"เงิน" งอกขึ้นมาได้จาก "อากาศ" ด้วยหนี้ที่สร้างจากธนาคาร จริงหรือ?

จริงครับ!

((หัวข้อนี้อาจจะมีคนตั้งประเด็นสงสัยมากมาย แต่ผมจะพยายามสรุปเฉพาะประเด็นที่สำคัญ ๆ มาให้ทุกท่านทำความเข้าใจกันดี ๆ ดูนะครับ))


ก่อนอื่นเพื่อยืนยันว่าผมไม่ได้เพ้อเจ้อ เรื่องนี้เป็นหัวข้อที่ถกเถียงอยู่ในโลกตะวันตก และมีองค์กรเริ่มออกมาขับเคลื่อนเพื่อให้มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ทำความเข้าใจว่าแท้จริงแล้ว "เงิน" ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้คืออะไร และเค้าพยายามที่จะ "ปฏิรูป" ระบบการเงินของโลกเราเสียใหม่ เพื่อป้องกันปัญหา financial crisises ที่เกิดขึ้นซ้ำซากมาตั้งแต่อดีด ที่นับวันยิ่งเกิดถี่ขึ้น ๆ และมีผลกระทบใหญ่ขึ้น ๆ ทุกวัน เพราะพวกเราแก้ปัญหากันไม่ถูกจุด

องค์กรที่ว่านั้น คือ "International Movement for Monetary Reform" [http://internationalmoneyreform.org] ที่ตอนนี้เค้ามีภาคีอยู่ในประเทศต่าง ๆ (ส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป) ประมาณ 20 ประเทศ โดยภาคีที่มีส่วนสำคัญที่สุด (ช่วยผลักดันมากที่สุด) หนึ่งในนั้นคือ Positive Money ใน UK นั่นเอง [http://positivemoney.org]


บทนำ

ก่อนอื่นเราต้องเริ่มจากยอมรับเหตุผลกันก่อนว่า ทุกวันนี้ "ตัวเลขในบัญชี" เงินฝากของเรา มีสถานะไม่ต่างจาก "เงินสด" เลย (เงินสด หมายถึง เหรียญ หรือธนบัตร ที่สร้างขึ้นโดยรัฐบาล และธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง) ซึ่งแท้จริงแล้วมันต่างนะครับ

ในสมัยก่อน เวลาเราเอาทองไปฝากที่ธนาคาร เราจะได้ "ตั๋วฝากทอง" กลับมา ตั๋วฝากทองนั้นเป็นเอกสารที่ยืนยันว่าธนาคาร "ติดหนี้" ทองเราอยู่นั่นเอง ถ้าจะให้เปรียบเทียบ "ตั๋วฝากทอง" นั้นก็คือ "ตัวเลขในสมุดบัญชี" ในปัจจุบันนี้นี่เอง

แต่ในสมัยก่อน ใช่ว่าเราจะสามารถเอา ตั๋วฝากทอง ไปใช้จับจ่ายใช้สอยได้โดยง่าย เพราะผู้ที่จะรับชำระ (ผู้ที่ยอมขายสินค้าให้เราโดยรับ ตั๋วฝากทอง เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน) จะต้องให้ credit (ให้ความเชื่อ) ว่าเค้าจะสามารถนำ ตั๋วฝากทอง นั้นไป claim ทองออกมาจากธนาคารได้นั่นเอง ซึ่งต่างจากทุกวันนี้ที่ "ตัวเลขในบัญชีเงินฝาก" มีสถานะ ไม่ต่างจาก เงินสด เลย (ทุกวันนี้ใคร ๆ ก็รับการโอนเงินจากบัญชีเราที่เป็นแค่ตัวเลขในการชำระเงิน) ...​ แล้วมันกลายมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร?

ตัวอย่างไม่กี่เหตุผลที่สำคัญ ๆ อาทิเช่น ...

การที่หลายรัฐบาลในโลกนี้ (รวมถึงไทย) ใช้นโยบาย "รับประกันบัญชีเงินฝาก" ที่ว่าถ้าธนาคารล้มละลาย รัฐบาล ผู้ที่ซึ่งสามารถพิมพ์ธนบัตรได้เอง ธนบัตรที่ปัจจุบันไม่ได้ผูกกับทองแล้วอีกต่อไปแล้ว ก็จะจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ฝากเงินกลับมาแทน (รัฐบาลเป็นประกัน!)

