ถามเรื่อง แฟน ต่างชาติ

รบกวนค่ะ ก่อนอื่น ทราบว่า มันเป็นเรื่องที่แล้วแต่เราจะตัดสินใจ
แต่จะขอความเห็นเพื่อนๆ ที่เคยแต่งงานกับต่างชาติ
เรื่องคือ เรากับ แฟนรู้จักกันผ่านเว็บเดทติ้ง  และ คอนเฟอเร้น เห็นหน้ากัน ตลอด คุยไปเรื่อย ๆ เขาอัธยาสัยดี แต่  แต่  แต่
เขาเป็นเก้าท์
เขา 51 ปีแล้ว  อีก 4 ปี เกษียณ
มีลูก สอง คน อยู่มหาลัยทั้งคู่
เขาเป็นช่างไฟฟ้า
เขาไม่ยอมมาอยู่ไทย และเราจะต้องไปอยู่ ที่ เมกา เท่านั้น
ถ้ามีลูก ลูกก็ต้องอยู่กับเขาเท่านั้น สรุปทั้งแม่ทั้งลูก
เขาไม่ได้รวย ฐานะ ธรรมดา

ส่วน เรา   อยู่ไทย มีหน้าที่การงานมั่นคง มีพ่อแม่ ทำธุรกิจเล็กๆอยู่ไทย และหวงลูกมาก ไม่เดือดร้อนเงินทอง  
เราอยากมีลูก แต่ไม่อยากทิ้งเมืองไทยไป เพราะ เราไม่อยากไปเริ่มหางานทำใหม่ที่นั่น ที่ไม่รู้จะรอดหรือเปล่า (ถึงแม้เขาจะคอนเฟิร์มให้ก็ตาม)
ที่สำคัญ เรา เกรงว่า ไอ้ โรคของเขามันจะเป็นภาระในอนาคตเปล่า
เรา เอง ค่อยข้างเสรี  โสด ไม่เคยแต่งงาน  36 ปี   หวั่นว่า จะอยู่กันไปไม่รอด

อยาก ขอแนวทางแต่ละท่านที่เคยมีประสบการณ์ค่ะ ว่า จะเลือกทางไหน
ปล่อย เขาไป หรือ เดินหน้าต่อไป ดี คะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 15
อยากจะแนะนำเจ้าของกระทู้นะครับ

รบกวนค่ะ ก่อนอื่น ทราบว่า มันเป็นเรื่องที่แล้วแต่เราจะตัดสินใจ แต่จะขอความเห็นเพื่อนๆ ที่เคยแต่งงานกับต่างชาติ

ถูกต้องครับ แต่ก่อนตัดสินใจต้องคิดให้รอบคอบนะครับ การแต่งงานกับคนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรมและความ
เป็นอยู่ เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร ลองคิดง่ายๆ แบบเบสิคๆนะครับ คนชาติเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน วํฒนธรรมเดียวกัน
ยังพูดกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลยครับ ขนาดที่ว่าใช้พื้นฐานของความรัก แต่ต้องใช้ความอดทนด้วย ความแน่วแน่ของใจเราด้วย
หลายอย่างครับ



เรื่องคือ เรากับ แฟนรู้จักกันผ่านเว็บเดทติ้งและคอนเฟอเร้น เห็นหน้ากัน ตลอด คุยไปเรื่อย ๆ เขาอัธยาสัยดี แต่  แต่  แต่ เขาเป็นเก้าท์

อันนี้ยิ่งไม่แนะนำเลยครับ เพราะมีความเสี่ยงมาก ทุกอย่างถูกสร้างผ่านจอมอนิเตอร์ได้หมด ถ้าไม่เจอกันแบบตัวตนที่แท้จริง
คนอเมริกัน ดราม่าเก่งนะครับ ไม่สงสัยเหรอครับว่าทำไมสหรัฐอเมริกาถึงมีอุตสาหกรรมภาพยนต์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เราว่าข้อนี้
ถ้าเจ้าของกระทู้ทำงานที่ต้องพบปะผู้คนมากๆตลอดโดยเฉพาะชาวต่างชาติ จะดูออกครับ

