กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ต่อมาจากกระทู้
(เรื่องจริงเมืองแพร่) อาถรรพณ์หมายเลข ๘ ... คุ้มโบราณที่ถูกลืม>>>
http://pantip.com/topic/34982314/comment91
ปล. เรื่องราวที่นำมาลง จขกท. เป็นแค่เพียงคนลง ไม่ใช่เจ้าของงานเขียนและเจ้าของเรื่องนะคะ แต่ได้รับอนุญาตจากทั้งสองท่านแล้ว
ปล. ไม่อนุญาตให้นำบทความไปลงที่อื่นต่อ หากไม่แจ้ง จขกท. นะคะ
คุ้มวิชัยราชา
จากบ้านผีสิงรกเรื้อเป็นที่ทิ้งขยะ มาสู่มรดกทางประวัติศาสตร์ชาติ
ไม่แน่ชัดว่า คุ้มวิชัยราชา เรือนไม้สักโบราณหลังงามมีรูปแบบผสมผสานระหว่างเรือนมะนิลา เรือนขนมปังขิงกับล้านนาหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อใด แต่เรือนแบบนี้เป็นที่นิยมกันในหมู่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเหล่าขุนนางคหบดีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 สิ้นสุดลงในยุครัชกาลที่ 7
ห้วงเวลาในช่วงระหว่างนั้นถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของสยามประเทศ เป็นยุคฝรั่งแข่งขันกันล่าอาณานิคม ผู้นำสยามจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อคงความเป็นไทไว้ โดยหนึ่งในนั้นคือการส่งเสริมให้สร้างบ้านเรือนมีความเป็นอยู่ทัดเทียมอารยะประเทศ ให้เห็นว่าเราไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนที่ต้องยึดครองจัดระเบียบกันใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลากหลายเหตุผลที่ฝรั่งมักใช้อ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเข้าเขมือบดินแดนชาติอื่น
บางคนจึงเรียกบ้านทรงนี้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมโคโรเนี่ยลหรืออาณานิคม...
เชื่อว่าคุมนี้สร้างขึ้นก่อน 2430 โดยเจ้าหนานขัติ ต้นตระกูล แสนศิริพันธุ์ โดยมีช่างไม้ฝีมือชาวจีนกวางตุ้งที่หลบเลี่ยงการสร้างทางรถไฟสายเหนือช่วงกันดารมาอยู่แพร่เป็นหัวแรงสำคัญ ต่อมาใน พ.ศ.2445 เกิดวิกฤตเงี้ยวปล้นเมือแพร่ แผนก่อการยึดดินแดนฝั่งขวาของน้ำโขงและล้านนาของฝรั่ง เงี้ยวได้เข้ายึดเมืองแพร่ไล่ฆ่าฟันข้าราชบริพารและลูกเมียจากส่วนกลางสิ้นไปกว่า 30 คน รวมทั้งพระยาชัยบูรณ์
เหตุการณ์รอยต่อสำคัญทางประวัติศาสตร์ครั้งนี้ พระวิชัยราชาซึ่งขณะนั้นเป็นคลังจังหวัดได้สร้างวีรกรรมและแสดงความจงรักภักดีไว้หลายครั้ง รวมทั้งนำคนของ ร.5 ไปหลบซ่อนบนเพดานคุ้มหลังนี้จนปลอดภัย
ก่อนหน้านี้มีผู้ขนานนามท่านเป็นขุนศึกผู้กล้านำรี้พลและช้างม้าจากล้านนา ไปสมทบทัพหลวงของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีปราบฮ่อที่แขวงพัวพันทั้งห้าทั้งหก และมีส่วนช่วยเหลือเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี และกำลังพลในกองทัพที่กำลังวิกฤตเพราะป่วยตายจนเหลือกำลังพลอยู่น้อยนิดรอดพ้นจากข้าศึกได้หวุดหวิด
ทั้งตัวท่านและศรีภรรยาเป็นผู้มีเกียรติประวัติดีเด่น เฝ้ารับใช้แผ่นดินมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และช่วยเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้พระบวรพุทธศาสนาแม้ตราบวาระสุดท้ายของชีวิต จนผู้คนขนานนามเรียกท่านว่า “พ่อเจ้าพระ” และเรียกศรีภรรยาท่านว่า “แม่เจ้าคำป้อ”
อนึ่ง ถนนวิชัยราชาหน้าคุ้มนั้น มีผู้กล่าวว่าเสด็จพ่อ ร.5 เป็นผู้ทรงพระราชทานให้ ครั้งทรงเสด็จมาแพร่
ต่อมา เจ้าวงศ์ แสนศิริพันธุ์ (2411-2513) บุตรพ่อเจ้าพระ ศิษย์อัสสัมชัญ บางรัก ส.ส.คนแรกแพร่ ก็ได้ฝากคุณงามความดีไว้บนแผ่นดินนี้มากมาย ท่านเป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยจังหวัดแพร่ กอบกู้วิกฤตชาติช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
จากหนังสือ 100 ปี ชาติกาลรัฐบุรุษอาวุโส กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า...
