หลังจากที่คอหนังฮีโร่หลายคนต่างก็ผิดหวังกับ Batman vs Superman : Dawn of Justice (ซึ่งอาจจะต่างจากจขกท.พอสมควร) ความกดดันทั้งหมดทั้งปวงจากทุกสายตา ก็หันมาจับจ้องกัปตันอเมริกาในภาคที่ 3 และเป็นภาคที่ 2 ของพี่น้อง โจ รุสโซ และ แอนโทนี รุสโซ ว่าจะสามารถลบความผิดหวังจากฮีโร่ต่างค่ายได้หรือไม่? เมื่อทั้งสองค่ายต่างก็ชูคอนเซ็ปของหนังรวมซูเปอร์ฮีโร่ในปีนี้ในธีม "ฮีโร่ตีกันเอง" ทั้งคู่ จึงเป็นเรื่องที่หนังทั้งสองเรื่องจะต้องถูกนำมาเปรียบเทียบกันหมัดต่อหมัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันแฟนๆของ Marvel Cinematic Universe (MCU) เอง ต่างก็เฝ้ารอดูว่า เรื่องราวของเหล่าฮีโร่หลังจากเหตุการณ์ใน Avengers : Age of Ultron จะเป็นอย่างไร? และต่อจากนี้เหล่าฮีโร่ของมาร์เวลจะเดินไปในทิศทางไหน?
Captain America : Civil War ได้ให้คำตอบทั้งหมดแก่เราแล้ว
ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง 27 นาที หนังพาเราผ่านคำถามมากมายที่สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของการมีฮีโร่เดินดินอยู่ในสังคมของเรา ว่าพวกเขาควรจะ “รับผิดชอบ” ผลที่ตามมา ของการกู้โลกกันยังไง? หากเราพบว่า สันติภาพหรือความสงบที่ได้กลับคืนมา ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียของคนอีกส่วนหนึ่ง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อฝ่ายที่สูญเสีย “กล่าวโทษ” ว่ามันคือความผิดส่วนหนึ่งที่ฮีโร่ควรจะต้องรับผิดชอบมากกว่านี้
ผลที่ตามมาก็คือคำถามที่ว่า ฮีโร่ควรจะมีการถูกกำกับดูแลจากรัฐหรือองค์กรระหว่างประเทศหรือไม่? เพื่อไม่ให้ใช้พลังอำนาจที่เหนือกว่าคนทั่วไปในการตั้งตนเป็นศาลเตี้ย ทำอะไรตามอำเภอใจ และสามารถตัดสินว่าอะไรผิดชอบชั่วดีด้วยตนเองโดยไม่ต้องผ่านการคัดกรองใดๆจากใคร แต่ขณะเดียวกันเราจะแน่ใจได้ยังไงว่าการกำกับดูแลนั้นจะถูกต้องยุติธรรมจริง หากอำนาจในการควบคุมอยู่ในมือคนอื่นที่ยากจะไว้ใจได้? อะไรคือความถูกผิด? เรากำลังทำตามเหตุผลที่เราเชื่อว่ามันคือความถูกต้องหรือแท้จริงมันก็แค่การทำตามความรู้สึกตามอำเภอใจกันแน่? ซึ่งถือเป็นประเด็นคำถามที่มีน้ำหนักน่าสนใจ ที่ทำให้การตัดสินใจและการกระทำที่ตามมาของฮีโร่แต่ละคนมีมิติมากกว่าการรวมพลังกันเพื่อปราบปรามเหล่าร้ายทั่วไปอย่างที่ผ่านมา และด้วยความที่เราเข้าใจความเป็นมาของฮีโร่แต่ละตัว จึงทำให้เราเข้าใจว่า แต่ละคนเลือกทำอะไร อยู่ฝ่ายไหนเพราะอะไร จนนำไปสู่ความขัดแย้งและการเผชิญหน้ากันในที่สุด (แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดพีคที่สุดที่ทำให้ตัวเอกของเราตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่จะเป็นเพราะอะไร ก็ต้องไปติดตาม)
นอกจากนั้นในส่วนของตัวละคร พี่น้องรุสโซ่ก็ไม่ลืมที่จะใส่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นปูมความหลังเรื่องครอบครัวของโทนี่, ความเป็นมนุษย์ที่มากขึ้นของวิชั่น หรืออิสรภาพและการควบคุมพลังของแวนด้า เป็นต้น ซึ่งก็ช่วยเพิ่มมิติของตัวละครแต่ละตัวให้มีน้ำหนักมากขึ้น มันจึงเห็นว่า สุดท้ายแล้วฮีโร่ก็ยังมีความเป็นมนุษย์ที่มี รัก โลภ โกรธ หลง มีความเจ็บแค้น มีลำเอียง อคติ และอัตตา ทำอะไรตามอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไปบ้าง ไม่ต่างจากปุถุชนทั่วไปได้เช่นกัน
