เล่าเรื่องการขอวีซ่าอเมริกา ปี 2559 ค่ะ :)

สวัสดีค่ะ

ปกติไม่เคยตั้งกระทู้อะไรใน Pantip เลยดังนั้นถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรอย่าถือสาเลยนะคะ
แต่คิดว่าเรื่องการขอวีซ่าท่องเที่ยว (B1/B2) อเมริกาน่าจะเป็นประโยชน์กับใครได้บ้าง

ต้องขอบคุณคุณ molprom เจ้าของกระทู้ "แชร์ประสบการณ์ขอวีซ่าอเมริการะบบใหม่" ด้วยนะคะ
- http://pantip.com/topic/31818923 -
ที่ทำให้เราเข้าใจขั้นตอนการยื่นเรื่องขอวีซ่าง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ

เรื่องการกรอกฟอร์ม DS160 หรือการจองคิวสัมภาษณ์ขอข้ามนะคะ
เพราะมีคนเขียนไว้เยอะแยะเลย ละเอียดมากทั้งนั้น น่าจะดีกว่าการอธิบายของเราด้วย
แต่จะเล่าถึงการเตรียมเอกสารและการสัมภาษณ์ค่ะ เพราะคิดว่าอาจเป็นประโยชน์กับคนที่เคสคล้ายๆกัน

ประเภทวีซ่าที่ยื่นขอ
ประเภทท่องเที่ยว B1/B2 ระยะเวลาที่จะท่องเที่ยวประมาณ 6 สัปดาห์ค่ะ

ข้อมูลส่วนตัวแต่ละคน
เรา - อายุ 28 ปี พนักงานบริษัทเอกชน
ตำแหน่ง Deputy Section Manager อายุงาน 5 ปี
(ลาออกมีผลสิ้นเดือนเมษายน 2559 ยังไม่ได้หางานใหม่)
สถานภาพสมรส : โสด

พ่อ - เกษียณ แต่ตอนทำงานทำธุรกิจส่วนตัวประมาณ 30 ปีไม่เคยมีการจดทะเบียนใดๆ
ลักษณะธุรกิจที่ทำ : ทำรถให้เช่าพร้อมคนขับ รับงานทั้งเที่ยวและสำรวจเส้นทาง
สถานภาพสมรส : อยู่กินโดยไม่จดทะเบียนสมรส

แม่ - ไม่เคยทำงาน
สถานภาพสมรส : อยู่กินโดยไม่จดทะเบียนสมรส
(ส่วนตัวค่อนข้างกังวลกับแม่เพราะไม่เคยทำงาน ไม่มีทะเบียนสมรส
เป็นแม่บ้านดูแลลูกและสามีมาตลอดชีวิต คนละนามสกุลอีกด้วย)

ป้า - เกษียณ ทำธุรกิจส่วนตัวมา 40 ปีแบบไม่เคยจดทะเบียนเช่นกัน
ลักษณะธุรกิจที่ทำ : ค้าขายวัตถุดิบประกอบอาหารส่งร้านอาหาร
สถานภาพสมรส : โสด

เอกสารที่เตรียมไป
1. DS160, Passport ทุกเล่มและใบนัดสัมภาษณ์
2. ใบผ่านงานจากบริษัท (ของเราคนเดียว)
3. ทะเบียนบ้านตัวจริง บัตรประชาชนตัวจริง
4. Statement ออมทรัพย์ของทุกคนย้อนหลัง 1 ปี
    (เรายื่นแค่คนละเล่ม เล่มละแสนกว่าบาทเพราะคิดว่าถ้ากงสุลคิดว่าไม่พอเพราะเราจะไปเดือนกว่าๆ
     เราจะยื่นพวกกองทุนต่างๆประกอบและคิดว่าจะอธิบายตอนสัมภาษณ์โดยละเอียด)
5. ใบกองทุน,ตราสารหนี้และสลากออมสินของทั้ง 4 คน
6. โฉนดที่ดินของทุกคน (คิดว่าจะเอาไปเพื่อแสดงว่าเราจะกลับมาแน่ๆ)
7. รูปถ่าย (อันนี้ไม่ได้ใช้เลยค่ะ Upload เสร็จก็จบ แต่เตรียมไว้ก่อนก็ดี)
8. Plan ท่องเที่ยว