“นายปรีดีมีความประสงค์จะเล็ดลอดออกไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นในอินเดีย เรื่องนี้ในเบื้องแรก จึงขอให้เจ้าวงศ์ส่งคนที่ไว้ใจได้ออกไปเมืองจีนก่อน” (และท่านได้ส่งไป 3 ชุม รวม 11 คน แต่รอดคืนมาได้แค่ 2 คน)
นอกจากนี้ ในระหว่างนายปรีดี พนมยงค์ มาถ่ายทำฉากสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” ที่ป่าแดง จังหวัดแพร่ นั้น ท่านจะพักอยู่ที่คุ้มวิชัยราชาตลอด
บทบาทและวีรกรรมของเสรีไทยนี้เองทำให้ไทยรอดพ้นจากการเป็นฝ่ายแพ้สงคราม สามารถรักษาเกียรติภูมิอธิปไตยของชาติไว้ได้อีกครั้ง และจากกิจการชักลากไม้จนร่ำรวยมหาศาล มีช้าง 200 เชือก เจ้าวงศ์มิได้แตกต่างจากบิดาในเรื่องบุญกุศล ท่านได้บริจาคไม้สัก เงินทองสร้างวัด สร้างโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งรถยนต์ให้วัดพระบาทฯ
นอกจากนี้ ตัวท่านเองเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาเพื่อสร้างคน ให้คนสร้างชาติ จึงไม่เพียงสนับสนุนให้ลูกหลานเรียนขั้นมหาวิทยาลัยเท่านั้น ยังได้มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนโรงเรียนวนศาสตร์ที่เรียนดีแต่ขัดสนเป็นจำนวนมาก
แต่อนิจจา...หลังสิ้นสงคราม คงเป็นเพราะความหวาดระแวงของการเมือง ทำให้ท่านต้องมีอันเป็นไป สิ้นทุกอย่างแม้ที่ซุกหัวนอน ชีวิตที่เหลือมีผู้เห็นว่า “ถ้าโดนฆ่าตาย” เยี่ยงผู้ใกล้ชิดท่านปรีดี เช่น นายเลียง ไชยกาล นายเตียง ศิริขันต์ นายทองอินทร์ ภูมิภัฒน์ ยังดีกว่า
หลังเจ้าวงศ์มีอันเป็นไป คุ้มที่เคยมีบุญคุณช่วยกอบกู้สยามประเทศไว้ถึงสองครั้งได้ถูกทิ้งร้าง แต่ค่าที่ยังงดงามมีลวดลายไม้ฉลุสวยงามพลิ้วไหวดูอ่อนช้อยไปทั่ว ทั้งที่จั่วบ้าน บังลม ระเบียง ตลอดจนไม้ช่องลมเหนือบานประตูหน้าต่างล้วนเป็นศิลปะสวยงามหายาก เป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมล้ำค่าควรอนุรักษ์ไว้ จึงมีผู้ติดต่อขอซื้อเรื่อยมา
แต่ทุกครั้งต้องมีปัญหามีอันเป็นไปต่างๆ นานา จนถูกทิ้งร้างปกคลุมไปด้วยวัชพืชเลื้อยรกเรื้อไปทั่ว คลุมหลังคา เป็นสวรรค์ของหอยทากและงูหลากหลายชนิด จนชาวเมืองแพร่โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก ไม่กล้าผ่านแม้กลางวัน เล่าลือไปทั่วถึงความเฮี้ยนของ “บ้านผีสิง” หรืออาถรรพณ์บ้านเลขที่ 8 อันหมายถึงคุ้มวิชัยราชาหลังนี้
จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2534 ร่วม 40 ปีต่อมา ถ้าผีมีจริงคงดลบันดาลให้ วีระ สตาร์ อดีตนักรบในสมรภูมิลาว หน่วยผู้นำการโจมตีอากาศยานหน้า FORWARD AIR GUIDE (FAG) เขยเมืองแพร่ ผู้เกิดและโตมากับบ้านทรงมะนิลาย่านสีลมที่เคยมีอยู่ดาษดื่น หลงผ่านมาสะดุดกับบ้านหลังนี้ในสภาพใกล้ล้ม
และหากผีที่ว่ามีจริง ก็คงคงเปิด ”ไฟเขียว” ให้วีระ สตาร์ เข้าไปบูรณะกอบกู้ฟื้นฟูคุ้มหลังนี้ เพราะทราบดีถึงจิตใจและจุดประสงค์ของผู้ซื้อรายนี้ว่าแตกต่างจากผู้ซื้อรายอื่นในอดีต นั่นคือการไม่ต้องการครอบครองเป็นเจ้าของ หากแต่ต้องการบูรณะฟื้นฟูเพื่อให้เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์แก่อนุชนรุ่นหลัง
อย่างไรก็ตาม แม้ ”ผี” จะเปิดไฟเขียวให้ แถมต่อมากรมศิลปากรได้มีหนังสือลงวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2545 ตอกย้ำความสำคัญไปยังกระทรวงการคลังว่า “วิชัยราชา เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญโดยอายุ โดยลักษณะแห่งการก่อสร้าง และโดยหลักฐานที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เป็นประโยชน์ทางศิลปะ ประวัติศาสตร์และโบราณคดี” แต่วันนี้โครงการนี้ยังเงียบเหงาติดไฟแดงอยู่
การเมือง กาลเวลา ทำให้ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ และตำนานของวีรกรรมทั้งพ่อเจ้าพระวิชัยราชา เจ้าวงศ์ผู้เป็นบุตร ตลอดจนความสำคัญของ “บ้านโบราณ ตำนานสยามประเทศ” อาจถูกลบเลือนมลายหายไป ถ้า วีระ สตาร์ ไม่บังเอิญไปพบบ้านหลังนี้เข้า
ทว่า กว่า 25 ปีผ่านไป โครงการซึ่งในสายตาผู้บริหารสถาบันการเงินทั้งหลาย (ยกเว้น บสก.) ยังเป็นหนี้เน่าอยู่ ไร้การเหลียวแลโอบอุ้มจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐและเอกชน (แต่ ฯพณฯ เอกอัครราชทูตอเมริกา ใส่ใจแวะมาเยี่ยมเยือนให้กำลังใจ เมื่อ 24 พ.ย. 52) สะท้อนวิกฤตชาติที่กำลังเสื่อมสลาย ด้วยไม่ตระหนักถึงความสำคัญของประวัติศาสตร์ อันเป็นรากเป็นเหง้าซึ่งทำให้เรามีวันนี้ได้
แม้แต่วันชาติซึ่งทุกชาติต้องมีและเฉลิมฉลองกันยิ่งใหญ่มโหฬาร แต่ประเทศนี้ไร้ (วัน) ชาติ!?...
ผู้คนจึงไร้จุดยืนมั่นคง มุ่งวัตถุและเงินตรา มิใส่ใจซาบซึ้งภาคภูมิใจ สำนึกถึงวีรกรรมพระบูรพมหากษัตริย์มหาราชไทย บรรพชน ผู้กล้า ทำให้ขาดจิตสำนึกของความเป็นชาติ ความรักชาติ ประเทศนี้จึงไม่นิ่ง วิกฤติ สับสน แตกแยก ไร้รักสามัคคี จนอาจนำพาไปสู่วิกฤติถึงสิ้นชาติ สิ้นไทยได้!
