เมื่อหลายปีก่อนในหมู่บ้านหนึ่งของจังหวัดทางภาคใต้ มีชายชราคนหนึ่งที่ใคร ๆ เรียกแกว่าลุงสีนวล แกอาศัยอยู่เพียงลำพังในกระท่อมไม้ไผ่หลังเล็ก ๆ ที่ปลายนา หลายคนก็ถามว่าทำไมลุงไม่แต่งงานมีครอบครัวเหมือนคนทั่ว ๆ ไป แกให้เหตุผลว่าอยู่คนเดียวไม่วุ่นวาย สบายใจกว่า ไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตใคร ถึงแม้อายุลุงสีนวลจะปาเข้าไปแปดสิบปีกว่าแล้ว แต่สุขภาพแกยังดูแข็งแรง สายตายังไม่ฝ้าฟางยังอ่านได้หนังสือโดยไม่ต้องสวมแว่นสายตา หูยังได้ยินเสียงชัดเจนแม้แต่เสียงกระซิบเบา ๆ แค่ผมสีดอกเลาพร้อมหนวดเคราเพียงบาง ๆ ทำให้แกดูเหมือนกับคนวันห้าสิปปีปลาย ๆ สามารถเดินเหินไปไหนได้คล่องแคล่วโดยไม่ต้องพึ่งไม้เท้า
ตอนสมัยหนุ่ม ๆ ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าชายคนนี้ประกอบอาชีพอะไรกันแน่ แต่ที่ผู้เขียนจำความได้เห็นแกเลี้ยงชีพด้วยการจับปลาขายมาค่อนชีวิต แกมีความสามารถพิเศษในการหาปลาทั้งจากในแม่น้ำลำคลอง หนอง บึง รวมไปถึงในนาข้าวที่มีน้ำอีกด้วย ตามธรรมดาการจับปลาในน้ำต้องใช้เครื่องมือหลายชนิด เช่น ทางปักษ์ใต้คนนิยมใช้ เบ็ด แห สุ่ม ยอ ลอบ หรือไม่ก็ไซ แต่สำหรับลุงสีนวลแกใช้แต่มือเปล่าก็จับปลามาขายได้ทุกวัน ซึ่งความสามารถพิเศษอันนี้เป็นที่โจษจันกันทั้งอำเภอ ถึงกับเคยมีคนมาท้าประลองฝีมือแข่งขันหาปลาในคลองกับแกมาแล้ว โดยกำหนดกติกาให้คู่แข่งใช้เครื่องมือหาปลาชนิดใด ๆ ก็ได้ไม่จำกัดจำนวน แต่ลุงสีนวลจะต้องใช้แค่มือเปล่าเพียงสองข้างเท่านั้น เมื่อครบเวลาที่กำหนดแล้วฝ่ายไหนได้ปลามากกว่ากันถือว่าเป็นผู้ชนะ และเท่าที่ทราบยังไม่มีใครสามารถปราบลุงสีนวลได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเคยเล่าให้ฟังว่าลุงสีนวลมีคาถาอาคมเรียกปลาคล้าย ๆ กับพระสังข์ทองในวรรณคดีเลยทีเดียว จะต่างกันตรงที่ว่าพระสังข์ทองใช้คาถาเสกเรียกให้ปลามากองอยู่ตรงหน้า ส่วนลุงสีนวลแกจะต้องลงมือไปจับปลาในน้ำด้วยตัวเอง ถ้าเป็นในลำคลองก็ใช้มือแหย่ไปใต้น้ำตามริมตลิ่งบริเวณที่มีรากไม้หรือโพลงดิน บางครั้งตัวแกก็ดำลงไปใต้น้ำด้วย
นอกเหนือจากความสามารถพิเศษเรื่องการจับปลาดังกล่าวแล้ว ลุงสีนวลยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งคือการตีกลองในวันลากพระ การลากพระหรือลากเรือนับเป็นประเพณีที่สำคัญของชาวพุทธทางภาคใต้ที่จัดขึ้นหลังวันออกพรรษา 1 วัน เรือพระจะไม่มีล้อ สร้างด้วยไม้ซุงขนาดใหญ่ มีการตกแต่งให้สวยงามโดยปราชญ์ชาวบ้านหรือช่างฝีมือดี และเรือจะถูกลากออกจากวัดไปยังอีกสถานที่หนึ่งใกล้ไกลแล้วแต่ทางวัดจะกำหนด อาจมีขบวนกลองยาวน้ำหน้าเรือพระ มีการร้องรำทำเพลง สนุกสนานครื้นเครงคล้าย ๆ ขบวนแห่ขันหมากไปบ้านเจ้าสาว เมื่อเรือผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ ก็เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ทำบุญบริจาคทานทั้งด้วยเงินและแผ่นยางพารา ตอนเย็น ๆ ถึงจะลากกลับวัด แต่บางทีก็จอดค้างคืนไว้ที่วัดอื่นเพื่อรอให้ชาวพุทธได้ทำบุญกันอย่างทั่วถึง
