[CR] [เรื่องเล่าจากเวียดนาม ตอนที่ 2 : "ฮาลอง เบย์"]

ความเดิมตอนที่แล้ว ตอนที่ 1 เรื่องเล่าจาก "ซาปา" ได้ตามนี้ครับ : http://pantip.com/topic/35048194

*****************************************************************************************************



หลังจากกลับจากซาปา กรุ๊ปของเราก็แวะกลับมานอนที่ ฮานอย 1 คืนครับ ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวฮาลองเบย์ กันในวันต่อไป การกลับนอนที่ฮานอยคืนนี้ ปู่ได้ออกไปเดินเที่ยวในตัวเมืองมา เดินไปสัก 4-5 กม. ก็ได้อะไรกลับมาเยอะทีเดียว ไว้มาเล่าในตอนสุดท้าย “เรื่องเล่าจากฮานาย” แล้วกันนะครับ ส่วนตอนนี้ เราไปลุยฮาลองเบย์กันดีกว่า ซึ่งหลังจากพักหนึ่งคืน กรุ๊ปของเราก็พร้อมกันตอนเช้า เพื่อไปเคารพศพลุงโฮกันก่อน เช่นกัน เก็บไว้เล่าทีหลัง พร้อมกับเรื่องอื่นในฮานอย รวมถึง บุฟเฟ่มื้อเที่ยง ที่ Sen Restaurant
...
พอจบจากบุฟเฟ่ย์มื้อเที่ยง กรุ๊ปเราก็พร้อมจะออกเดินทางไปฮาลองเบย์แล้วครับ สำหรับฮาลองเบย์นั้น เป็นเมืองท่องเที่ยวทางทะเล อยู่ห่างจากฮานอยไปทางตะวันออก 170 กม. ระยะเวลาที่ใช้เดินทางก็ประมาณ 3-4 ชม. ครับ จุดท่องเที่ยวสำคัญ ก็คือหมู่เกาะหิน ที่มีมากกว่า 1,900 เกาะ และเป็นมรดกโลกนั้นแหละครับ
...
การมาถึงฮาลองเบย์นั้น เราก็ใช้เส้นทางถนนหลวงเช่นเดิม ซึ่งระหว่างการเดินทาง ก็มีแวะตามจุดแวะพักบ้าง ซึ่งจุดแวะพักในเส้นทางไปฮาลองเบย์นี้ เปลี่ยนจากปั๊ม เป็นร้านขายของ ซึ่งแต่ละที่ คณะของเรา ก็ต้องลงไปทำความรู้จัก ถึงที่มา ที่ไป และสินค้าของบริษัทต่างๆ ที่แวะด้วย (ก็เหมือนเวลาทัวร์จีนมาบ้านเรา แล้วเขาแวะพาไปตามร้านต่างๆนะครับ ซึ่งขาไปฮาลองเบย์นี้ กรุ๊ปเรา แวะร้านถึง 2 ร้าน เป็นร้านขายเครื่องประดับ และร้านขายของฝากและกาแฟ (ซึ่งมีเรื่องเล่าทั้ง 2 ร้าน ขออภัยที่ไม่มีภาพประกอบ เพราะห้ามถ่ายรูปทั้ง 2 ร้านครับ)
...