ขอบพระคุณที่ท่านอ่านมาถึงจุดนี้โดยไม่ลัดข้ามข้อความสำคัญของเจ้าของบ้านเดิม และการต่อสู้ของ วีระ สตาร์ ผู้เชื่อมั่นในความสำคัญของประวัติศาสตร์ จึงต่อสู้ฟันฝ่ามากว่า 2 ทศวรรษ เพื่อกอบกู้เก็บมรดกสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติแห่งนี้ไว้ แม้จักต้องเดิมพันด้วยชีวิตและการล้มละลายหมดตัวก็ตาม…
(อ่านต่อตอนหน้า)
สรุปวีรกรรมเจ้าของบ้านโบราณ ตำนานสยามประเทศ
(เรื่องจริงเมืองแพร่) อาถรรพณ์หมายเลข ๘ ... คุ้มโบราณที่ถูกลืม>>> http://pantip.com/topic/34982314/comment91
ปล. เรื่องราวที่นำมาลง จขกท. เป็นแค่เพียงคนลง ไม่ใช่เจ้าของงานเขียนและเจ้าของเรื่องนะคะ แต่ได้รับอนุญาตจากทั้งสองท่านแล้ว
ปล. ไม่อนุญาตให้นำบทความไปลงที่อื่นต่อ หากไม่แจ้ง จขกท. นะคะ
ไม่แน่ชัดว่า คุ้มวิชัยราชา เรือนไม้สักโบราณหลังงามมีรูปแบบผสมผสานระหว่างเรือนมะนิลา เรือนขนมปังขิงกับล้านนาหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อใด แต่เรือนแบบนี้เป็นที่นิยมกันในหมู่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเหล่าขุนนางคหบดีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 สิ้นสุดลงในยุครัชกาลที่ 7
ห้วงเวลาในช่วงระหว่างนั้นถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของสยามประเทศ เป็นยุคฝรั่งแข่งขันกันล่าอาณานิคม ผู้นำสยามจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อคงความเป็นไทไว้ โดยหนึ่งในนั้นคือการส่งเสริมให้สร้างบ้านเรือนมีความเป็นอยู่ทัดเทียมอารยะประเทศ ให้เห็นว่าเราไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนที่ต้องยึดครองจัดระเบียบกันใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลากหลายเหตุผลที่ฝรั่งมักใช้อ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเข้าเขมือบดินแดนชาติอื่น
บางคนจึงเรียกบ้านทรงนี้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมโคโรเนี่ยลหรืออาณานิคม...
เชื่อว่าคุมนี้สร้างขึ้นก่อน 2430 โดยเจ้าหนานขัติ ต้นตระกูล แสนศิริพันธุ์ โดยมีช่างไม้ฝีมือชาวจีนกวางตุ้งที่หลบเลี่ยงการสร้างทางรถไฟสายเหนือช่วงกันดารมาอยู่แพร่เป็นหัวแรงสำคัญ ต่อมาใน พ.ศ.2445 เกิดวิกฤตเงี้ยวปล้นเมือแพร่ แผนก่อการยึดดินแดนฝั่งขวาของน้ำโขงและล้านนาของฝรั่ง เงี้ยวได้เข้ายึดเมืองแพร่ไล่ฆ่าฟันข้าราชบริพารและลูกเมียจากส่วนกลางสิ้นไปกว่า 30 คน รวมทั้งพระยาชัยบูรณ์
เหตุการณ์รอยต่อสำคัญทางประวัติศาสตร์ครั้งนี้ พระวิชัยราชาซึ่งขณะนั้นเป็นคลังจังหวัดได้สร้างวีรกรรมและแสดงความจงรักภักดีไว้หลายครั้ง รวมทั้งนำคนของ ร.5 ไปหลบซ่อนบนเพดานคุ้มหลังนี้จนปลอดภัย
ก่อนหน้านี้มีผู้ขนานนามท่านเป็นขุนศึกผู้กล้านำรี้พลและช้างม้าจากล้านนา ไปสมทบทัพหลวงของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีปราบฮ่อที่แขวงพัวพันทั้งห้าทั้งหก และมีส่วนช่วยเหลือเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี และกำลังพลในกองทัพที่กำลังวิกฤตเพราะป่วยตายจนเหลือกำลังพลอยู่น้อยนิดรอดพ้นจากข้าศึกได้หวุดหวิด
ทั้งตัวท่านและศรีภรรยาเป็นผู้มีเกียรติประวัติดีเด่น เฝ้ารับใช้แผ่นดินมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และช่วยเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้พระบวรพุทธศาสนาแม้ตราบวาระสุดท้ายของชีวิต จนผู้คนขนานนามเรียกท่านว่า “พ่อเจ้าพระ” และเรียกศรีภรรยาท่านว่า “แม่เจ้าคำป้อ”
อนึ่ง ถนนวิชัยราชาหน้าคุ้มนั้น มีผู้กล่าวว่าเสด็จพ่อ ร.5 เป็นผู้ทรงพระราชทานให้ ครั้งทรงเสด็จมาแพร่
ต่อมา เจ้าวงศ์ แสนศิริพันธุ์ (2411-2513) บุตรพ่อเจ้าพระ ศิษย์อัสสัมชัญ บางรัก ส.ส.คนแรกแพร่ ก็ได้ฝากคุณงามความดีไว้บนแผ่นดินนี้มากมาย ท่านเป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยจังหวัดแพร่ กอบกู้วิกฤตชาติช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
จากหนังสือ 100 ปี ชาติกาลรัฐบุรุษอาวุโส กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า...