เอกสารที่ได้ใช้จริงในการสัมภาษณ์
1. Passport เล่มปัจจุบันเล่มเดียว
2. DS160

วันสัมภาษณ์
เราจองสัมภาษณ์วันศุกร์ที่ 22 เม.ย. 59 เวลา 07:15 (เดินทาง 4 พ.ค 59)
ไปกันทั้งหมด 4 คน คือ พ่อ แม่ เรา และป้า จองสัมภาษณ์ทีเดียว 4 คนพร้อมกันได้เลยค่ะ
เพื่อใบ Print ที่ไปจ่ายเงินที่ธนาคารกรุงศรีจะได้เป็นยอดรวมสำหรับ 4 คนและได้เข้าสัมภาษณ์พร้อมกัน

เราไปถึงตอน 06:15 จอดรถที่ตึกสินธร มันจะอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆสถานทูต
ข้ามสะพานลอยมาก็เจอแถวแล้วค่ะ จริงๆไปก่อนซัก 15-20 นาทีก็พอค่ะ
บัตรจอดรถเราไปแสตมป์ที่ Starbucks เวลาเข้า 06:13 ออกมาตอน 08:01
ไม่เสียเงินค่าจอด จริงๆคิดว่าจะฟรีชั่วโมงเดียว แต่น้องที่ทางออกเค้าบอกว่าฟรีค่ะ

ตอนข้ามไปถึงสถานทูต มีคนต่อคิวแล้วประมาณ 10-15 คนได้มั๊งคะ
ใกล้ๆเจ็ดโมงจะมีเจ้าหน้าที่ออกมาขอดูใบ DS160 กับ Passport เล่มล่าสุดของเรา
ถ้าใคร Print ใบ DS160 ออกมา 2 แผ่นที่มีใบหลังมาด้วย ให้ดึงออกไปเลยนะคะ เค้าใช้แค่หน้าแรกหน้าเดียว
เจ้าหน้าที่จะมีรายชื่อผู้ที่จองสัมภาษณ์ไว้อยู่แล้ว จะมาเช็คชื่อเราให้ตรงกับใบที่เค้าถือ
และเขียนปากกาไฮไลท์บนใบ DS160 ของเราตามเวลาที่เราจองค่ะ
ของเรามากัน 4 คนก็แจ้งเค้าไปว่าเรามาด้วยกัน จองคิวเดียวกัน

ผ่านการเช็คชื่อมาแล้วก็จะเป็นด่านคุณรปภ.แจ้งรายละเอียดก่อนผ่านประตูค่ะ
เค้าจะให้เรานำบัตรประชาชนหรือใบขับขี่ออกมา 1 ใบเพื่อใช้ฝากโทรศัพท์มือถือ
ถ้ามาด้วยกันสามารถใช้บัตรประชาชนใบเดียวได้ เราฝาก 4 เครื่องใช้บัตรเราใบเดียว
แต่ห้ามมีโทรศัพท์มือถือเกินคนละ 1 เครื่องนะคะ เค้าจะรับฝากแค่เครื่องเดียวอีกเครื่องต้องไปหาที่ฝากเอง
และต้องปิดโทรศัพท์ ห้ามเปิด Flight Mode ไว้ เจ้าหน้าที่เค้าเช็คละเอียด
ส่วนผู้หญิงคนไหนที่หิ้วกระเป๋าถือไปด้วยก็ต้องฝากไว้เช่นกัน เข้าไปได้แต่ตัวและเอกสารเท่านั้นค่ะ
อ้อ แนะนำให้พกปากกาเข้าไป 1 ด้ามนะคะ เพื่อเอาไว้ใช้จดเลข EMS เพื่อ Track สถานะการจัดส่ง Passport ค่ะ

จุดที่ 1
เมื่อผ่านเข้ามาแล้วจะต้องนั่งรอที่เก้าอี้ที่เค้าจัดไว้
ข้างในจะมีเหมือนตู้กระจกเวลาเราไปซื้อบัตรรถใต้ดินหรือรถไฟฟ้านี่แหละค่ะ
มีเจ้าหน้าที่อยู่ข้างใน 2 คน จะคอยเรียกคิวตามเวลา เช่น เชิญรอบ 7:00 ค่ะ
อย่าเข้าไปตอนที่เค้ายังไม่เรียกนะคะ เดี๋ยวเงิบ ก็ต้องกลับมานั่งรออยู่ดี

