เพิ่งสารภาพกับคุณแม่ว่าเป็นกะเทย แต่ท่านไม่ยอมรับ

สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นเราขอแนะนำตัวนะคะ เราชื่อ P เราแอบเป็นกะเทยจริงๆ มาได้หลายปีแล้ว แต่เราเพิ่งเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ไม่นาน (หมายถึงการเปิดเผยตัวเอง) เราขออนุญาตเล่าเรื่องราวชีวิตเราคร่าวๆ ก่อนนะคะ

เราเป็นคนเหนือ อาศัยในจังหวัดเชียงใหม่ เราเกิดมาในครอบครัวที่ถูกอกถูกใจกับอาชีพข้าราชการ โดยเฉพาะทหาร ตำรวจ เป็นอย่างมากเลย แล้วทีนี้เนี่ย ถามว่าเมื่อก่อนเราชอบอาชีพพวกนี้ไหม เราบอกเลยว่าเคยชอบ เมื่อก่อนเรามีความฝันว่าอยากเป็นตำรวจ พ่อแม่เราเลยยิ่งสนับสนุน ให้เราเรียนโรงเรียนติวเกี่ยวกับเตรียมทหารเพื่อที่จะให้เราเข้าไปเรียนในแบบนั้นๆ ครอบครัวเรามีคุณตาเป็นเสาหลักของบ้าน แต่ท่านไม่ได้อยู่ร่วมกันนะคะ เพียงแค่ท่านมักเป็นคนคอยชี้แจงอะไรหลายๆ อย่าง ว่าให้เราทำแบบนี้นะ แบบนี้นะ เมื่อก่อนเราประทับใจมากที่มีคุณตาเป็นแบบนี้ คุณตาเคยเล่าว่าเมื่อก่อนท่านอยากเป็นตำรวจมาก แต่ติดที่ว่าไม่มีเงิน แล้วคุณทวดแกก็ไม่สนับสนุน ทำให้แกค่อนข้างฝากความหวังไว้ที่ลูกหลาน

เราเป็นหลานแท้ๆ ของคุณตา ซึ่งก่อนหน้านี้คุณตาแกส่งเสริมพี่ชายเรา แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องนะ จนตอนนี้พี่ชายเราก็เป็นทหารบกสมใจ แน่นอนว่าจุดหักเหของชีวิตเรามันเกี่ยวพันกับเรื่องพวกนี้ นั่นคือครอบครัวเราชอบอาชีพข้าราชการ เราจึงทำตามพวกเขามาโดยตลอด เมื่อก่อนเราปักใจเชื่อว่าตัวเองชอบอาชีพตำรวจจริงๆ แต่ที่ไหนได้ พอตอนเราขึ้น ม.4 ความคิดเรากลับเปลี่ยนไป ม.4 เราเริ่มเรียนโรงเรียนติว เราถึงได้รู้ว่ามันใช่บ้าง ไม่ใช่บ้างสำหรับเรา ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดถึงตัวเองเลยว่าจะดีเหรอที่ทำตามคำพ่อแม่ โดยไม่ห่วงความรู้สึกของตัวเอง เราทำไปเรื่อยๆ ตลอด 3 ปีที่ไปสอบ ปรากฏว่าเราติดปีสุดท้าย แต่เราก็สอบตกรอบสอง ตอนนั้นเราเสียใจจนเกือบฆ่าตัวตาย ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราเสียใจเพราะทำตามความฝันของพ่อแม่ไม่สำเร็จ หรือเสียใจเพราะอะไรกันแน่ ครอบครัวเราก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร ค่อนไปสอบนายสิบต่อก็ได้ เอ้า! เอาแล้วไง ทีนี้กลับมาถามตัวเองอีกครั้ง ว่าอยากกลับไปทางนั้นอีกรึเปล่า เราจึงตอบกับตัวเองว่าไม่แล้ว เราจะไม่มีวันกลับไป เพราะเรามีความฝันอื่นที่คิดว่าน่าจะใช่สำหรับตัวเอง (แม้ต้องลองผิดลองถูกอีกร้อยครั้ง ถ้าครั้งที่หนึ่งร้อยเอ็ดมันสำเร็จ ครั้งต่อๆ ไปมันก็ต้องสำเร็จไปเรื่อยๆ เราคิดแบบนี้มาตลอด)