ในส่วนของบทหนัง พี่น้องรุสโซ่ก็ทำได้ยอดเยี่ยมอีกครั้งกับบทแนว “ลับ ลวง พราง” ที่เคยใช้มาแล้วกับ Captain America : The Winter Soldier ในภาคที่ผ่านมา ภายใต้เงามืดของตัวร้ายที่ชักใยทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง ซึ่งความเฉียบขาดก็คือ ทั้งสองภาคหลังของกัปตันอเมริกานั้น ตัวร้ายที่อยู่เบื้องหลังเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีพลังพิเศษอะไรเลย แต่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า พลังที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ความสามารถที่เหนือมนุษย์ หากแต่เป็นการเห็นช่องโหว่ หรือจุดอ่อนในความคิดจิตใจของฮีโร่ที่พร้อมจะถูกเล่นงานได้ไม่ต่างจากปุถุชนเช่นคนทั่วไปนี่แหละ คือความร้ายกาจที่แท้จริง แต่สิ่งที่แตกต่างจากภาคที่แล้วก็คือ ครั้งนี้พี่น้องรุสโซ่เลือกที่จะใช้บท “หักมุม” ในการเปลี่ยนทิศทางของหนังในช่วงท้ายให้จบลงด้วยความเจ็บปวดอีกต่างหาก ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คนดูมีอารมณ์ “อิน” ร่วมกับความรู้สึกของตัวละคร จนเกิดความรู้สึกเข้าใจและเห็นใจในแต่ละฝ่ายอยู่ลึกๆ
ถึงจุดนี้ผมเข้าใจ และยอมรับขึ้นมาทันทีว่า กลยุทธ์การสร้างหนังในแต่ละ Phase ของมาร์เวลนั้นต้องถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม เพราะระยะเวลา 8 ปี กับทั้ง 2 Phase ที่ผ่านมา มันทำให้เราคุ้นเคย รู้ที่มาที่ไป และเกิดความผูกพันกับตัวละครเหล่านั้นโดยไม่ทันรู้ตัว ทั้งหมดนั้นช่วยให้เราเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของฮีโร่แต่ละคน และไม่มีความตะขิดตะขวงใจใดๆกับการแสดงออก และการตอบโต้ในแต่ละสถานการณ์ของฮีโร่คนนั้นๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่สำคัญ เพราะมันทำให้คนดูรู้สึกอินและเอ็นจอยไปกับหนังได้อย่างหมดใจ (แบบที่ Bat vs Sup ให้กับเราไม่ได้ แม้เราจะคุ้นเคยกับเรื่องราวที่ผ่านมาของบรู๊ซ เวย์น และคลาร์ก เคนท์ มามากแค่ไหนแล้วก็ตาม) แม้จะมีโจทย์เพิ่มเติมในการที่ต้องแนะนำตัวละครใหม่ๆ อย่างแบล็ค แพนเธอร์ และสไปเดอร์แมนพร้อมๆกันในเรื่อง แต่ก็เป็นไปอย่างแนบเนียน และถือเป็นการเปิดตัวที่น่าประทับใจของทั้งคู่ โดยไม่ได้ทำให้การดำเนินเรื่องสะดุดไปแต่อย่างใด
Captain America : The Winter Soldier จึงเป็นคำตอบที่ลงตัวสำหรับหนังฮีโร่เรื่องหนึ่ง ที่มีทั้งความลุ่มลึกในเนื้อหา ปมประเด็นที่ชวนให้เราตั้งคำถามกับตัวเองตามว่า “หากเป็นเรา เราจะเลือกทำยังไง?” ในสถานการณ์ที่มีความถูกผิดพอๆกัน มีความซับซ้อนของบทในระดับที่ไม่ได้เข้าถึงยากแต่ยังเต็มไปด้วยชั้นเชิง ฉากแอ็คชั่นที่เต็มไปด้วยพลังและลูกเล่นที่แพรวพราว รวมถึงอารมณ์ขันที่หยอดถูกจุดจนไม่ทำให้หนังดูหม่นจนเกินไป แม้จะมีจุดที่เล่าเรื่องห้วนไปอยู่บ้าง แต่ก็เข้าใจเหตุผลได้ว่าเพื่อความลื่นไหลของเนื้อเรื่อง ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังฮีโร่ที่ครบรส มีมิติ และช่วยสานต่อความผูกพันที่เรามีกับเหล่าฮีโร่ของมาร์เวล แบบที่เรายังอยากดูต่อไปเรื่อยๆโดยไม่รู้จักเบื่อ
แม้เราอาจจะเจ็บปวดใจอยู่ลึกๆ เมื่อต้องรู้ว่าทีมอเวนเจอร์ส จะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไปก็ตาม...