จุดแวะพักแรกครับ เป็นร้านขายเครื่องประดับ ซึ่งจะเป็นเหมือนบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ แล้วก็เปิดเป็นโชว์รูมแนะนำสินค้าในตัวด้วย ภายในก็ตกแต่งเป็นห้องๆ เพื่อใช้ในการแนะนำสินค้า และจะมีส่วนตรงกลางที่เป็นห้องโถงโชว์สินค้า ทางกรุ๊ปของเราเมื่อมาถึงครับ ต่างคนก็แยกย้ายไปทำธุระ เสร็จแล้วก็จะเชิญเข้าห้องครับ ภายในห้องของร้ายเครื่องประดับนี้ มีเก้าอี้วางไว้อย่างดี เป็นเก้าอี้อารมณ์เดียวกับเก้าอี้ในโรงหนังเลยครับ พวกเราก็ไปนั่งกันจนครบ ก็จะมีน้องนักศึกษาฝึกงาน ชาวเวียดนามที่พูดภาษาไทยได้ (คาดว่าจะเรียนเองไทย จากการสัมภาษณ์คือ เรียนภาษาไทยมาแล้ว 2 ปี และอยากมาเมืองไทย ปล. พลาดที่ลืมขอ FB น้องเขามา...ู^0^) เข้ามาแนะนำตัว และแนะนำสินค้าโดยสินค้าที่จะแนะนำมี 3 อย่างคือ ทับทิม หยก และมุก ซึ่งจุดขายของที่นี้จะอยู่ที่หยก สำหรับน้องนักศึกษานี้ ก็เข้ามาแนะนำแค่ทับทิม และมุก สำหรับข้อมูล และเนื้อหา ไม่ต้องบอกครับ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่มีประโยชน์ต่อการตัดสินใจซื้อใดๆทั้งสิ้น นอกหน้าหน้าตาที่น่ารัก จิ้มลิ้ม ที่ยังพออนุโลมให้ถือว่า มีอะไรน่าสนใจอยู่บ้าง ในการแนะนำนี้ หลังจากน้องเขาแนะนำเสร็จ ก็บอกว่า เนื่องจากหยก ยังเป็นสินค้าที่น้องเขายังไม่ได้เรียนรู้ ขออนุญาตเชิญอาจารย์ที่มีความรู้มาแนะนำแทน แล้วก็ออกไปเชิญ อ. ท่านนั้นมา
...
จุดพีคของร้านนี้เริ่มต้นตรงนี้แหละครับ เมื่อ อ. ท่านนี้เข้ามา เข้ามาถึงก็แนะนำตัวครับบอกว่าชื่อแอนดี้(ถ้าจำไม่ผิด) เป็นคนจีน ครอบครัวบังเอิญได้มารับสัมปทานเกี่ยวกับหยกของที่เวียดนามนี้ แล้วก็คุยกันเบื้องต้น อะไรยังไง ประวัติมาได้ไง บอกว่าพี่ชายให้มาช่วย การเข้ามาแนะนำนี้ ก็ไม่อยากขาย เพราะรายได้หลักไม่ได้มาจากขายของให้พวกเรา แต่ได้จากยอดขายส่งให้กับองค์กรต่างๆที่มาจ้างผลิต
แล้วก็แนะนำหยกต่างๆ ว่ามาจากไหน มีที่ไหนเป็นแหล่งส่งออกสำคัญบ้าง แล้วก็บอกว่า ที่เวียดนาม ก็เป็นหยกที่มีคุณภาพเบอร์ต้นๆ (แต่ว่าขายหยกในร้าน ทำไมบอกเป็นหยกพม่าทั้งนั้นเลย อันนี้มีคนสงสัย) แล้วก็ให้ข้อมูลพวกหยกแท้ หยกเทียม ซึ่ง แอนดี้แกบอกว่าของเทียมไม่มี มีแต่หยกฉีดสี ซึ่งจะทำให้สีสวย การสังเกต แอนดี้บอกว่า ไม่ว่าหยกจะสวยแค่ไหน ต้องมีตำหนิ ถ้าไม่มีตำหนิเลย คือหยกฉีดสีแน่นอน แล้วก็แนะนำการสวมหยก ว่าให้สวมแบบติดตัว หยกที่ดี จะช่วยดูดสารแร่ธาตุอะไรที่ไม่ดี ออกจากร่างกายทางรูขุมขน (โปรดใช้จักรยาน เอ้ย...วิจารณญาณ ในการอ่าน) ส่วนหยกก็แบ่งได้หลายเกรด หยกคุณภาพดีสุด จะแข็งจนสามารถตัดกระจกได้ (มีโชว์ให้ดูด้วย เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย) หลังจากคุยเรียกเปลี่ยนความรู้กันสักพัก ทาง แอนดี้ก็บอกว่า เอาหละ เราไปดูหยกกัน แต่ไม่ซื้อไม่เป็นไรนะ แค่ได้คุยกันก็ดีละ เพราะแฟน แอนดี้แอบดูที่กล้องอยู่ บอกว่าคราวที่แล้ แอนดี้เข้ามามีแต่คนไม่สนใจ แต่คราวนี้พวกเราคุยกัน ตอบโต้กัน ถือว่า แอนดี้ประสบความสำเร็จแล้ว แล้วก็ให้พวกเราลุก ย้ายห้องกัน
...