“นายปรีดีมีความประสงค์จะเล็ดลอดออกไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นในอินเดีย เรื่องนี้ในเบื้องแรก จึงขอให้เจ้าวงศ์ส่งคนที่ไว้ใจได้ออกไปเมืองจีนก่อน” (และท่านได้ส่งไป 3 ชุม รวม 11 คน แต่รอดคืนมาได้แค่ 2 คน)
นอกจากนี้ ในระหว่างนายปรีดี พนมยงค์ มาถ่ายทำฉากสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” ที่ป่าแดง จังหวัดแพร่ นั้น ท่านจะพักอยู่ที่คุ้มวิชัยราชาตลอด
บทบาทและวีรกรรมของเสรีไทยนี้เองทำให้ไทยรอดพ้นจากการเป็นฝ่ายแพ้สงคราม สามารถรักษาเกียรติภูมิอธิปไตยของชาติไว้ได้อีกครั้ง และจากกิจการชักลากไม้จนร่ำรวยมหาศาล มีช้าง 200 เชือก เจ้าวงศ์มิได้แตกต่างจากบิดาในเรื่องบุญกุศล ท่านได้บริจาคไม้สัก เงินทองสร้างวัด สร้างโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งรถยนต์ให้วัดพระบาทฯ
นอกจากนี้ ตัวท่านเองเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาเพื่อสร้างคน ให้คนสร้างชาติ จึงไม่เพียงสนับสนุนให้ลูกหลานเรียนขั้นมหาวิทยาลัยเท่านั้น ยังได้มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนโรงเรียนวนศาสตร์ที่เรียนดีแต่ขัดสนเป็นจำนวนมาก
แต่อนิจจา...หลังสิ้นสงคราม คงเป็นเพราะความหวาดระแวงของการเมือง ทำให้ท่านต้องมีอันเป็นไป สิ้นทุกอย่างแม้ที่ซุกหัวนอน ชีวิตที่เหลือมีผู้เห็นว่า “ถ้าโดนฆ่าตาย” เยี่ยงผู้ใกล้ชิดท่านปรีดี เช่น นายเลียง ไชยกาล นายเตียง ศิริขันต์ นายทองอินทร์ ภูมิภัฒน์ ยังดีกว่า
หลังเจ้าวงศ์มีอันเป็นไป คุ้มที่เคยมีบุญคุณช่วยกอบกู้สยามประเทศไว้ถึงสองครั้งได้ถูกทิ้งร้าง แต่ค่าที่ยังงดงามมีลวดลายไม้ฉลุสวยงามพลิ้วไหวดูอ่อนช้อยไปทั่ว ทั้งที่จั่วบ้าน บังลม ระเบียง ตลอดจนไม้ช่องลมเหนือบานประตูหน้าต่างล้วนเป็นศิลปะสวยงามหายาก เป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมล้ำค่าควรอนุรักษ์ไว้ จึงมีผู้ติดต่อขอซื้อเรื่อยมา
แต่ทุกครั้งต้องมีปัญหามีอันเป็นไปต่างๆ นานา จนถูกทิ้งร้างปกคลุมไปด้วยวัชพืชเลื้อยรกเรื้อไปทั่ว คลุมหลังคา เป็นสวรรค์ของหอยทากและงูหลากหลายชนิด จนชาวเมืองแพร่โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก ไม่กล้าผ่านแม้กลางวัน เล่าลือไปทั่วถึงความเฮี้ยนของ “บ้านผีสิง” หรืออาถรรพณ์บ้านเลขที่ 8 อันหมายถึงคุ้มวิชัยราชาหลังนี้
จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2534 ร่วม 40 ปีต่อมา ถ้าผีมีจริงคงดลบันดาลให้ วีระ สตาร์ อดีตนักรบในสมรภูมิลาว หน่วยผู้นำการโจมตีอากาศยานหน้า FORWARD AIR GUIDE (FAG) เขยเมืองแพร่ ผู้เกิดและโตมากับบ้านทรงมะนิลาย่านสีลมที่เคยมีอยู่ดาษดื่น หลงผ่านมาสะดุดกับบ้านหลังนี้ในสภาพใกล้ล้ม
และหากผีที่ว่ามีจริง ก็คงคงเปิด ”ไฟเขียว” ให้วีระ สตาร์ เข้าไปบูรณะกอบกู้ฟื้นฟูคุ้มหลังนี้ เพราะทราบดีถึงจิตใจและจุดประสงค์ของผู้ซื้อรายนี้ว่าแตกต่างจากผู้ซื้อรายอื่นในอดีต นั่นคือการไม่ต้องการครอบครองเป็นเจ้าของ หากแต่ต้องการบูรณะฟื้นฟูเพื่อให้เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์แก่อนุชนรุ่นหลัง
อย่างไรก็ตาม แม้ ”ผี” จะเปิดไฟเขียวให้ แถมต่อมากรมศิลปากรได้มีหนังสือลงวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2545 ตอกย้ำความสำคัญไปยังกระทรวงการคลังว่า “วิชัยราชา เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญโดยอายุ โดยลักษณะแห่งการก่อสร้าง และโดยหลักฐานที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เป็นประโยชน์ทางศิลปะ ประวัติศาสตร์และโบราณคดี” แต่วันนี้โครงการนี้ยังเงียบเหงาติดไฟแดงอยู่
การเมือง กาลเวลา ทำให้ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ และตำนานของวีรกรรมทั้งพ่อเจ้าพระวิชัยราชา เจ้าวงศ์ผู้เป็นบุตร ตลอดจนความสำคัญของ “บ้านโบราณ ตำนานสยามประเทศ” อาจถูกลบเลือนมลายหายไป ถ้า วีระ สตาร์ ไม่บังเอิญไปพบบ้านหลังนี้เข้า
ทว่า กว่า 25 ปีผ่านไป โครงการซึ่งในสายตาผู้บริหารสถาบันการเงินทั้งหลาย (ยกเว้น บสก.) ยังเป็นหนี้เน่าอยู่ ไร้การเหลียวแลโอบอุ้มจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐและเอกชน (แต่ ฯพณฯ เอกอัครราชทูตอเมริกา ใส่ใจแวะมาเยี่ยมเยือนให้กำลังใจ เมื่อ 24 พ.ย. 52) สะท้อนวิกฤตชาติที่กำลังเสื่อมสลาย ด้วยไม่ตระหนักถึงความสำคัญของประวัติศาสตร์ อันเป็นรากเป็นเหง้าซึ่งทำให้เรามีวันนี้ได้
แม้แต่วันชาติซึ่งทุกชาติต้องมีและเฉลิมฉลองกันยิ่งใหญ่มโหฬาร แต่ประเทศนี้ไร้ (วัน) ชาติ!?...
ผู้คนจึงไร้จุดยืนมั่นคง มุ่งวัตถุและเงินตรา มิใส่ใจซาบซึ้งภาคภูมิใจ สำนึกถึงวีรกรรมพระบูรพมหากษัตริย์มหาราชไทย บรรพชน ผู้กล้า ทำให้ขาดจิตสำนึกของความเป็นชาติ ความรักชาติ ประเทศนี้จึงไม่นิ่ง วิกฤติ สับสน แตกแยก ไร้รักสามัคคี จนอาจนำพาไปสู่วิกฤติถึงสิ้นชาติ สิ้นไทยได้!
(อ่านต่อตอนหน้า)