=========================================================
จุดที่ชอบ
- ประเด็นซูเปอร์ฮีโร่กับการอยู่ในกรอบ
- แนวคิดที่ว่าไม่มีใครทำลายเราได้ เท่ากับการแตกสามัคคีที่ทำให้เราทำลายกันเอง
- ตัวร้ายที่ไม่ต้องมีพลังพิเศษอะไรเลย แต่ก็สามารถสร้างความปั่นป่วนได้อย่างแยบยล และมีเหตุผล
- ฉากแอ็คชั่นที่มีพลัง มีลูกเล่นแพรวพราว ในการโชว์ความสามารถของฮีโร่แต่ละคน
- ไดอาล็อกบทพูดที่มีมิติ มีการเปรียบเปรย ที่ทำให้เราได้คิดตาม และมีอารมณ์ร่วม
- บทที่มีลูกเล่น แต่ไหลลื่น การให้น้ำหนักกับบทบาทของตัวละครแต่ละตัวที่สมดุล
จุดที่ไม่ชอบ
- เบื้อหลังของตัวร้ายที่ยังรู้สึกห้วนไปอยู่บ้าง แม้จะรู้ที่มาที่ไปจากคำพูดของตัวละครอื่นก็ตาม
- บทของสไปเดอร์แมนที่ดูเหมือนถูกบังคับให้ยัดเข้ามามากไปนิด เมื่อเทียบกับแบล็กแพนเธอร์ (เพื่อต่อไปยังหนังเดี่ยวของตัวเอง)
======================================================
คะแนน 9/10
[CR] ++ Review Captain America : Civil War "ไม่มีใครทำร้ายเราได้ เท่ากับเราทำร้ายกันเอง"++ (No Spoil)
Captain America : Civil War ได้ให้คำตอบทั้งหมดแก่เราแล้ว
ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง 27 นาที หนังพาเราผ่านคำถามมากมายที่สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของการมีฮีโร่เดินดินอยู่ในสังคมของเรา ว่าพวกเขาควรจะ “รับผิดชอบ” ผลที่ตามมา ของการกู้โลกกันยังไง? หากเราพบว่า สันติภาพหรือความสงบที่ได้กลับคืนมา ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียของคนอีกส่วนหนึ่ง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อฝ่ายที่สูญเสีย “กล่าวโทษ” ว่ามันคือความผิดส่วนหนึ่งที่ฮีโร่ควรจะต้องรับผิดชอบมากกว่านี้
ผลที่ตามมาก็คือคำถามที่ว่า ฮีโร่ควรจะมีการถูกกำกับดูแลจากรัฐหรือองค์กรระหว่างประเทศหรือไม่? เพื่อไม่ให้ใช้พลังอำนาจที่เหนือกว่าคนทั่วไปในการตั้งตนเป็นศาลเตี้ย ทำอะไรตามอำเภอใจ และสามารถตัดสินว่าอะไรผิดชอบชั่วดีด้วยตนเองโดยไม่ต้องผ่านการคัดกรองใดๆจากใคร แต่ขณะเดียวกันเราจะแน่ใจได้ยังไงว่าการกำกับดูแลนั้นจะถูกต้องยุติธรรมจริง หากอำนาจในการควบคุมอยู่ในมือคนอื่นที่ยากจะไว้ใจได้? อะไรคือความถูกผิด? เรากำลังทำตามเหตุผลที่เราเชื่อว่ามันคือความถูกต้องหรือแท้จริงมันก็แค่การทำตามความรู้สึกตามอำเภอใจกันแน่? ซึ่งถือเป็นประเด็นคำถามที่มีน้ำหนักน่าสนใจ ที่ทำให้การตัดสินใจและการกระทำที่ตามมาของฮีโร่แต่ละคนมีมิติมากกว่าการรวมพลังกันเพื่อปราบปรามเหล่าร้ายทั่วไปอย่างที่ผ่านมา และด้วยความที่เราเข้าใจความเป็นมาของฮีโร่แต่ละตัว จึงทำให้เราเข้าใจว่า แต่ละคนเลือกทำอะไร อยู่ฝ่ายไหนเพราะอะไร จนนำไปสู่ความขัดแย้งและการเผชิญหน้ากันในที่สุด (แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดพีคที่สุดที่ทำให้ตัวเอกของเราตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่จะเป็นเพราะอะไร ก็ต้องไปติดตาม)