พอย้ายมาอีกห้องครับ ก็เป็นห้องโชว์สินค้า มีสินค้าหลายตัว หลายแบบ หลายลายให้ลองชมเลยครับ พอเข้ามา แอนดี้ก็เข้ามา แล้วก็คุยโน้นนี้ ก่อนชวนพวกเราดูการสาธิตสินค้า ทั้งสาธิตการเจียระไนทับทิม โดยปิดไฟ แล้วใช้เลเซอร์เข้ายิงไปแสงเลเซอร์ก็จะไปกระทบกับมุมเหลี่ยมต่างๆ แล้วสะท้อนออกมาเป็นแฉกๆ (เรียกเสียงฮือฮาได้เหมือนเดิม) เมื่อสาธิตโน้นนี้แล้ว มาถึงจุดพีคกันครับ แอนดี้ก็หยิบสร้อยหยกขึ้นมาโชว์ บรรยายสรรพคุณต่างๆ จนมาจบตรงที่ว่า อันนี้อย่างที่แอนดี้บอก ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร แต่แอนดี้ได้ราคาพิเศษมา เป็นราคาต้นทุนเลย เผื่อใครสนใจ  ซึ่งแอนดี้ก็ไม่อยากให้ทุกคนซื้อเยอะ งั้นแอนดี้ ขอจำกัด ให้ซื้อได้คนละไม่เกิน 2 เส้น ราคาพิเศษ จากเส้นละ 10,000 เหลือ 2,000 บาทครับ (เนื้อหาคำพูดโดยประมาณครับ จำชัดๆไม่ได้ แต่ประมาณนี้ครับ) ซึ่งเมื่อ แอนดี้พูดจบ แอนดี้ก็เดินออกจากห้องไปอย่างหล่อๆ และรวดเร็ว ปล่อยให้กรุ๊ปเรา อยู่กับเซลล์ที่รออยู่ตรงนั้น 6-7 คน (ก็ปิดการขายแล้วนิ แอนดี้จะอยู่ทำมายยยยย...55555+)
จริงๆแล้วที่มันพีคเพราะว่า อารมณ์ตอนนั้นของแอนดี้ เหมือนกับคนขายของเล่น หรือขายสร้อยทองตามห้าง ที่จะมีประกาศเป็นรอบ ว่ารอบนี้ ให้กี่เส้น ราคาพิเศษ ใช้จำนวน กับราคา มาเป็นจุดขาย ว่ามีน้อย หายาก แต่ราคาถูกมาก เน้นขายจำนวน ซึ่งก็มีคนซื้อทั้งๆที่ไม่ได้อยากได้ไปหลายคน ก็เพราะมันถูก และจำนวนจำกัดนี้แหละครับ การตลาดของแอนดี้ก็เช่นกัน เล่นเหมือนกันเลย แต่แอนดี้เนียนว่า เพราะปูทางมาแบบเนียบๆ เป็นกันเอง เหมือนเพื่อนแนะนำเพื่อน (แต่รู้สึกว่า ในกรุ๊ปก็ไม่ค่อยมีใครซื้อนะครับ จนแอนดี้ ต้องเข้ามาอีกรอบ...555 แต่รอบหลัง ปู่เดินออกมาข้างนอกละ)

ซึ่งหลังจากแอนดี้ออกไปรอบแรก ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปตามความสนใจครับ ใครสนใจสร้อยที่แอนดี้ลดราคา ก็เลือกกัน ใครไม่สนใจก็เดินดูสินค้าอื่นๆ ปู่เองก็เดินอยู่แล้วเทียบราคาไปเรื่อยๆ ซึ่งเท่าที่เห็น หยกเส้นที่แพงที่สุดในห้องนั้นราคาประมาณ ล้านกว่าบาทเลยครับ พอดูรอบเสร็จปู่ก็เดินออกมา ด้านนอกก็มีหยกขาย ปู่ก็มาเดินดู มีขายทั้งราคาขนาดย่อม 100,000 / 200,000 ดอง ก็มี ก็ประมาณ 160 – 320 บาท หยกตามปีเกิด หยกเป็นรูปเทพเจ้าต่างๆก็มีครับ ซึ่งบ้างส่วนน่าจะมีส่งมาขายบ้านเรา พอต่างคนก็ต่างเลือกซื้อกันพอสมควร พวกเราก็ขึ้นรถไปกันต่อครับ