ช่วงหลังจากเหตุการณ์ความพลั้งพลาดนั้นมา เราเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ เราค้นพบตัวเองเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ซึ่งเรารู้ว่ามันแตกต่างจากคนอื่นมาก เพราะคนที่จะเป็นกะเทยได้ต้องรู้ตัวตั้งแต่เด็ก แต่ถามว่าบุคลิกเราตั้งแต่เด็กเป็นคนยังไง บอกเลยว่าเรียบร้อยเหมือนผู้หญิง แถมเรายังเป็นคนไม่พูดคำหยาบด้วยค่ะ (อันนี้จริงๆ ไม่ได้โกหก เราไม่เคยพูดเลยสักครั้ง) ทำให้เพื่อนเราทุกคนดีกับเรามาก พูดไพเราะกับเราตลอด เวลาจะเรียกเราก็เรียกชื่อเล่น แล้วเขาก็มักแทนตัวเองว่า เรา ฉัน อะไรทำนองนี้ เรายิ่งนิสัยดีด้วยสิ นี่มันอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรารู้สึกถึงความอ่อนโยนลึกๆ เราเป็นคนที่ร้องไห้ง่าย เวลาเห็นอะไรเศร้าๆ หน่อยก็เป็นแบบนี้ตลอด เช่นเห็นหมาโดนรถชนนอนตายกลางถนน เราก็เก็บมาร้องไห้ หรือไม่ก็ดูหนังซึ้งๆ เราก็ร้องไห้ แต่ถามว่าเมื่อก่อนเคยคิดไหมว่าตัวเองเป็นตุ๊ด คิดค่ะ เคยคิดบ้าง แต่ไม่คิดว่าตอนโตจะเปลี่ยนไปขนาดนี้

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเราทนทุกข์ทรมานมาโดยตลอด เพราะครอบครัวเราไม่ยอมรับเพศที่สาม ท่านมักเหมารวมว่าพวกเพศที่สามเป็นพวกที่ไม่ดี ประสบความสำเร็จไม่ได้ ซึ่งเราแอบเคืองนิดๆ ทั้งที่พวกท่านก็เห็นว่าคนที่เป็นแบบนี้ส่วนมากก็สามารถประสบความสำเร็จได้กันทั้งนั้น มันอยู่ที่ตัวเอง ไม่ใช่อยู่ที่มุมมองของสังคมที่ตีแผ่อย่างนั้น เราดูแลตัวเองยิ่งกว่าผู้หญิง ถามว่าคุณแม่แอบสังหรณ์ใจบ้างไหมว่าเราเป็น เราคิดว่าเมื่อก่อนท่านก็แอบคิดบ้างแหละ แต่เหมือนท่านอยากให้เราพูดเองมากกว่า คุณแม่เราเป็นคนธรรมะธัมโม เข้าวัดเข้าวา นับถือเจ้าแม่กวนอิม ถามว่าเราเป็นอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า เราบอกเลยว่าเราก็เป็นเหมือนกัน คนอ่านอาจแปลกใจนะคะว่าเด็ก 19 มีเหรอที่จะนั่งสมาธิทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน บอกเลยว่าเราคนหนึ่งค่ะ เราปฏิบัติมานานแล้วเพราะคิดว่ามันจะทำให้ตัวเองมีความสุข ลืมความทุกข์อะไรได้บ้าง ซึ่งส่วนหนึ่งก็ช่วย แต่ก็ไม่พ้นกรรมที่จะต้องชดใช้อยู่ดี