พอถึงเวลาที่เค้าเรียกแล้วให้เราแจ้งเค้าว่าเรามากี่คน เราบอกเค้าว่ามา 4 คนค่ะ
เค้าจะให้เรายื่น DS160 และ Passport ของทุกคนพร้อมกันทีเดียว
(ถ้า Passport ใครมีซองสีหรือลายให้ถอดออกนะคะ ได้แค่ปกใสเท่านั้น)
เจ้าหน้าที่จะจัดเรียง DS160 และ Passport เข้าแฟ้มใส
แปะสติ๊กเกอร์สีขาวที่มีเลข EMS Tracking ไว้และให้เราอ่านข้อมูลบนบอร์ดด้านขวามือ
เลข EMS Tracking เค้าจะไฮไลท์สีชมพูไว้ค่ะ สามารถจดเลขนั้นไว้ได้เลย
พอดีเราไม่ได้เอาปากกาเข้าไปเพราะคิดว่าห้ามเอาอะไรเข้าไปเลยนอกจากเอกสาร
เหลือบไปเห็นห้องไปรษณีย์เล็กๆด้านขวามีปากกาวางอยู่ เลยยืมมาเขียน โชคดีไป

จุดที่ 2
อย่าไปแตะต้องเอกสารที่ทางเจ้าหน้าที่เค้าเรียงใส่แฟ้มใสนะคะ ถือไปทั้งแฟ้มนั้นเลย
เข้าไปในห้องแล้วเราจะต้องไปต่อแถวเข้าช่อง 11-15 ก่อนเพื่อสแกนลายนิ้วมือ
เราเข้าพร้อมกัน 4 คนเหมือนเดิมนะคะ ไม่ต้องแยกกันเลยซักจุดเดียว
เจ้าหน้าที่ตรงนี้จะยังเป็นคนไทย เค้าจะสอบถามเราว่าเคยเปลี่ยนชื่อมั๊ย
หรือรายละเอียดส่วนตัวของแต่ละคนเพื่อ Re-check ข้อมูลที่เรากรอกไป

อย่างที่เราเจอก็คือ พ่อเราเคยเปลี่ยนชื่อแต่ฮีลืมเพราะเปลี่ยนตั้งแต่เด็ก
จากชื่อจีนเป็นชื่อไทย ก็บอกไปว่าไม่เคยเปลี่ยน แต่พอถึงคิวป้าเรา นางบอกเคยและแจ้งชื่อเก่าที่เป็นชื่อจีนไป
เจ้าหน้าที่เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไรนะคะ พ่อเราก็กังวลว่าจะเป็นอะไรมั๊ย เจ้าหน้าที่ก็ยิ้มแล้วบอกไม่เป็นไรค่ะ

อีกส่วนนึงคือตอนที่กรอก DS160 ของพ่อและป้า เราใส่วันเดือนปีเกิดไป แต่บัตรประชาชนและ Passport ทั้งคู่ไม่มี
เค้าจะลงวันเกิดว่า - - 1954 เพราะสมัยก่อนไม่ได้แจ้งเกิด เจ้าหน้าที่ตรงนี้ก็จะแจ้งว่าขอลบวันเกิดทิ้ง
เพราะต้องตรงกับ Passport แบบทุกตัวอักษร แต่ไม่มีปัญหาค่ะไม่เกี่ยวกับการพิจารณา
หลังจากนั้นเค้าจะให้เราสแกนนิ้ว 10 นิ้ว มือซ้ายก่อน ตามด้วยมือขวา แล้วจบที่นิ้วโป้งทั้งสองมือพร้อมกัน
เสร็จจากจุดนี้ให้ไปต่อแถวเข้าช่องหมายเลข 10 เพื่อสแกนนิ้วมืออีกครั้งค่ะ

จุดที่ 3
ช่องหมายเลข 10 ที่เราเจอเป็นเจ้าหน้าที่ฝรั่ง พูดไทยได้แต่ไม่ชัดมาก
เค้าจะให้เราสแกนนิ้วมืออีกครั้งแต่ไม่ต้องทุกนิ้ว เรากับแม่โดนมือซ้าย พ่อกับป้าเราโดนมือขวา
เรามือแห้งสแกนไม่ติดเค้าจะมี Wax ให้ทานิ้วอยู่ตรงนั้นเลย โปะจนสแกนติดแหละค่ะ 55
ผ่านจุดนี้ไปก็ถึงขั้นตอนการสัมภาษณ์กับกงสุลแล้วค่ะ ในช่องหมายเลข 6-9