หลังจากกรุ๊ปของเราออกจากร้านของแอนดี้ ก็เดินทางต่อมาจนถึงฮาลองเบย์ครับ ก็เป็นช่วงเย็นๆ ซึ่งก่อนที่กรุ๊ปของเราจะจะไปกินข้าวเย็นกัน เราก็ต้องแวะจุดพักอีกจุด ซึ่งรอบนี้เป็นร้านขายของที่ระลึกจะพวกเยื่อไผ่ แล้วก็เหมือนเดิมครับ พวกเราหลักจากทำธุระกันเสร็จก็ถูกเชิญเข้าไปในห้องอบรม (เหมือนห้องอบรมขายตรงเช่นเดิม แต่รอบนี้ ห้องโทรมกว่า เก้าอี้นั่งธรรมดา ไม่เหมือนร้านแอนดี้ ที่เป็นที่นั่งโรงหนังอย่างดี) พอเข้ามาครบก็เช่นเดิมครับ มีคนเข้ามาแนะนำสินค้า ที่ทำจากเยื่อไผ่ เริ่มแรกก็เป็นพวกผ้าเช็ดต่างๆ ทั้งเช็ดพื้น ทั้งดูดฝุ่น ซึ่งจุดขายคือมันจะดูดซับได้ดี ก็มีตัวอย่างมาให้ลองจับ มีการทดลองซึมซับน้ำให้เห็น
อันนี้ไม่เท่าไหร่ครับ สินค้าตัวต่อมาที่เรียกเสียงฮือฮาคือ พวกชุดที่ทำฝังหินทัวมาลีน ที่มีลองให้หลายท่านได้ทดสอบ โดยการนำไปสัมผัสกับน้ำก่อน แล้วเอามาล็อคประคบไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อให้ความร้อนได้ช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ซึ่งหลายๆได้ลองแล้วยืนยันว่าร้อนจริง ก็เลยเป็นที่สนใจของคนในกรุ๊ป และก็มีหลายท่านตัดสินใจซื้อ ซึ่งราคาตกชุดละ 3000 กว่าบาท ต่อมายังมีของมาแนะนำทั้ง กกน. ที่ทำจากเยื่อไผ่ ที่เขาบอกว่า ไม่อับ ไม่มีกลิ่น ใส่ 3 วันติดยังได้...!!! และก็ของอื่นๆ อีกหลายอย่าง จนมาจบสุดท้ายก็เป็นชุดที่เป็นผ้ายืด ขนเยอะๆ (ที่เราเห็นในคลิป ที่มีแม่ค้าจีนแนะนำ แล้วเอามองใส่ให้ดู ที่ปรับไปได้หลายๆแบบ ที่เป็นทั้งผ้าพันคอ ชุดคลุมไหล่ ชุดสเลค และอื่นๆมากมาย) ซึ่งหลังจากแนะนำสินค้าเสร็จแล้ว ทีมงานก็เชิญเราลงไป ซึ่งห้องที่เราลงไปก็จะเป็นช็อปแสดงสินค้าต่างๆ ทั้งของใช้ ชุด เสื้อผ้า ของกิน ไปจนถึงกาแฟแบบต่างๆ ซึงทางก็จะวนไปมา เหมือนเขาวงกต ให้เราได้ผ่านสินค้าทุกชนิดก่อนจะเดินออกไปได้ ประมาณว่า มันต้องโดนสักชิ้นก่อนออกแหละ...^0^
...