แล้วยิ่ง technology ที่เข้ามา ที่ทำให้การโอนเงินข้ามบัญชี ข้ามธนาคาร ได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งเข้าไปอีก ผ่าน online banking ทำให้พวกเราทุกคนในโลกทุกวันนี้ต่างก็มองว่า ทั้ง "เงินฝาก" และ "เงินสด" ต่างก็เป็น "เงิน" ที่ไม่มีความแตกต่าง (จริง ๆ แล้วนิยามของเงินคือ สิ่งที่ทุกคนยอมรับว่าเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน - https://en.wikipedia.org/wiki/Money )

แล้วมันเกี่ยวกับการสร้างเงินจากอากาศของธนาคารตรงไหน?

การสร้างเงิน (Money Creation)
[https://en.wikipedia.org/wiki/Money_creation]

ลองจินตนาการดูง่าย ๆ นะครับ (ผมยกตัวอย่างจากระบบในปัจจุบันนี้) สมมติรัฐบาลเพิ่งพิมพ์ธนบัตรออกมา 100 บาท แล้วจ้างให้นาย A ทำงานให้, นาย A เอาไปฝากเงินที่ธนาคารแห่งหนึ่ง และได้รับสมุดบัญชีที่ยืนยันตัวเลขในบัญชีกลับมา 100 บาท

ต่อมา นาย B ต้องการขอกู้เงินที่ธนาคารแห่งนี้ แต่ตามหลัก fractional-reserve banking [https://en.wikipedia.org/wiki/Fractional-reserve_banking] ที่ธนาคารจะต้องเก็บเงินไว้บางส่วน (ไม่สามารถปล่อยกู้ได้ทั้งหมด เพราะต้องเผื่อคนที่ฝากเงินมาถอนไปใช้) สมมติว่า fraction = 10% แปลว่า ธนาคารสามารถปล่อยกู้ให้นาย B ได้ 90 บาท

ขณะนี้ นาย B ได้รับเงินออกไป 90 บาท แต่ นาย A ก็ยังมีเงินในบัญชี 100 บาท คงเดิม! เท่ากับ ตอนนี้เรามีเงินในระบบ 190 บาท แล้วนิ! - อย่าลืมว่าจริง ๆ แล้วรัฐบาลผลิตเงินสด (ที่เราเชื่อว่าเป็นเงินจริง ๆ งอกมาจากอากาศไม่ได้) แค่ 100 บาทเท่านั้น

เงินที่งอกนี้ยังคงงอกต่อไปได้อีกนะครับ สมมตินาย B เอาเงินที่กู้ ไปใช้ซื้อของจากนาย C แล้วนาย C เอาเงินไปฝากกับธนาคารอีกแห่ง ธนาคารอีกแห่งก็สามารถปล่อยกู้ได้อีก 90 * 0.9 = 81 บาท ไปทอด ๆ เมื่อวนซ้ำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เงินสามารถถูกสร้างขึ้นมาได้เท่ากับ 1/fraction หรือจากตัวอย่างข้างบน คือ 1,000 บาท (1/10% = 10 เท่า) นั่นเอง ! [https://en.wikipedia.org/wiki/Money_multiplier]

ปัญหานี้หนักหน่วงแค่ไหนคับ?

UK - ปัจจุบันมี เงินสด เพียงแค่ ~3% จากเงินในระบบทั้งหมด
US - ปัจจุบันมี เงินสด เพียงแค่ ~10% จากเงินในระบบทั้งหมด

แต่รู้แค่นี้ก็น่าตกใจแล้วใช่ไหมคับ? เพราะ เงิน ที่เราเห็น ๆ กันอยู่ในโลกทุกวันนี้ แท้จริงแล้วมันคือ "หนี้" นั่นเองคับ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้า "หนี้" นั้นไม่สามารถเรียกเก็บคืนได้? ก็เกิดการล้มครืนของระบบการเงิน (financial crisises) นั่นเองครับ

เพื่อให้พูดได้ตามหลักวิชาการ ผมขอยกตัวอย่างการบันทึกบัญชี (แบบง่าย) เมื่อเกิดการปล่อยกู้ของฝั่งธนาคารให้ดู เพื่อยืนยันว่าธนาคารพาณิชย์สร้างเงินขึ้นมาได้เองจริง ๆ ให้ดูนะครับ

a) สมมติธนาคารเริ่มดำเนินกิจการใหม่ มีเงินลงทุน (equity) 100 บาท จะมี balance sheet ดังนี้
101 (เงินสด)   100 บาท
   2xx (หนี้)    0    บาท
   3xx (ทุน)    100 บาท

b) เมื่อนาย A มาฝากเงินกับธนาคารอีก 100 บาท
101 (เงินสด)       200 บาท
   201 (เงินฝาก)   100 บาท
   3xx (ทุน)         100 บาท