บนเรือพระจะมีพระพุทธรูป ส่วนใหญ่เป็นปางอุ้มบาตร พร้อมกับพระสงฆ์นั่งอยู่ประมาณหนึงถึงสองรูป แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้บนเรือพระคือกลองเพลขนาดกลางหนึ่งคู่ที่มีคนสองคนนั่งตีไปตลอดเส้นทาง ลุงสีนวลแกก็เป็นมือกลองเก่าแก่และเก่งกาจคนหนึ่งที่ทุกคนยอมรับ สามารถพลิกแพลงตีจังหวะต่าง ๆ ได้ท่วงทำนองที่ไพเราะเสนาะหู แม้แกจะทำหน้าที่ตีกลองบนเรือพระแค่ปีละครั้งเท่านั้น แต่ในช่วงเวลาสี่สิบปีทีผ่านมา ก็ยังหาคนอื่นทีดีกว่ามาทำหน้าที่แทนลุงสีนวลคนนี้ไปได้ หลายคนจึงให้ฉายาแกว่า "ลุงนวลกลองวัด" เพื่อแยกให้ชัดเจนกับคนอื่น ๆ ที่มีชื่อซ้ำกันในหมุ่บ้านนั้น
บ่ายวันหนึ่ง ตำนานมือมือจับปลาและมือกลองก็ถูกปิดลง เมื่อระหว่างตีกลองอยู่บนเรือพระ ลุงสีนวลเกิดอาการหอบหายใจขัด ๆ จนต้องช่วยกันหามไปขึ้นรถนำส่งศูนย์อนามัยตำบล ระหว่างที่อยู่บนรถกระบะแกแสดงอาการจะถอดใจอยู่หลายครั้ง พยายามจะพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
ออกจากลำคอ ประโยคสุดท้ายที่ทุกคนได้ยินจากปากแกคือ "ถ้ากูตายต้องเอากลองไปตีหน้าศพด้วย" แล้วแกก็สิ้นลมหายใจอยู่บนรถกระบะนั่นเอง
ศพลุงสีนวลตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ในวัดจนวัดสุดท้าย ในยุคนั้นวัดส่วนใหญ่ยังไม่มีเมรุเผาศพ เมื่อครบกำหนดเผาก็ต้องเอาศพไปป่าช้าอีกที่หนึ่ง การเผาใช้เชิงตะกอนที่สร้างจากท่อนไม้สด ๆ วางซ้อนกัน มีความสูงจากพื้นดินประมาณสองเมตร แล้ววางศพลงบนกองไม้นั้น เว้นช่องว่างตรงกลางสำหรับใส่ไม้ฟื้นเป็นเชื้อเพลิงจากชาวบ้านที่ไปร่วมพิธีทุกคน
ถึงเวลาบ่ายสองหลังจากพระได้สวดมาติกาบังสุกุลตามพิธีกรรมทางศาสนาเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เสียงปืนดังขึ้น 3 นัด เป็นการประกาศให้ทุกคนทราบว่าได้เวลาเผาศพผู้ตาย บรรดาญาติ ๆ และผู้รับผิดชอบตรงเชิงตะกอนก็ใช้น้ำมันก๊าดชุบผ้าที่เตรียมไว้ จุดใส่เข้าไปใต้โลงจนเกิดเป็นเปลวเพลิงขนาดใหญ่ ชาวบ้านก็ตั้งแถวรอบทิศ เอาเศษไม้เล็ก ๆ หรือธูปมาโยนสุมรวมกับกองฟืน เสร็จแล้วบางส่วนก็ทยอยกลับบ้าน คงเหลือแต่ญาติพี่น้องหรือหมอผีที่ยังเฝ้าและพลิกศพจนแน่ใจว่าศพถูกไฟเผาเป็นเถ้าถ่านแล้ว และในวันรุ่งขึ้นญาติพี่น้องก็กลับมาป่าช้าเพื่อเก็บกระดูก นี่คือวิถีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านาน