จุดที่ 4
เท่าที่เห็นนะคะ ช่อง 6-8 เป็นฝรั่ง และช่องที่ 9 น่าจะเกาหลีนะคะ หล่อไม่เกรงใจกัน งานดีงานปราณีตจริงๆ 55
ช่องที่เข้าสัมภาษณ์มันจะติดๆกันนะคะ และเสียงทะลุทะลวงถึงกันหมด
ระหว่างรอคิวเราได้ยินคนก่อนหน้าเราที่อยู่ช่อง 7 เป็นผู้หญิงมาสัมภาษณ์คนเดียว
เค้าไม่อนุมัติวีซ่าให้เพราะเค้าบอกว่าไม่มีอะไรยืนยันว่าคุณจะกลับมา
นี่ถึงกับซีดค่ะ ถึงเรากลับมาแน่ๆอยู่แล้วแต่คือตื่นเต้นไปด้วย ช่วยลุ้นเหมือนเป็นญาติเค้าไปอีก

ถึงคิวเราได้สัมภาษณ์กับช่องหมายเลข 8 เป็นเคราะห์กรรมอันใดไม่ทราบ
ลำโพงหรือไมค์ไม่รู้น่าจะเสีย คือไม่ได้ยินที่กงสุลพูดเลยต้องคอยเงี่ยหูฟัง
พอบอกให้พูดอีกครั้งได้มั๊ยคะ ไม่ได้ยิน กงสุลก็ใจดีไม่มีท่าทีรำคาญเลย
เค้าถามว่าสะดวกภาษาอะไรก็เลยบอกว่าไทยก็ได้อังกฤษก็ได้ค่ะ

คำถามที่เจอนะคะ

1. จะไปที่ไหนและทำอะไร?
- เที่ยวค่ะ จะไป LA, San Francisco, Yosemite, Grand Canyon และบินไป New York เที่ยว Boston กับ DC ด้วยค่ะ
เลยใช้เวลานานหน่อยจะได้ไม่เหนื่อยมาก (ยิ้มหวานเบอร์ใหญ่มากให้กงสุล)

2. ทำงานที่ไหน?
- ทำบริษัท ... แต่ลาออกแล้วค่ะ จะไปเที่ยวก่อนค่อยกลับมาหางานใหม่
(ที่ต้องบอกว่าลาออกแล้วเพราะในใบผ่านงานเขียนว่าเริ่มงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2554 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2559
กลัวเค้าขอดูเอกสารแล้วจะไม่อนุมัติเพราะไม่ยอมบอกว่าลาออกแล้ว แต่เค้าไม่ได้ขอดูเลยค่ะ)

3. ทำไมลาออก?
- เพราะทำมา 5 ปีแล้วเริ่มอยากลองที่อื่นเพื่อเรียนรู้งานใหม่ๆบ้าง แต่ก่อนสมัครที่ใหม่อยากไปท่องเที่ยวยาวๆก่อน
กลัวว่าถ้าทำงานใหม่แล้วจะไม่สามารถไปเที่ยวยาวๆแบบนี้ได้อีกแล้ว

"Your passport and visa will be returned to you within 3 days. Enjoy the states !"

ยืนงงอยู่แป๊บนึงเพราะไม่คิดว่าจะสั้นขนาดนี้และเตรียมคำตอบไว้เยอะมาก
ถาม 3 ข้อแล้วอนุมัติเลย เราว่าส่วนที่สำคัญที่เค้าพิจารณาคือการกรอกข้อมูลใน DS160
และการสัมภาษณ์ที่ถามตอบกันแบบตรงไปตรงมาไม่ได้ซับซ้อน
เอกสารทุกอย่างที่เตรียมไว้ ไม่ได้แม้แต่จะหยิบออกจากซองเลยซักแผ่นเดียว

การกรอกข้อมูล DS160 สำคัญมากนะคะ เพราะเค้าไม่เรียกดูเอกสารอื่นเราเลย
เตรียมเอกสารอยู่นานเพราะกลัวไม่รัดกุมพอ ปรากฎไม่ได้ใช้เลยซักอย่าง
ไปขอวันศุกร์ วันนี้ได้รับ Passport คืนแล้วค่ะ 3-4 วันทำการเท่านั้นเอง

เวลาทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต่อแถวจนเสร็จสิ้นทุกอย่างประมาณชั่วโมงครึ่ง
และได้รับวีซ่าท่องเที่ยว 10 ปีค่ะ : )

ข้อแนะนำที่อาจจะเป็นประโยชน์นะคะ
1. ตอนกรอก DS160 สำหรับคนที่ Background แบบพ่อและป้าเราคือไม่มีอาชีพที่มีใบรับรอง
เราเขียนว่า Retired เค้าถามว่าทำงานช่วงปีไหนถึงปีไหน อันนี้เราประมาณเอา เพราะทั้งสองคนยังจำไม่ได้เลย
แล้วช่องที่เค้าให้เขียนอธิบายลักษณะงาน เราเขียนไปยาวและละเอียดมากเพราะเราถือว่าเป็นโอกาสให้เราอธิบายก่อนจะพิจารณา
ถ้าใครมีปัญหาประมาณนี้ สามารถถามเราได้นะคะ ยินดีตอบมากเลยเพราะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับการขอวีซ่าค่ะ

2. แม่ไม่ได้ทำงานกรอกยังไง เราก็กรอกว่า Unemployed แล้วยังอธิบายไปในช่องด้วยว่ามีหน้าที่ดูแลลูกและสามีอย่างเดียว
ตอบไปแบบนี้จริงๆค่ะเพราะนางไม่ได้ทำงานเพราะต้องดูแลครอบครัวของนาง และกลัวสงสัยว่าทำไมมีเงินในบัญชี
ก็เลยเขียนไปว่าได้รับเงินที่สามีฝากให้เป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ส่วนค่าใช้จ่ายในทริปนี้เขียนว่าลูกเป็นคน Support ค่ะ

3. ใครที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสไม่ต้องกังวลนะคะ ใน DS160 เค้ามีให้เลือกค่ะว่าอยู่ด้วยกันแบบไม่จดทะเบียน ไม่มีปัญหาค่ะ

4. ส่วนที่เค้าถามว่าใครกรอก Application Form ให้ เราตอบว่าเราเป็นคนกรอกของทุกคน ระบุความสัมพันธ์กับคนนั้นๆไปค่ะ

5. ตอนสัมภาษณ์แค่มั่นใจและตรงไปตรงมาค่ะ ไม่ต้องโกหกแค่เพราะข้อมูลบางอย่างดูเสี่ยงจะไม่ผ่านนะคะ
เราว่ากงสุลน่าจะจับเท็จเก่งมาก การพูดตรงๆดีที่สุดค่ะ อย่างเราลาออกและยังไม่มีงานใหม่แถมโสด
ตามหลักก็ดูเสี่ยงจะหนีวีซ่า แต่เราก็เลือกจะบอกตามตรง เราว่าให้เหตุผลดีดีไม่มีปัญหาแน่นอนค่ะ

6. Application Form ของอเมริกาไม่มีถามเลยว่าเคยไปประเทศไหนมาบ้าง มีเงินและหลักทรัพย์เท่าไร ตอนสัมภาษณ์ก็ไม่ขอดู

7. ข้อที่กรอกว่ามีคนรู้จักหรือญาติรึเปล่า จริงๆเรามีญาตินะคะแต่กรอกไปว่าไม่มีเพราะเราไม่ได้สนิทกันมาก
ถ้ากงสุลถามรายละเอียดเราก็ตอบไม่ได้อยู่ดี เลยคิดว่าแบบนี้ตอบว่าไม่มีดีกว่าเพราะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเค้าเลย
และยังไม่รู้เลยว่าไปเที่ยวครั้งนี้จะได้เจอกันมั๊ย รู้แค่เค้าอยู่เมืองไหนแต่ไม่รู้อย่างอื่นเลย

ทั้งหมดก็ประมาณนี้นะคะ ยาวมากแต่อยากจะเขียนละเอียดๆเผื่อใครนำไปใช้ได้บ้างค่ะ
ถ้ามีคำถามอะไรที่อยากทราบ เรายินดีตอบตามที่รู้ทุกอย่างเลยนะคะ
ช่วยกันได้ก็อยากทำเหมือนที่เราได้สมาชิกใน Pantip ช่วยเหมือนกัน

หวังว่าจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ : )

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่