c) ธนาคารปล่อยกู้ กับลูกค้า B 150 บาท

c.1) ถ้าในความเข้าใจของคนทั่ว ๆ ไป
101 (เงินสด)          50 บาท*
121 (หนี้นาย B)       150   บาท*
   201 (เงินฝาก A)   100 บาท
   3xx (ทุน)            100 บาท
ธนาคาร เอาเงินสดในมือ 200 บาท ไปปล่อยกู้ 150 บาท เหลือ 50 บาท เหมือนความเข้าใจของคนทั่ว ๆ ไป - ใน balance sheet จะเปลี่ยนแปลงแค่ฝั่งของ asset แต่ liability และ equity เท่าเดิม - ถ้าเป็นแบบนี้ธนาคารจะไม่สามารถปล่อยกู้ได้มากเกินไป เพราะต้องพยายามรักษาเงินสดไว้เผื่อให้ถอนออกจากบัญชีเงินฝาก

c.2) ด้วยระบบธนาคารปัจจุบัน
101 (เงินสด)          200 บาท
121 (หนี้นาย B)       150 บาท*
   201 (เงินฝาก A)   100 บาท
   202 (เงินฝาก B)   150 บาท*
   3xx (ทุน)            100 บาท
ทุกวันนี้เวลาเรากู้เงิน ธนาคารจะบังคับให้เราเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารนั้น ๆ และเวลาธนาคารให้เงินกู้เรา ก็จะใส่ตัวเลขเข้าไปในบัญชีนั้นแทนการให้เงินสด - ใน balance sheet ก็จะเปลี่ยนแปลงฝั่ง asset คู่กับ liability - ด้วยวิธีแบบนี้ ธนาคาร ยังเหลือเงินสด 200 บาทในมือเท่าเดิม สภาพคล่องเหลือเท่าเดิม - ลองสังเกตดูผลรวมบัญชีเงินฝากตอนนี้ (201+202) = 250 บาท มากกว่าเงินสดทั้งระบบ (101) = 200 บาท - ขัดกับควมรู้สึกเราโดยทั่วไปไหมครับ? ที่เข้าใจว่า เงินฝากธนาคาร ก็คือเงินสดนั่นแหล่ะ! แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เลยครับ! "ตัวเลขเงินฝาก" (ที่เราถือว่ามันคือ เงิน) ที่มันเกินกว่า "เงินสด" ขึ้นมาได้ แท้จริงแล้วมันเกิดจาก "หนี้" ใน balance sheet ของธนาคารพาณิชย์นั่นเองคับ! (หรือจะให้พูดอีกมุมนึง แต่ก่อนเงินผูกกับทอง เดี๋ยวนี้เงินผูกกับหนี้แทนคับ)

(ที่ * คือที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยกู้)

เห็นไหมครับ? ว่าการปล่อยกู้ของธนาคาร ทำได้เหมือนเสกเงินขึ้นมาได้จากอากาศเพียงแค่บันทึก Dr./Cr. ลงใน balance sheet ในฝั่ง สินทรัพย์ (asset) และฝั่ง หนี้สิน (liability) เท่า ๆ กัน - ง่ายดีไหมครับ?

ตามทฤษฎีแล้ว (เพียงเฉพาะแค่หลักทางบัญชี) ธนาคารจะปล่อยกู้เท่าไหร่ก็ได้ตราบใดที่ธนาคารยังคงมีสภาพคล่อง (เงินสด) เหลือพอหมุนเวียน (bank ไม่ run) เพียงแค่เพิ่ม Dr./Cr. ลงใน asset / liability เท่า ๆ กัน, และโลกปัจจุบันนี้ช่วยอำนวยความสะดวกให้ธนาคารมีสภาพคล่องยิ่งขึ้นด้วย online banking ที่ธนาคารสามารถ clearing payment ระหว่างธนาคารพาณิชย์กันเองเบื้องหลังอยู่แล้ว โดยไม่ต้องใช้เงินสด

ที่ผมกล่าวในด้านบน อาจจะละเลยหลาย ๆ เรื่องไป เช่น Basel III Accord [https://en.wikipedia.org/wiki/Basel_III] ที่กำหนดว่า ธนาคารจะต้องรักษา capital ไว้ระดับกี่ % ของเงินปล่อยกู้ทั้งหมด เพื่อให้ธนาคารปลอดภัยจากหนี้สูญ (default loan) - แต่ในโลกความเป็นจริงแล้ว ตอนธนาคารจะตัดสินใจปล่อยกู้ ธนาคารไม่ได้มานั่งดูหรอกครับ ว่าตัวเองมี asset ในมือเท่าไหร่ พอให้ปล่อยกู้หรือไม่ ธนาคารมักจะปล่อยกู้ (extend credit) ไปก่อน แล้วค่อยมาหา capital reserve ทีหลัง ด้วยพฤติกรรมแบบนี้นี่เองที่ทำให้ นโยบาย (policy) ที่เราเชื่อกันว่าธนาคารแห่งชาติ (central bank) สามารถควบคุมธนาคารพาณิชย์ได้นั้น จริง ๆ แล้วไม่สามารถควบคุมได้เลยครับ