และแล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น........ เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง แม้กองฟืนขนาดใหญ่ที่จัดวางเป็นเชิงตะกอนจะถูกไฟเผามอดไปพร้อมกับโลงศพจนหมดสิ้นแล้ว แต่ร่างของลุงสีนวลก็ยังนอนอยู่ในสภาพไม่แต่กต่างจากเดิมมากนัก เสื้อผ้าและผ้าขาวห่อหุ้มศพถูกไฟเผาไหม้เป็นจุณ ผิวหนังเพียงถูกไฟไหม้เกรียมดำเพียงเล็กน้อย ทีมสัปเหร่อที่ผ่านการเผาศพมาแล้วอย่างโชกโชนต้องถึงกับเหงื่อตกไปตาม ๆ กัน มีวิธีเดียวคือต้องสุมฟืนกันใหม่อีกรอบและจุดไฟเผาซ้ำเป็นครั้งที่สอง......แต่....ก็ยังไม่ได้ผล ไฟไม่สามารถทำอะไรศพลุงสีนวลได้เลย
หมอผีประจำหมู่บ้านก็ใช้วิชาที่เรียนมาจนหมดไส้หมดพุงถึงกลับส่ายหน้า ... หลายคนที่ตกค้างอยู่ในป่าช้าก็เริ่มกลับไปกระจายข่าวจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั้งหมู่บ้านว่าคงจะเฮี้ยนน่าดู คงเหลือแต่ทีมเผาศพที่ต้องทำงานแข่งกับเวลานั่งวางแผนกันต่อ จนเวลาเกือบ ๆ หกโมงเย็น มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่นึกถึงคำสั่งสุดท้ายก่อนตายของลุงสีนวลกลับเข้ามาที่ป้าช้าอีกครั้ง เขาบอกกับทุกคนว่าก่อนตายลุงสีนวลสั่งให้ตีกลองซึ่งเขาได้ยินชัดเจนกับสองหู แม้ไม่อยากจะเชื่อเรื่องไร้สาระ แต่ในที่สุดหลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วย
ไม่ถึงยี่สิบนาที กลองเพลหนึ่งคู่ถูกนำมาวางตรงข้าง ๆ เชิงตะกอน ตอนนี้กองฟืนพร้อมแล้วสำหรับการเผาในรอบที่สาม ชายวัยกลางคนสองคนลงมือรัวกลองเสียงดังลั่นสนั่นไปกลางหมู่บ้าน ทีมเผาชุดเดิมก็ลงมือราดน้ำมันก๊าดลงบนผ้าจนเปียกชวก จุดไฟโยนเข้าจนกลายเป็นภูเขาเพลิงขนาดย่อมลุกท่วมหัว ความร้อนจากเปลวไฟทำให้ทุกคนถอยร่นออกมายืนดูห่าง ๆ ต่างก็ลุ้นด้วยความระทึกท่ามกลางเสียงกลองที่ดังหนักกว่าเดิมและเปลี่ยนท่วงจังหวะไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่นาน...ทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อภาพที่ปรากฏเบื้องหน้านั้นคือศพลุงสีนวลได้ชูมือทั้งสองขึ้นมาคล้ายกับจะบอกลาทุกคนก่อนที่จะหล่นตุ๊บลงไปตรงช่องว่างระหว่างเชิงตะกอนที่มีถ่านลุกโชนสีแดงด้วยแรงลม และร่างนั้นค่อย ๆ มอดไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้าไปพร้อม ๆ กับเสียงกลองที่เงียบลงก่อนค่ำวันนั้นเอง
จบแล้วครับ
ขอโทษครับ หากแท็กผิดห้อง เพราะผมจัดประเภทไม่ถูกจริง ๆ ว่าควรจะเข้าลักษณะไหน แค่อยากหัดเขียนเรื่องแบบนี้ดูบ้าง และยินดีน้อมรับคำวิจารณ์จากผู้มีประสบการณ์ทุกท่านครับ