ฝากบอกเขาด้วยนะครับว่า โรคเก๊าต์สามารถรักษาได้นะครับ ถึงแม้ว่าจะไม่หายขาด แต่ก็ทำให้ไม่มีอาการได้ ยิ่งอยู่สหรัฐอเมริกาด้วยแล้ว
ให้เขารับทานเชอรี่สดนะครับ ทานเยอะๆยิ่งดี ถ้าในฤดูที่ไม่มีเชอรี่สด ให้ซื้อน้ำเชอรี่ยี่ห้อ R.W Knudsen Just Black Cherry ซึ่งเป็นน้ำ
เชอรี่ 100% มาดื่มทุกวัน ตอนอาหารเช้า และก่อนนอน วันละหนึ่งแก้ว( 8 ออนซ์ ) จะทำให้ไม่มีอาการของเก๊าต์ให้เจ็บปวดครับ และใน
เวลาอาหารกลางวัน ให้ดื่มน้ำ Celery คั้นแบบแยกกากนะครับ หนึ่งแก้ว และงดอาหารที่เป็นไก่ทุกชนิด หรืออาจจะรับทานได้ เดือนละ
หนึ่งหรือสองครั้ง แต่ควรงดในฤดูหนาว อาการของเก๊าต์จะหายไปครับ


เขา 51 ปีแล้ว  อีก 4 ปี เกษียณ

เกษียณอายุยังน้อยมากนะครับ เพราะคนอเมริกันจะเกษียณเมื่ออายุ 65 ปี ถึงจะได้เงินชดเชยจาก Social Security เต็มจำนวนครับ
และถึงแม้จะเกษียณเมื่ออายุ 65 ปีได้เงินขดเชยเต็มแล้ว ก็ยังสามารถทำงานได้ต่อนะครับ แต่ถ้าเขาจะเกษียณเมื่ออายุ 55 ปี เขาก็จะ
ได้รับเงินชดเชยบางส่วนเท่านั้นครับ แต่ในกรณีที่เป็นเก๊าต์แล้วเดินไม่ได้เสมือนคนปกติ เขาก็อาจจะเคลม Disability ได้ครับ ซึ่งขึ้นอยู่
หลายๆอย่างมาประกอบกันครับถึงจะเคลมได้

ถ้าหากมีแค่เงินชดเชยจาก Social Security เท่านั้น หลังจากเกษียณแล้ว ก็คงจะลำบากหน่อยครับ อย่างที่บอกไว้ข้างบนว่าเขาจะเกษียณ
ก่อนเวลาที่ควรจะเป็น แต่ถ้ามีเงินบำนาญหรือ pension จากที่ทำงานด้วยก็จะดีมากครับ ไม่ทราบเขามีหรือปล่าวครับ หรือถ้ามีแต่เกษียณ
ก่อนอายุงานก็จะได้ไม่เต็ม ลดหย่อนลงไปตามอายุงานครับ

อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ต้องเป็นห่วงคือ เรื่องที่เขาจะหาคนมาดูแลพยาบาล ยามเขาอายุมากขึ้นหรือเจ็บป่วย ในเรื่องนี้นั้น เขาสามารถเคลม
ได้จากรัฐครับ ทั้งพยาบาลที่มาดูแลยามที่เขาอายุมากขึ้น หรือถ้าแม้กระทั่ง ถ้าเขาไม่มีบ้านอยู่แล้วคุณสมบัติเขาเพียงพอที่จะเคลม
Title 8 ให้รัฐจ่ายค่าเช่าบ้านให้ได้จนกระทั่งเสียชีวิตครับ


มีลูก สอง คน อยู่มหาลัยทั้งคู่

เรื่องนี้อาจจะเป็นปัญหาน้อยที่สุด เพราะเด็กอเมริกัน พออายุ 18 ปี พ่อแม่ก็จะปล่อยให้รับผิดชอบตัวเองแล้วครับ แต่อาจจะมีเรื่อง
เงินทองเข้ามากวนใจบ้างเป็นครั้งคราว อยู่ที่ว่าเขาเลี้ยงดูให้ลูกรับผิดชอบแค่ไหนครับ


เขาเป็นช่างไฟฟ้า

เขาทำงานของรัฐหรือเอกชนครับ ถ้าของรัฐก็จะดีมากเพราะจะเสถียรกว่า เอกชนไม่แน่ไม่นอนครับ ไม่ทราบว่าอยู่ที่มลรัฐ
ไหนของสหรัฐครับ เพราะในบางมลรัฐของสหรัฐอเมริกา ไม่ต้องยื่นเสียภาษีรายได้ให้รัฐเช่น มลรัฐฟลอริด้า มลรัฐนิวแฮมเชอร์
เป็นต้น แต่ต้องยื่นเสียภาษีรายได้ให้รัฐบาลกลางครับ