ผลกระทบ

1) เพิ่มความเหลื่อมล้ำ - คิดดูง่าย ๆ ว่า ถ้าเงินที่เราใช้ ๆ กันอยู่เป็นเงินที่เกิดจากหนี้กว่า 90% [US & UK] [https://en.wikipedia.org/wiki/Money_supply] แปลว่า ถ้ามีใครสักคนจะมีเงินมากขึ้น (ทำธุรกิจแล้วได้กำไร) ก็ต้องเกิดจาก มีใครสักคนเป็นหนี้ ใช่หรือไม่?

2) เงินเฟ้อ - ข้อนี้เป็นจุดที่ทำให้ผมสนใจมาศึกษาเรื่องนี้ครับ ผมสงสัยมาตลอดว่า ทำไมเศรษฐกิจดีเงินต้องเฟ้อนิด ๆ ? ทำไมเศรษฐกิจดีแล้วเงิน 1 บาทของเรากลับซื้อของได้น้อยลง แทนที่จะซื้อได้มากขึ้นนะ? เรานิยามคำว่าเศรษฐกิจดีคือมีการนำทรัพยากรมาใช้มากขึ้น (มูลค่าทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ขยายตัว) แปลว่า เราจำเป็นต้องมีเงินมากขึ้นมาใช้ในการหมุนเวียนในเศรษฐกิจ การมีเงิน [ส่วนเกิน] ที่ถูกสร้างขึ้น [มากเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริงทางเศรษฐกิจ] นั่นแหล่ะครับ ที่เป็นต้นตอของเงินเฟ้อ

ผมสมมติง่าย ๆ ถ้าระบบเศรษฐกิจนี้มีสินค้า (หรือทรัพยากร) ที่หมุนเวียนอยู่เท่าเดิม (เศรษฐกิจไม่ได้ขยายตัว) แต่เรามีเงินแค่ 100 บาทในระบบ ราคาสินค้าสูงสุดในระบบนี้ที่จะขายได้คือเท่าไหร่คับ? ไม่มีทางเกิน 100 บาทแน่นอน แต่ถ้าอยู่ดี ๆ มีพระเจ้าเสกเงินเข้ามาให้ใครสักคนนึง 500 บาท (เปรียบเสมือนธนาคารที่สร้างเงินได้เองจากในอากาศ แล้วปล่อยกู้ให้กับคนบางกลุ่มในระบบเศรษฐกิจ) มูลค่าสินค้าจะสูงขึ้นไหมครับ? ตามหลัก demand-supply สินค้ามีเท่าเดิม แต่มีเงินมาแลกได้มากขึ้น จะเกิดอะไรขึ้น? คนก็พร้อมจะใช้เงินมากขึ้นในการแลกสินค้าเท่าเดิม (หรือเกิดเงินเฟ้อ) นั่นเอง และราคาสินค้าสูงสุดที่สามารถมีได้ในระบบนี้จะกลายเป็น 600 บาททันที

3) เงิน (สิ่งที่ทุกคนในสังคมยอมรับว่าเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน) ซึ่งเป็นของที่ถูกใช้โดย สาธารณะ (public) กลับถูกจัดการได้โดย กลุ่มคนที่จำกัด (ธนาคารพาณิชย์) ซึ่งมุ่งหวังแต่กำไรสุทธิ (เพราะเป็นบริษัทฯ [(มหาชน)] จำกัด) ทำให้มันไม่ได้ถูกจัดการด้วยประโยชน์ของภาพรวม (public interests) แต่หากถูกจัดการด้วยประโยชน์ของธนาคารพาณิชย์ - จริง ๆ คุณสมบัติของเงินที่ดีคือไว้ใช้เป็นแหล่งสะสมมูลค่า [store of value] จึงเป็นสาเหตุที่เรามีธนาคารกลางมาเพื่อ maintain เสถียรภาพของเงินและระบบเศรษฐกิจมาตั้งแต่ต้น - แต่แหล่งสะสมมูลค่าของเราเหือดหายลงไปทุกปี ๆ (จากภาวะเงินเฟ้อ) เพราะมีเงินที่ถูกแอบเพิ่มเงินเข้าไปในระบบโดยที่เราไม่รู้ตัวนั่นเอง

วิธีการแก้ไข และแหล่งความรู้เพิ่มเติม ต่อไว้ใน comment ครับ ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่