นอกจากนั้นในส่วนของตัวละคร พี่น้องรุสโซ่ก็ไม่ลืมที่จะใส่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นปูมความหลังเรื่องครอบครัวของโทนี่, ความเป็นมนุษย์ที่มากขึ้นของวิชั่น หรืออิสรภาพและการควบคุมพลังของแวนด้า เป็นต้น ซึ่งก็ช่วยเพิ่มมิติของตัวละครแต่ละตัวให้มีน้ำหนักมากขึ้น มันจึงเห็นว่า สุดท้ายแล้วฮีโร่ก็ยังมีความเป็นมนุษย์ที่มี รัก โลภ โกรธ หลง มีความเจ็บแค้น มีลำเอียง อคติ และอัตตา ทำอะไรตามอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไปบ้าง ไม่ต่างจากปุถุชนทั่วไปได้เช่นกัน
ในส่วนของบทหนัง พี่น้องรุสโซ่ก็ทำได้ยอดเยี่ยมอีกครั้งกับบทแนว “ลับ ลวง พราง” ที่เคยใช้มาแล้วกับ Captain America : The Winter Soldier ในภาคที่ผ่านมา ภายใต้เงามืดของตัวร้ายที่ชักใยทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง ซึ่งความเฉียบขาดก็คือ ทั้งสองภาคหลังของกัปตันอเมริกานั้น ตัวร้ายที่อยู่เบื้องหลังเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีพลังพิเศษอะไรเลย แต่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า พลังที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ความสามารถที่เหนือมนุษย์ หากแต่เป็นการเห็นช่องโหว่ หรือจุดอ่อนในความคิดจิตใจของฮีโร่ที่พร้อมจะถูกเล่นงานได้ไม่ต่างจากปุถุชนเช่นคนทั่วไปนี่แหละ คือความร้ายกาจที่แท้จริง แต่สิ่งที่แตกต่างจากภาคที่แล้วก็คือ ครั้งนี้พี่น้องรุสโซ่เลือกที่จะใช้บท “หักมุม” ในการเปลี่ยนทิศทางของหนังในช่วงท้ายให้จบลงด้วยความเจ็บปวดอีกต่างหาก ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คนดูมีอารมณ์ “อิน” ร่วมกับความรู้สึกของตัวละคร จนเกิดความรู้สึกเข้าใจและเห็นใจในแต่ละฝ่ายอยู่ลึกๆ
ถึงจุดนี้ผมเข้าใจ และยอมรับขึ้นมาทันทีว่า กลยุทธ์การสร้างหนังในแต่ละ Phase ของมาร์เวลนั้นต้องถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม เพราะระยะเวลา 8 ปี กับทั้ง 2 Phase ที่ผ่านมา มันทำให้เราคุ้นเคย รู้ที่มาที่ไป และเกิดความผูกพันกับตัวละครเหล่านั้นโดยไม่ทันรู้ตัว ทั้งหมดนั้นช่วยให้เราเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของฮีโร่แต่ละคน