Backpack เที่ยวกาญจน์ 2 วัน 1 คืน สไตล์ "Low Price & High Experience!"

หากพูดถึงจังหวัดกาญจนบุรี คนที่ไปท่องเที่ยวส่วนใหญ่คงนึกถึงน้ำตกแห่งต่างๆ ทั้งน้ำตกเอราวัณ น้ำตกไทรโยก น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น แต่สำหรับ review นี้ พวกเราจะขอฉีกแนวออกไป โดยเน้นการเที่ยวในบริเวณใกล้ที่พักหรือนั่งรถไปจากที่พักไม่ไกลมาก เนื่องจากมีเวลาค่อนข้างจำกัด แค่ 1 วันครึ่ง ซึ่งได้ไปทั้งหมด 6 สถานที่ ด้วยงบประมาณ 1200-1300 บาทเม่าออกรถ

               พวกเราเริ่มออกเดินทางจากสถานขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ(บรมราชชนนี) หรือที่รู้จักในชื่อ “สายใต้ใหม่” เวลาเที่ยง ด้วยรถตู้ราคาคนละ 100 บาท โดยรถจะออกทุกๆ 30 นาที (จริงเราควรจะได้ออกตั้งแต่ 11.30 น. แต่เพราะคนไม่เต็มรถตู้ คนขับเลยยังไม่ออก จนมีผู้โดยสารคนหนึ่งโวยวายว่าช้าแล้วลงจากรถไปเลยประหลาดใจ จากนั้นไม่เกิน 3 นาที คนขับก็ออกรถ ถือเป็นเหตุการณ์ตื่นเต้นก่อนเริ่มทริปกันเลยทีเดียว)   เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.15 ชั่วโมง ก็ถึงสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นเราก็เหมารถสองแถวคันสีส้มแสบตาไปยังที่พัก โดยตกลงราคาที่ 120 บาท ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
เพี้ยนแว๊น


พวกเราพักที่ “Bamboo House” ซึ่งได้จองไว้ล่วงหน้าผ่านเว็บไซด์ 2 หลัง หลังแรกเป็นบ้านพักอยู่ได้ 3 คน ราคารวมอาหารเช้า 625 บาท ส่วนอีกหลังเป็นแพอยู่ได้ 2 คน ไม่รวมอาหารเช้า 292 บาท อาหารเช้าราคา 100 บาท ซึ่งมองไปจะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำแควได้ชัดเจน อมยิ้ม36



พอเก็บสัมภาระที่ที่พักแล้ว พวกเราก็แวะทานข้าวกลางวัน เป็นร้านอาหารตามสั่งแถวที่พักคนละประมาณ 40-50 บาท จากนั้นก็เหมารถสองแถวคันเดิมไปยังที่เที่ยวแรก “ตลาดน้ำกองถ่ายฯ ค่ายสุรสีห์”


           บริเวณด้านหน้าจะมีร้านขายของที่ระลึก ร้านถ่ายภาพสำหรับคนที่อยากแต่งกายในชุดโบราณ สมัยอยุธยา และร้านขายอาหาร ขนม เครื่องดื่ม ส่วนภายในก็จะเป็นกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แม้จะดูทรุมโทรมไปพอสมควร แต่ยังคงความขลังและความอลังการเอาไว้ ทำให้รู้ว่าทีมงานการถ่ายทำต้องฝีมือดีมากที่ทำให้ภาพยนตร์ที่ฉายดูสมจริง เพราะสถานที่จริงดูเหมือนยังสร้างไม่เสร็จในบางส่วน มีวิทยากรอธิบายในบางจุดด้วย โดยค่าเข้า 100 บาท เพี้ยนออกทริป





ภาพสถาปัตยกรรมที่สวยงาม อันเป็นที่ถ่ายทำหนังประวัติศาสตร์ชาติไทย


          เมื่อเดินดูจนทั่ว เราก็กลับมายังที่พัก ล้างหน้าล้างตาและพักสายตา จากนั้นก็เดินไปยังตลาดเพื่อทานอาหารเย็น  เพี้ยนกินซึ่งอยู่ห่างจากที่พักประมาณ 3 กม.(ถามคนแถวนั้นตอนเดินไปบอก 2 กม. พอเดินไปสักพักใหญ่น่าจะเกิน 1 กม แล้วก็ถามคนแถวนั้นอีก เขาก็บอกอีก 2 กม กว่าจะถึงเจอคำว่า 2 กม ไปประมาณ 3 รอบได้หัวเราะ) พอทานข้าวเสร็จก็เดินดูของอีกสักพักก่อนจะนั่งรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างกลับ ถึงที่พักประมาณ 21.30 น. ไปอันหมดหนึ่งวันของการท่องเที่ยว เพี้ยนฝันดี


ภาพบรรยาการศของ Bamboo House ยามค่ำคืน ดูสงบและอบอุ่น.....

       เช้าวันถัดมา อากาศเย็นสบายดี เราทานอาหารเช้าที่ทางที่พักจัดเอาไว้ให้ จากนั้นเก็บของและ check out ออกจากที่พัก เพี้ยนออกทริป


                      สถานที่แรกของวันนี้คือ การเดินไปที่ “สะพานข้ามแม่น้ำแคว” สัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี สร้างในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 โดยการเกณฑ์เชลยศึกในฝ่ายสัมพันธมิตรมาสร้างทางรถไฟ เพื่อให้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ไปยังประเทศพม่าของกองทัพญี่ปุ่น



โดยบริเวณด้านนั้นจะมีรถไฟเครื่องจักรไอน้ำเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้วตั้งเอาไว้ให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จัก อมยิ้ม04 พวกเราเดินไปถ่ายรูปไปบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว


               และข้ามแม่น้ำไปยังสถานที่ถัดมา “วิหารพระโพธิสัตว์กวนอิม” ซึ่งมีรูปปั้นของพระโพธิสัตว์แม่กวนอิมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำ สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากสะพานข้ามแม่น้ำแคว ภายใต้เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม อมยิ้ม17


              จากนั้นเราก็เดินข้ามกลับมายังฝั่งเดิม และเดินต่อไปยัง “หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่2” เป็นสถานที่จัดแสดงสิ่งต่างๆ ที่หลงเหลืออยู่ในยุคที่เกิดสงครามโลกครั้งที่2 ทั้งอาวุธอย่างเช่น ปืน ดาบ เป็นต้น โรงศพ และกระดูกของผู้เสียชีวิต อยู่บริเวณอาคารชั้น1 ส่วนชั้นที่2 จะจัดแสดงพวกเสื้อผ้า หินและเครื่องประดับที่ทำมาจากหิน รูปภาพของนางสาวไทยในอดีตตั้งแต่คนแรกจำนวนกว่า 30 คน บริเวณผนังห้อง จากนั้นพวกเราเดินออกจากอาคารไปตามทางซึ่งมีทางลงไปชั้นล่างอีก ในส่วนนี้จัดแสดงมอเตอร์ไซด์ ชุดทหาร เก้าอี้ตัดผม รถขนเชลย และรูปปั้นแสดงเหตุการณ์การทรมานเชลย การสร้างทางรถไฟฟ้าสายมรณะจนมีเชลยล้มตายเป็นจำนวนมาก บางคนกล่าวว่า เชลยที่ตายจะถูกนำไปวางเป็นไม้หมองรองรางรถไฟ อมยิ้ม24ซึ่งจริงเท็จแค่ไหนก็ไม่อาจรู้ได้  ค่าเข้าที่แห่งนี้ถูกมากแค่ 40 บาท ช่วยบำรุงสถานที่ อมยิ้ม26





                   เมื่อเดินดูเสร็จเราก็เหมารถสองแถวเช่นเคยไปยังวัดอีก 2 แห่ง ซึ่งอยู่ในอำเภอท่าม่วง ในราคา 750 บาท วัดแรกที่ไปคือ “วัดบ้านถ้ำ” ซึ่งสิ่งแรกที่สะดุดตาคงนี้ไม่พ้นความสูงและชันของบันได้ทางขึ้นที่ทำเป็นรูปมังกร ประหลาดใจ


ด้านบนเป็นถ้ำที่ประดิษฐานหลวงพ่อชินราช ซึ่งเลียนแบบมาจากพระพุทธชินราชในจังหวัดพิษณุโลก (กว่าจะเดินถึง แทบลมจับกันเลยทีเดียว)



                จากนั้นเราก็นั่งรถต่อไปยังวัดแห่งที่สอง “วัดถ้ำเสือ” เสือซึ่งถือว่าเป็น Highlight ของทริปเลย จากความโดดเด่นของพระพุทธรูปขนาดใหญ่และสถาปัตยกรรมทรงแปลกตาที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกล เม่าอ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งวัดที่ท้าทายผู้มาท่องเที่ยวจากความสูงและชันของบันไดนาคที่ไม่แพ้วัดบ้านถ้ำเลย


           แต่ไม่ต้องกลัวสำหรับผู้ที่เดินขึ้นไม่ไหว เพราะจะมีรถรางไฟฟ้าคอยให้บริการอยู่ ค่าขึ้น 10 บาทเท่านั้น เยี่ยมเมื่อเดินไปถึงด้านบนสิ่งแรกที่พบคือ หลวงพ่อชินประทานพร พระพุทธรูปปางประทานพร ขนาดหน้าตักกว้าง 5 วา 3 ศอก 9 นิ้ว และมีความสูง 9 วา 9 นิ้ว บร๊ะเจ้าโจ๊ก  ซึ่งในทริปครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นบุญมาก เพราะตอนที่เราไปถึงกำลังมีพิธีการเปลี่ยนผ้าห่มพระของหลวงพ่อชินประทานพรพอดี ซึ่งการเปลี่ยนผ้าห่มพระ 20 ปีจะมีสักครั้งหนึ่ง




      
              พอทำพิธีเสร็จเราก็แยกย้ายกันไปไหว้พระและชมบริเวณโดยรอบ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้คือ พระเจดีย์เกษแก้วมหาปราสาท ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงอัฐมุข (เจดีย์ที่มีมุข 8 ด้าน เพื่อสือถึงการเผยแผ่ศาสนาทั้ง 8 ทิศ) สีส้มอิฐ สูง 9 ประหลาดใจ โชั้น มีบันไดวนขึ้นไป ดยในแต่ละชั้นจะประดิษฐานพระพุทธรูปต่างๆไว้ และบริเวณชั้นบนสุดมีการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากอินเดียให้ผู้คนมากราบไหว้สักการะ
เม่าหอยทาก

              เมื่อเสร็จเราก็เดินทางกลับมายังสถานีขนส่งผู้โดยสารเพื่อกลับบ้าน เม่าออกรถ เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้

****** ข้อแนะนำ สำหรับผู้ที่จะมาท่องเที่ยวในช่วงเดือน มี.ค – เม.ย ควรเตรียมอุปกรณ์ป้องกันแสงแดดให้พร้อม เพราะอากาศในช่วงนี้ร้อนมากๆ ในช่วงกลางวัน******เท่
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่