จบจากร้านเยื่อไผ่ พวกเราก็แวะกินอาหารเย็นกันครับ เมื่อกินกันเสร็จแล้ว ใช่ว่าเราจะเข้าที่พักนะครับ ยังครับยัง ยังมีแหล่ง ช็อปปิ้งอีกจุด ที่เราจะได้แวะไปก่อน จุดนี้เป็นแหล่งช็อปคล้ายๆตลาด ซึ่งจุดนี้หลายๆท่านไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย เนื่องจากทุกร้าน มันขายของเหมือนกันที่เคยซื้อมาแล้ว คือกระเป๋าต่างๆ ชุดและเสื้อกันหนาว และสุดท้ายคืองานแกะสลักไม้ ตลาดที่เราแวะนี่เลยไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ซึ่งเท่าที่เห็น มีอยู่ร้านเดียว ที่มีของแตกต่าง คือ มีเสื้อทีมฟุตบอลขายฮะเพ่น้องงงง อารมณ์ประมาณพวกแกขายกันไปสิเสื้อกันหนาว ตรูจะขายเสื้อบอลเฟ้ยยยยย หรืออาจจะจับกลุ่มตลาดโดนตรง เพราะฝั่งตรงข้ามตลาด เป็นสนามฟุตบอลเช่า เผื่อว่าใรลืมเอาเสื้อมา ก็มาซื้อร้านตรูนี่เลย...55555+
...
จบจากทริปช็อปปิ้งตลอดช่วง กรุ๊ปของเราก็ได้เข้าที่พักกันครับ ก็เป็นรร. เปิดใหม่สภาพดีเลย ซึ่งพอเก็บของเสร็จ ปู่ก็มีเดินเที่ยวดูเมืองสักนิดนึง โดยภาพรวมแล้ว ฮาลองเบย์ เป็นเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างมาก ทุกอย่างยังอยู่ในช่วงการปรับปรุงตัว มีสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว มีการสร้างโรงแรมหรูกลางเกาะ มีการเปิดกาสิโน ซึ่งถ้ามองแล้ว อีกไม่เกิด 2-3 ปี เมืองนี้น่าจะเป็นเมืองที่คึกคัก และเป็นแหล่งท่องราตรี คล้ายๆกับพัทยาบ้านเรา ซึ่งนักท่องเที่วสามารถมาแวะพักก่อนลงเรือไปเที่ยวอ่าวฮาลองเบย์ แต่ตอนนี้หลายๆส่วนยังอยู่ในช่วงพัฒนา และปรับปรุงทั้งการขยายถนน การทำกระเช้าลอยฟ้าข้ามเกาะ เชื่อว่าอีกไม่นาน เม็ดเงินจะสะพัดแน่ๆครับ แต่ก็ต้องดูว่า เมื่อกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดนี้ การดูแลให้ฮาลองเบย์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ จะขัดกันไหม แต่ตอนนี้ เมืองยังไม่มีอะไร 3-4 ทุ่มก็เงียบแล้วครับ มีร้านอาหารเปิดบ้าง และก็มีคาราโอเกะ ซึ่งน่าจะเป็นแหล่งพักผ่อนที่ทั้งชาวเวียดนาม และชาวจีนชอบ เพราะมีเปิดเยอะเหลือเกิน ทั้งที่ซาปา ที่นี่ และที่ฮานอย

ชื่อสินค้า:   เวียดนาม
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่