯได้ตัว จ.ส.ต.พล เพียรเจริญ หัวหน้าสถานีตำรวจบ้านกุ่ม ลพบุรี ซึ่งสนิทสนมกับเสือใบและรู้จักบ้านช่องเป็นอย่างดี ฉะนั้นกลางดึกของคืนวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๘ หลังการปล้นเพียง ๒ วัน พ.ต.อ.ตรึก สุทธิจิตต์ และพ.ต.ท. สมหวัง เพ็ญสูตร ก็นำกำลังตำรวจจำนวนหนึ่งลงเรือโดยมี จ.ส.ต.พลเป็นผู้นำทาง ไปถึงบ้านของเสือใบ กุลมา ที่ตำบลดอนโพธิ์ในเช้าตรู่ของวันที่ ๘
เมื่อวางกำลังรายล้อมไว้แล้ว จ.ส.ต.พลก็ไปตะโกนเรียกที่หน้าบ้านว่า
“ใบโว้ย ตื่นหรือยัง?”
“ใครวะ?” เสียงถามมาจากบนบ้าน
“ข้าเอง พลโว้ย”
“มาทำไมวะแต่เช้ามืด” เจ้าพ่อเริ่มสงสัย
“มีธุระโว้ย ลงมาคุยกันหน่อย”
แม้จะเรียกให้ลงมาโดยดี แต่เจ้าหน้าที่ก็เพียงต้องการให้เสือร้ายพุ่งความสนใจไปที่ จ.ส.ต.พลเท่านั้น ขณะที่หน่วยจู่โจมคืบคลานเข้าไปไม่ให้เสือร้ายรู้ตัว และตรูกันขึ้นไปล็อคตัวไว้ได้ขณะที่เสือร้ายถลาไปคว้าปืน
เมื่อหมดทางที่จะต่อสู้ “เจ้าพ่อกำแพงเขย่ง” ก็ยอมจำนนให้สวมกุญแจมือแต่โดยดี เจ้าหน้าที่ค้นทั่วบ้านและบริเวณโดยรอบ พบปืนคาร์ไบน์ที่ใช้ในการปล้นพร้อมเครื่องทองของกลางยังอยู่เพียบ เสือสิ้นลายรับสารภาพและเผยตัวลูกน้องร่วมขบวนจนหมดสิ้น
วันต่อมา สายรายงานมาว่า สมบุญ มากฤทธิ์ ๑ ใน ๑๗ โจรได้หลบไปอยู่บ้านพรรคพวกที่ ต.โพธิ์เอน ในอำเภอท่าเรือนั่นเอง พ.ต.ท.สมหวังจึงพาตำรวจไปล้อมไว้ตั้งแต่ตี ๓ พอสว่างก็จู่โจมเข้าจับ เสือร้ายหันไปคว้าปืน แต่ก็ถูกปืนตำรวจจ่ออยู่หลายกระบอก เลยต้องยอมให้จับแต่โดยดีอีกราย เจ้าหน้าที่ยึดได้ปืนพก ๑ กระบอก กระสุนตุนไว้ถึง ๑๐๒ นัด นาฬิการาโดเรือนทอง ๑ เรือน พร้อมกับเครื่องทองอีกมาก
ในเวลาต่อมา ตำรวจชุดเดิมก็บุกไปรวบตัว ทวี เฉลิมสมัย คนที่สังหารเถ้าแก่ร้านทองเล้าย่งฮง และผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๒ ท่าเจ้าสนุก ถึง ๒ ศพ ได้ที่บ้านแม่ พร้อมด้วยของกลางถึง ๘๕ รายการ
เมื่อได้ตัวหัวหน้าโจรและสมุนตัวสำคัญมาอีก ๒ คน พ.ต.ท.สมหวัง เพ็ญสูตร มือปราบคนดังก็คึกคักขึ้นมาทันที ในวันที่ ๒๗ สายก็รายงานมาว่า บุญเลิศ ปลอดเกิด โจรอีกคนหลบไปอยู่ที่ตลาดโคกตูม นิคมสร้างตนเอง ลพบุรี จึงพากำลังพร้อมสุนัขตำรวจมุ่งไปที่จุดนั้น แต่พอใกล้ถึง ตำรวจท้องที่คนพาไปก็ชี้มือให้ดูชายคนหนึ่งขี่จักรยานสวนทางมา พร้อมกับบอก
“นั่นไอ้บุญเลิศนี่ครับ”
ตำรวจเลยไม่ต้องออกแรง แค่จอดรถเทียบแล้วเอาปืนจ่อ บุญเลิศก็ลงจากรถให้จับแต่โดยดี