เขาไม่ยอมมาอยู่ไทย และเราจะต้องไปอยู่ ที่ เมกา เท่านั้น

อันนี้มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เขาต้องคิดแบบนั้นครับ เช่น เขาอาจจะกลัวว่าสวัสดิการต่างๆที่เขาจะได้รับจะถูกตัดออกไป
ซึ่งจริงๆแล้วไม่เลยครับ พลเมืองของสหรัฐอเมริกาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก หลังเกษียณแล้วจะได้รับเงินชดเชยเลี้ยงดูเฉกเช่น
พำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกาครับ เงินรายได้ทุกอย่างจะถูกจ่ายตรงเข้าธนาคาร สามารถเบิกถอนได้ทุกที่ เขาอาจจะไม่ได้ทำการบ้าน
ในข้อนี้และอีกหลายๆข้อเกี่ยวกับสวัสดิการของคนอเมริกันที่ต้องไปพำนักถาวรในต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงค่าทำศพด้วยครับคือ หาก
เสียชีวิตในต่างประเทศ ภรรยา หรือลูก สามารถไปรับค่าทำศพจากสถานฑูตสหรัฐประจำประเทศนั้นๆได้ครับ คนละ 10,000 หรือ
15,000 บาท (เราจำจำนวนไม่ได้แน่นอน)

อีกอย่างหนึ่งที่เขาเป็นห่วงน่าจะเป็นเรื่องการรักษาพยาบาล เรื่องความใกล้ชิดกับครอบครัว โดยเฉพาะลูกของเขา หรือแม้กระทั่ง
อาหารการกิน คนอเมริกันในวัยนี้แล้ว จะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง อะไรที่เคยทำ อะไรที่เคยอยู่ อะไรที่เคยกิน จะเปลี่ยนแปลงยาก
มากครับ แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้แต่ไม่ทั้งหมด และต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งพอสมควรครับ

ในข้อนี้อยากจะให้ความเห็นว่า หากเจ้าของกระทู้มีฐานะการที่มั่นคง มีพ่อมีแม่ที่ยังมีชีวิตที่มีความสุข มีชีวิตที่มีความสุขและราบรื่น
ในแบบของตนเองที่เมืองไทย ขอแนะนำว่า อย่าเลยครับ อยู่อย่างนี้ดีแล้ว การเกาหัวเป็นอะไรที่เสียบุคลิกอย่างหนึ่ง ดังนั้นอย่าหา
เหามาใส่หัวเลยครับ


ถ้ามีลูก ลูกก็ต้องอยู่กับเขาเท่านั้น สรุปทั้งแม่ทั้งลูก

ข้อนี้เป็นความคิดส่วนตัวของเขาครับ คนอเมริกันเป็นอะไรที่เซนซิทีฟกับครอบครัวมากครับ คนในครอบครัวจะสำคัญ
กว่าคนนอกเสมอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานและที่มาที่ไปของครอบครัวนั้นๆด้วยนะครับ


เขาไม่ได้รวย ฐานะ ธรรมดา

อย่างกล่าวไปแล้วข้างต้นว่า หากเจ้าของกระทู้มีฐานะการที่มั่นคง มีพ่อมีแม่ที่ยังมีชีวิตที่มีความสุข มีชีวิตที่มีความสุขและราบรื่น
ในแบบของตนเองที่เมืองไทย ขอแนะนำว่า อย่าเลยครับ อยู่อย่างนี้ดีแล้ว การเกาหัวเป็นอะไรที่เสียบุคลิกอย่างหนึ่ง ดังนั้นอย่าหา
เหามาใส่หัวเลยครับ

อยากให้เจ้าของกระทู้คิดสักนิดว่า การแต่งงานหรือการใช้ชีวิตกับใครสักคน หรือการที่เรารู้จักกับใครสักคน ชีวิตเราต้องเปลี่ยนนะครับ
แต่ต้องเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เจริญขึ้น สบายขึ้น มีความสุขมากขึ้น ถึงแม้จะไม่มีความสุขมากมายแต่ก็ขอให้มีทุกข์น้อยลงครับ ถ้าไม่
เป็นไปในทางที่ดีขึ้น อยู่เฉยๆดีกว่าครับ ความรักในทุกวันนี้มีช่วงโปรโมชั่น 3 เดือน 6 เดือนครับ ที่เหลือคือความอดทนครับ ใครที่มีพื้น
ฐานความรักแน่นหน่อย เริ่มต้นดีในช่วงโปรโมชั่นหน่อย ก็อดทนได้นานครับ


ส่วน เราอยู่ไทย มีหน้าที่การงานมั่นคง มีพ่อแม่ ทำธุรกิจเล็กๆอยู่ไทย และหวงลูกมาก ไม่เดือดร้อนเงินทอง

ดีแล้วครับ อย่างที่กล่าวข้างต้น เจ้าของกระทู้อยู่ในที่ของคุณดีที่สุดแล้วครับ
  
เราอยากมีลูก แต่ไม่อยากทิ้งเมืองไทยไป เพราะเราไม่อยากไปเริ่มหางานทำใหม่ที่นั่น ที่ไม่รู้จะรอดหรือเปล่า(ถึงแม้เขาจะคอนเฟิร์มให้ก็ตาม)