ลุงสีนวล - เรื่องสั้น(มาก) จากภาคใต้
เมื่อหลายปีก่อนในหมู่บ้านหนึ่งของจังหวัดทางภาคใต้ มีชายชราคนหนึ่งที่ใคร ๆ เรียกแกว่าลุงสีนวล แกอาศัยอยู่เพียงลำพังในกระท่อมไม้ไผ่หลังเล็ก ๆ ที่ปลายนา หลายคนก็ถามว่าทำไมลุงไม่แต่งงานมีครอบครัวเหมือนคนทั่ว ๆ ไป แกให้เหตุผลว่าอยู่คนเดียวไม่วุ่นวาย สบายใจกว่า ไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตใคร ถึงแม้อายุลุงสีนวลจะปาเข้าไปแปดสิบปีกว่าแล้ว แต่สุขภาพแกยังดูแข็งแรง สายตายังไม่ฝ้าฟางยังอ่านได้หนังสือโดยไม่ต้องสวมแว่นสายตา หูยังได้ยินเสียงชัดเจนแม้แต่เสียงกระซิบเบา ๆ แค่ผมสีดอกเลาพร้อมหนวดเคราเพียงบาง ๆ ทำให้แกดูเหมือนกับคนวันห้าสิปปีปลาย ๆ สามารถเดินเหินไปไหนได้คล่องแคล่วโดยไม่ต้องพึ่งไม้เท้า
ตอนสมัยหนุ่ม ๆ ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าชายคนนี้ประกอบอาชีพอะไรกันแน่ แต่ที่ผู้เขียนจำความได้เห็นแกเลี้ยงชีพด้วยการจับปลาขายมาค่อนชีวิต แกมีความสามารถพิเศษในการหาปลาทั้งจากในแม่น้ำลำคลอง หนอง บึง รวมไปถึงในนาข้าวที่มีน้ำอีกด้วย ตามธรรมดาการจับปลาในน้ำต้องใช้เครื่องมือหลายชนิด เช่น ทางปักษ์ใต้คนนิยมใช้ เบ็ด แห สุ่ม ยอ ลอบ หรือไม่ก็ไซ แต่สำหรับลุงสีนวลแกใช้แต่มือเปล่าก็จับปลามาขายได้ทุกวัน ซึ่งความสามารถพิเศษอันนี้เป็นที่โจษจันกันทั้งอำเภอ ถึงกับเคยมีคนมาท้าประลองฝีมือแข่งขันหาปลาในคลองกับแกมาแล้ว โดยกำหนดกติกาให้คู่แข่งใช้เครื่องมือหาปลาชนิดใด ๆ ก็ได้ไม่จำกัดจำนวน แต่ลุงสีนวลจะต้องใช้แค่มือเปล่าเพียงสองข้างเท่านั้น เมื่อครบเวลาที่กำหนดแล้วฝ่ายไหนได้ปลามากกว่ากันถือว่าเป็นผู้ชนะ และเท่าที่ทราบยังไม่มีใครสามารถปราบลุงสีนวลได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเคยเล่าให้ฟังว่าลุงสีนวลมีคาถาอาคมเรียกปลาคล้าย ๆ กับพระสังข์ทองในวรรณคดีเลยทีเดียว จะต่างกันตรงที่ว่าพระสังข์ทองใช้คาถาเสกเรียกให้ปลามากองอยู่ตรงหน้า ส่วนลุงสีนวลแกจะต้องลงมือไปจับปลาในน้ำด้วยตัวเอง ถ้าเป็นในลำคลองก็ใช้มือแหย่ไปใต้น้ำตามริมตลิ่งบริเวณที่มีรากไม้หรือโพลงดิน บางครั้งตัวแกก็ดำลงไปใต้น้ำด้วย
นอกเหนือจากความสามารถพิเศษเรื่องการจับปลาดังกล่าวแล้ว ลุงสีนวลยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งคือการตีกลองในวันลากพระ การลากพระหรือลากเรือนับเป็นประเพณีที่สำคัญของชาวพุทธทางภาคใต้ที่จัดขึ้นหลังวันออกพรรษา 1 วัน เรือพระจะไม่มีล้อ สร้างด้วยไม้ซุงขนาดใหญ่ มีการตกแต่งให้สวยงามโดยปราชญ์ชาวบ้านหรือช่างฝีมือดี และเรือจะถูกลากออกจากวัดไปยังอีกสถานที่หนึ่งใกล้ไกลแล้วแต่ทางวัดจะกำหนด อาจมีขบวนกลองยาวน้ำหน้าเรือพระ มีการร้องรำทำเพลง สนุกสนานครื้นเครงคล้าย ๆ ขบวนแห่ขันหมากไปบ้านเจ้าสาว เมื่อเรือผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ ก็เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ทำบุญบริจาคทานทั้งด้วยเงินและแผ่นยางพารา ตอนเย็น ๆ ถึงจะลากกลับวัด แต่บางทีก็จอดค้างคืนไว้ที่วัดอื่นเพื่อรอให้ชาวพุทธได้ทำบุญกันอย่างทั่วถึง
บนเรือพระจะมีพระพุทธรูป ส่วนใหญ่เป็นปางอุ้มบาตร พร้อมกับพระสงฆ์นั่งอยู่ประมาณหนึงถึงสองรูป แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้บนเรือพระคือกลองเพลขนาดกลางหนึ่งคู่ที่มีคนสองคนนั่งตีไปตลอดเส้นทาง ลุงสีนวลแกก็เป็นมือกลองเก่าแก่และเก่งกาจคนหนึ่งที่ทุกคนยอมรับ สามารถพลิกแพลงตีจังหวะต่าง ๆ ได้ท่วงทำนองที่ไพเราะเสนาะหู แม้แกจะทำหน้าที่ตีกลองบนเรือพระแค่ปีละครั้งเท่านั้น แต่ในช่วงเวลาสี่สิบปีทีผ่านมา ก็ยังหาคนอื่นทีดีกว่ามาทำหน้าที่แทนลุงสีนวลคนนี้ไปได้ หลายคนจึงให้ฉายาแกว่า "ลุงนวลกลองวัด" เพื่อแยกให้ชัดเจนกับคนอื่น ๆ ที่มีชื่อซ้ำกันในหมุ่บ้านนั้น
บ่ายวันหนึ่ง ตำนานมือมือจับปลาและมือกลองก็ถูกปิดลง เมื่อระหว่างตีกลองอยู่บนเรือพระ ลุงสีนวลเกิดอาการหอบหายใจขัด ๆ จนต้องช่วยกันหามไปขึ้นรถนำส่งศูนย์อนามัยตำบล ระหว่างที่อยู่บนรถกระบะแกแสดงอาการจะถอดใจอยู่หลายครั้ง พยายามจะพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
ออกจากลำคอ ประโยคสุดท้ายที่ทุกคนได้ยินจากปากแกคือ "ถ้ากูตายต้องเอากลองไปตีหน้าศพด้วย" แล้วแกก็สิ้นลมหายใจอยู่บนรถกระบะนั่นเอง
ศพลุงสีนวลตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ในวัดจนวัดสุดท้าย ในยุคนั้นวัดส่วนใหญ่ยังไม่มีเมรุเผาศพ เมื่อครบกำหนดเผาก็ต้องเอาศพไปป่าช้าอีกที่หนึ่ง การเผาใช้เชิงตะกอนที่สร้างจากท่อนไม้สด ๆ วางซ้อนกัน มีความสูงจากพื้นดินประมาณสองเมตร แล้ววางศพลงบนกองไม้นั้น เว้นช่องว่างตรงกลางสำหรับใส่ไม้ฟื้นเป็นเชื้อเพลิงจากชาวบ้านที่ไปร่วมพิธีทุกคน
ถึงเวลาบ่ายสองหลังจากพระได้สวดมาติกาบังสุกุลตามพิธีกรรมทางศาสนาเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เสียงปืนดังขึ้น 3 นัด เป็นการประกาศให้ทุกคนทราบว่าได้เวลาเผาศพผู้ตาย บรรดาญาติ ๆ และผู้รับผิดชอบตรงเชิงตะกอนก็ใช้น้ำมันก๊าดชุบผ้าที่เตรียมไว้ จุดใส่เข้าไปใต้โลงจนเกิดเป็นเปลวเพลิงขนาดใหญ่ ชาวบ้านก็ตั้งแถวรอบทิศ เอาเศษไม้เล็ก ๆ หรือธูปมาโยนสุมรวมกับกองฟืน เสร็จแล้วบางส่วนก็ทยอยกลับบ้าน คงเหลือแต่ญาติพี่น้องหรือหมอผีที่ยังเฝ้าและพลิกศพจนแน่ใจว่าศพถูกไฟเผาเป็นเถ้าถ่านแล้ว และในวันรุ่งขึ้นญาติพี่น้องก็กลับมาป่าช้าเพื่อเก็บกระดูก นี่คือวิถีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านาน