เราเป็นคนผิวดำมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้ขาวมากเพราะดูแลตัวเองจัด เริ่มมาขาวตอนช่วง 2 ปีก่อน (แค่ไม่พึ่งพาสารเคมี เราเน้นธรรมชาติ) คนอื่นๆ เลยเริ่มแปลกใจ แล้วมองเราว่าเราเป็นเกย์ อาจเพราะตอนนั้นเราไว้ผมหน้าม้าด้วยล่ะมั้งคะ แถมเรายังเป็นคนหน้าหวานมาตั้งแต่เด็กด้วย ฉะนั้นพอเราเริ่มเทคยาคุมตอนอายุ 18 จนตอนนี้ 19 ปรากฏว่าโครงหน้าเราเปลี่ยน ตอนนี้เวลาเจอคนแปลกหน้าคนไหน โดยเฉพาะผู้ชาย เขามักจะมองเราแล้วก็ยิ้มให้ เราเข้าใจดีแบบไม่ต้องโมเมเองเลยว่าเขาก็คิดว่าเราเป็นผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่ง (ตอนนี้เราไว้ผมยาวเกือบถึงบ่าแล้ว) ส่วนคนรอบข้างที่รู้จักเราอยู่แล้วก็มองว่าเราเป็นกะเทยไปแล้ว ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาเราก็ไม่เคยปฏิเสธว่าเราเป็นสักครั้ง มีแต่ต่อหน้าพ่อแม่ และครอบครัวที่เรายังต้องแอ๊บแมนอยู่ มันทรมานมากๆ เลยค่ะ แต่เราก็เข้าใจอยู่หรอกว่าชะตากรรมของคนที่ต้องเป็นแบบนี้มันหาการยอมรับจากครอบครัวค่อนข้างยาก

วันนี้มันเป็นจังหวะเหมาะเหม็งมากที่เราสารภาพกับคุณแม่ เราก็ไม่เข้าใจว่าจู่ๆ มันวกมาเรื่องเพศที่สามได้ยังไง เราจำได้ว่าตอนแรกเรานวดมือนวดเท้าให้คุณแม่ เพราะท่านบ่นว่ามันชา เรานวดไปเรื่อยๆ ก็ชวนคุยนั่นนี่ จนกระทั่งท่านเล่าว่าชีวิตท่านอยากแสวงหาความสุขที่แท้จริง อยากเห็น 'ลูกชาย' มีหน้ามีตาในสังคม (ท่านอยากให้เรารีบสอบติดนั่นแหละ) ท่านก็พร่ำพรรณนาเรื่อยเปื่อย จนจู่ๆ เรากลับน้ำตาตก เรานอนคุยกับท่านอยู่ในท่าศอกเท้าหมอน น้ำตาเราก็หยดลงจนหมอนมันเปียกชุ่มไปหมด คุณแม่ท่านรู้อยู่แล้วว่าเราร้องไห้เพราะอะไร จนมันวกเข้ามาเรื่องสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ ท่านบอกว่าถ้าเราเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่ต้องมาพูดอะไรกับท่าน ท่านบอกว่าถ้าพ่อแม่ฆ่าตัวตายก็ไม่ต้องถามสาเหตุเลยว่าเป็นเพราะใคร