และไม่มีความตะขิดตะขวงใจใดๆกับการแสดงออก และการตอบโต้ในแต่ละสถานการณ์ของฮีโร่คนนั้นๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่สำคัญ เพราะมันทำให้คนดูรู้สึกอินและเอ็นจอยไปกับหนังได้อย่างหมดใจ (แบบที่ Bat vs Sup ให้กับเราไม่ได้ แม้เราจะคุ้นเคยกับเรื่องราวที่ผ่านมาของบรู๊ซ เวย์น และคลาร์ก เคนท์ มามากแค่ไหนแล้วก็ตาม) แม้จะมีโจทย์เพิ่มเติมในการที่ต้องแนะนำตัวละครใหม่ๆ อย่างแบล็ค แพนเธอร์ และสไปเดอร์แมนพร้อมๆกันในเรื่อง แต่ก็เป็นไปอย่างแนบเนียน และถือเป็นการเปิดตัวที่น่าประทับใจของทั้งคู่ โดยไม่ได้ทำให้การดำเนินเรื่องสะดุดไปแต่อย่างใด
Captain America : The Winter Soldier จึงเป็นคำตอบที่ลงตัวสำหรับหนังฮีโร่เรื่องหนึ่ง ที่มีทั้งความลุ่มลึกในเนื้อหา ปมประเด็นที่ชวนให้เราตั้งคำถามกับตัวเองตามว่า “หากเป็นเรา เราจะเลือกทำยังไง?” ในสถานการณ์ที่มีความถูกผิดพอๆกัน มีความซับซ้อนของบทในระดับที่ไม่ได้เข้าถึงยากแต่ยังเต็มไปด้วยชั้นเชิง ฉากแอ็คชั่นที่เต็มไปด้วยพลังและลูกเล่นที่แพรวพราว รวมถึงอารมณ์ขันที่หยอดถูกจุดจนไม่ทำให้หนังดูหม่นจนเกินไป แม้จะมีจุดที่เล่าเรื่องห้วนไปอยู่บ้าง แต่ก็เข้าใจเหตุผลได้ว่าเพื่อความลื่นไหลของเนื้อเรื่อง ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังฮีโร่ที่ครบรส มีมิติ และช่วยสานต่อความผูกพันที่เรามีกับเหล่าฮีโร่ของมาร์เวล แบบที่เรายังอยากดูต่อไปเรื่อยๆโดยไม่รู้จักเบื่อ
แม้เราอาจจะเจ็บปวดใจอยู่ลึกๆ เมื่อต้องรู้ว่าทีมอเวนเจอร์ส จะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไปก็ตาม...
=========================================================
จุดที่ชอบ
- ประเด็นซูเปอร์ฮีโร่กับการอยู่ในกรอบ
- แนวคิดที่ว่าไม่มีใครทำลายเราได้ เท่ากับการแตกสามัคคีที่ทำให้เราทำลายกันเอง
- ตัวร้ายที่ไม่ต้องมีพลังพิเศษอะไรเลย แต่ก็สามารถสร้างความปั่นป่วนได้อย่างแยบยล และมีเหตุผล
- ฉากแอ็คชั่นที่มีพลัง มีลูกเล่นแพรวพราว ในการโชว์ความสามารถของฮีโร่แต่ละคน
- ไดอาล็อกบทพูดที่มีมิติ มีการเปรียบเปรย ที่ทำให้เราได้คิดตาม และมีอารมณ์ร่วม
- บทที่มีลูกเล่น แต่ไหลลื่น การให้น้ำหนักกับบทบาทของตัวละครแต่ละตัวที่สมดุล
จุดที่ไม่ชอบ
- เบื้อหลังของตัวร้ายที่ยังรู้สึกห้วนไปอยู่บ้าง แม้จะรู้ที่มาที่ไปจากคำพูดของตัวละครอื่นก็ตาม
- บทของสไปเดอร์แมนที่ดูเหมือนถูกบังคับให้ยัดเข้ามามากไปนิด เมื่อเทียบกับแบล็กแพนเธอร์ (เพื่อต่อไปยังหนังเดี่ยวของตัวเอง)
======================================================
คะแนน 9/10