ข้อนี้เราขอไม่สนับสนุนนะครับ จากประสบการณ์ที่ได้เจอมาในหลายๆเคส ถ้ามาที่สหรัฐอเมริกาต้องเริ่มจากศูนย์ใหม่หมด
ลองคิดง่ายๆนะครับ จากทาร์ซานเจ้าป่า มาเป็นไอ้บ้าในกรุงโรม นะครับ จากหน้ามือเป็นหลังเท้า ในกรณีเช่นนี้เราไม่แนะนำ
ครับ คนเราเวลาที่อยากได้อะไรก็จะสัญญายืนยันร้อยแปด แต่นั่นไม่ได้หมายความอย่างที่เป็น อาจจะเป็นแค่การขอไปทีนะครับ

เรื่องคอนเฟิร์มหรือไม่คอนเฟิร์มไม่มีผลครับ การคอนเฟิร์มจริงๆต้องเป็นลายลักษณ์อักษรครับ ถึงแน่นอนและชัดเจนครับ อะไร
ก็ตามที่เป็นแค่คำพูด จะไม่ถือว่าเป็นคอนเฟิร์มในทางนิตินัยครับ เจ้าของกระทู้เชื่อไหมครับ เวลาที่เราโทรไปหาหน่วยงานใดหรือ
ธนาคารใดในสหรัฐอเมริกา ต่างคน ต่างวาระ ต่างข้อมูลครับ ถึงแม้ว่าจะมีการอัดเทปการสนทนาไว้ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรครับ ในบาง
หน่วยงานจึงต้องมีการ chat online ผ่านหน้าเวปของตัวเอง และลูกค้าสามารถก๊อปปี้ chat online นั้นมาเป็นหลักฐานอ้างอิงได้
หากมีข้อมูลอะไรผิดพลาดก้อ้างได้ว่า เจ้าหน้าที่คนนั้น คนนี้บอกว่าอย่างนี้ โดยมีหลักฐานอ้างอิง


ที่สำคัญ เรา เกรงว่า ไอ้ โรคของเขามันจะเป็นภาระในอนาคตเปล่า

จากประสบการณ์ของเราแล้ว น่าจะมีครับ เพราะคนอเมริกันไม่ค่อยระวังเรื่องการกินอาหารครับ จะตามใจตัวเองทุกอย่าง
และค่อนข้างดื้อ คนในครอบครับเตือนอะไรบอกอะไรไม่ค่อยเชื่อฟัง และจะแสดงความรำคาญออกมาให้เห็น เพราะคนใน
ครอบครัวไม่ใช่แพทย์ เขาจะเชื่อแพทย์เพราะเขาจ่ายเงินแพทย์ และเชื่อมั่นว่ายาจะช่วยเขาได้ ดังนั้นคนอเมริกันจะชอบ
กินยามาก เป็นอะไรนิดหน่อยก็กินยา คนอเมริกันทุกคนต้องมียาประจำตัวทุกคนครับ มากสุดอาจจะเป็นสิบ น้อยสุดอาจจะ
สอง


เราเองค่อยข้างเสรี  โสด ไม่เคยแต่งงาน  36 ปี   หวั่นว่าจะอยู่กันไปไม่รอด

ดูแล้ว เจ้าของกระทู้จะมีความสุขดีนะครับ อย่าดิ้นรนเลยครับ ผู้ชายอเมริกันบางคนจะได้ยินได้ฟังเพื่อน คนรู้จักมาว่า
ผู้หญิงเอเซีย โดยเฉพาะคนไทย คนจีน จะดูแลสามีดี ทำงานบ้านดี ไม่มีปากเสียง ไม่มีสังคม ก็เลยจะคิดที่จะหามาเป็น
ภรรยา และอีกหลายๆเรื่อง และในบางเรื่องก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ในที่สาธารณะเช่นเรื่องเพศ

ดังนั้น ตามที่เจ้าของกระทู้ถามและตามที่ประสบการณ์ที่เจอมา เราไม่แนะนำให้เจ้าของกระทู้เดินหน้าต่อไปครับ
ปล่อยเขาไปจะดีกว่านะครับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราอยากจะบอกเจ้าของกระทู้ว่า อะไรที่มันจะเป็นของเรา มันก็จะเป็นของเราครับ วันหนึ่งใครคนนั้นที่ว่า
ใช่และเป็นของเราจริงๆ จะมาล้มกองตรงหน้าแทบเท้าเจ้าของกระทู้เองครับ ให้เจ้าของกระทู้ก้มไปเก็บขึ้นมาครอบครอง
อะไรที่ไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ใช่ครับ วิ่งตามให้เหนื่อยเปล่า หรือถึงจะได้มา วันหนึ่งก็ต้องเสียไปครับ ไม่คงทนถาวรจีรัง
ยั่งยืนครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่