และแล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น........ เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง แม้กองฟืนขนาดใหญ่ที่จัดวางเป็นเชิงตะกอนจะถูกไฟเผามอดไปพร้อมกับโลงศพจนหมดสิ้นแล้ว แต่ร่างของลุงสีนวลก็ยังนอนอยู่ในสภาพไม่แต่กต่างจากเดิมมากนัก เสื้อผ้าและผ้าขาวห่อหุ้มศพถูกไฟเผาไหม้เป็นจุณ ผิวหนังเพียงถูกไฟไหม้เกรียมดำเพียงเล็กน้อย ทีมสัปเหร่อที่ผ่านการเผาศพมาแล้วอย่างโชกโชนต้องถึงกับเหงื่อตกไปตาม ๆ กัน มีวิธีเดียวคือต้องสุมฟืนกันใหม่อีกรอบและจุดไฟเผาซ้ำเป็นครั้งที่สอง......แต่....ก็ยังไม่ได้ผล ไฟไม่สามารถทำอะไรศพลุงสีนวลได้เลย
หมอผีประจำหมู่บ้านก็ใช้วิชาที่เรียนมาจนหมดไส้หมดพุงถึงกลับส่ายหน้า ... หลายคนที่ตกค้างอยู่ในป่าช้าก็เริ่มกลับไปกระจายข่าวจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั้งหมู่บ้านว่าคงจะเฮี้ยนน่าดู คงเหลือแต่ทีมเผาศพที่ต้องทำงานแข่งกับเวลานั่งวางแผนกันต่อ จนเวลาเกือบ ๆ หกโมงเย็น มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่นึกถึงคำสั่งสุดท้ายก่อนตายของลุงสีนวลกลับเข้ามาที่ป้าช้าอีกครั้ง เขาบอกกับทุกคนว่าก่อนตายลุงสีนวลสั่งให้ตีกลองซึ่งเขาได้ยินชัดเจนกับสองหู แม้ไม่อยากจะเชื่อเรื่องไร้สาระ แต่ในที่สุดหลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วย
ไม่ถึงยี่สิบนาที กลองเพลหนึ่งคู่ถูกนำมาวางตรงข้าง ๆ เชิงตะกอน ตอนนี้กองฟืนพร้อมแล้วสำหรับการเผาในรอบที่สาม ชายวัยกลางคนสองคนลงมือรัวกลองเสียงดังลั่นสนั่นไปกลางหมู่บ้าน ทีมเผาชุดเดิมก็ลงมือราดน้ำมันก๊าดลงบนผ้าจนเปียกชวก จุดไฟโยนเข้าจนกลายเป็นภูเขาเพลิงขนาดย่อมลุกท่วมหัว ความร้อนจากเปลวไฟทำให้ทุกคนถอยร่นออกมายืนดูห่าง ๆ ต่างก็ลุ้นด้วยความระทึกท่ามกลางเสียงกลองที่ดังหนักกว่าเดิมและเปลี่ยนท่วงจังหวะไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่นาน...ทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อภาพที่ปรากฏเบื้องหน้านั้นคือศพลุงสีนวลได้ชูมือทั้งสองขึ้นมาคล้ายกับจะบอกลาทุกคนก่อนที่จะหล่นตุ๊บลงไปตรงช่องว่างระหว่างเชิงตะกอนที่มีถ่านลุกโชนสีแดงด้วยแรงลม และร่างนั้นค่อย ๆ มอดไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้าไปพร้อม ๆ กับเสียงกลองที่เงียบลงก่อนค่ำวันนั้นเอง
ขอโทษครับ หากแท็กผิดห้อง เพราะผมจัดประเภทไม่ถูกจริง ๆ ว่าควรจะเข้าลักษณะไหน แค่อยากหัดเขียนเรื่องแบบนี้ดูบ้าง และยินดีน้อมรับคำวิจารณ์จากผู้มีประสบการณ์ทุกท่านครับ