เรานี่ร้องไห้ชนิดที่แบบเสียใจมาก เราไม่เข้าใจว่าเราทำผิดอะไร เราเป็นแบบนี้มันผิดตรงไหน เราก็ถามท่านว่าทำไมต้องคิดแบบนั้นด้วย ถ้าคิดแบบนั้นเราก็ไม่มีความสุข ถึงบีบบังคับให้เรากลับไปเป็นผู้ชายเหมือนเดิมมันก็กลับไปไม่ได้แล้ว มันเป็นไปแล้ว ท่านก็ยังจะปฏิเสธบอกว่าเราทำแบบนี้มันไม่ใช่ แล้วยังหาว่าเราทำไปเพราะเราไม่อยากเป็นตำรวจเป็นทหาร หรือไปเกณฑ์ทหารในอีก 2 ปีข้างหน้า ข้อนี้เรายอมรับว่าจริง แต่แค่ส่วนหนึ่ง เราไม่อยากเป็นจริงๆ เพราะมันเป็นอาชีพที่เราทำไม่ไหว ยังไงก็ไปไม่ไหว เราบอบบาง เราอ่อนไหว เราทำไม่ได้ ในเมื่อเราจิตใจเป็นหญิงไปแล้ว เราก็ร้องไห้โดยไม่มีเสียงสะอื้นแบบนั้น ตอนนั้นเราคิดละว่าเราจะห่วงความรู้สึกใครดี พ่อแม่ หรือตัวเอง ตอนแรกเราว่าเราห่วงความรู้สึกพ่อแม่ แต่มันทำได้แค่ครึ่งเดียว คือเราคิดว่าเราก็เป็นคนดีของสังคมคนเดิม เป็นลูกกตัญญูของท่าน ถึงรสนิยมมันจะเปลี่ยนแปลงไป แต่เรายืนยันว่าความดีไม่เคยหายไปจากหัวใจเรา

เพราะงั้นเราถึงเลือกตัวเองดีกว่า เราตัดสินใจลุกออกจากตรงนั้น ปาดน้ำตาออกจากแก้มแล้วบอกกับท่านว่าวันข้างหน้าเราจะเป็นยังไงขอให้ท่านยอมรับเราให้ได้ เรากลับไปเป็นผู้ชายเต็มร้อยไม่ได้อีกแล้ว เราจะเดินหน้าก้าวตามความฝันของตัวเองต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีขวากหนามคือครอบครัวที่ขวางกั้นเราอยู่ แล้วเราก็ขอโทษท่าน บอกว่าเราสารภาพออกไปหมดแล้วนะ แล้วเราก็เดินเข้าห้องไปร้องไห้ต่ออีกสักพัก เราถึงได้ตัดสินใจมาตั้งกระทู้นี้ ทั้งๆ ที่เราควรทำงานต่อ งานที่เราต้องทำให้สำเร็จเพื่อพิสูจน์ให้พวกท่านรู้ว่าเป็นแบบนี้ก็ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน แต่คืนนี้เราไม่ไหวแล้วจริงๆ เราสะเลือนใจมากกับคำพูดของท่าน ตอนนี้คุณพ่อยังไม่รู้หรอก แต่คุณแม่บอกว่าถ้าท่านรู้ ท่านจะกินยาฆ่าตัวตายแน่นอน เราก็ยิ่งคิดหนักเข้าไปใหญ่

เราเข้าใจสถานการณ์ชีวิตตัวเองตอนนี้บ้างแล้วล่ะ สิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือมีสติ ร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว มีเพียงการทำให้พวกเขายอมรับในตัวเรา นั่นคือต้องทำตามความฝันให้สำเร็จ ทำให้พวกท่านรู้ว่าเราอยู่รอดได้ด้วยตัวเอง อาจจะต้องพึ่งพาความเข้าใจของครอบครัวบ้าง แต่ทำไงได้ล่ะเนอะ ในเมื่อพวกเขายังไม่ยอมรับเราเลย ที่เรามาตั้งกระทู้เพราะตอนนี้เรามืดมนมาก คลำหาแสงสว่างปลายทางไม่เห็นจริงๆ เราเลยอยากปรึกษาชาวพันทิปว่าเราควรทำยังไงต่อไปดี ตอนนี้สิ่งที่เราอยากทำคือเปิดเผยกับสังคมให้รู้ว่าเราเป็นแบบนี้นะ แต่ใจหนึ่งก็กลัวครอบครัวจะยิ่งผิดหวังเข้าไปใหญ่ ตอนนี้เรายิ่งแหกกฎพวกเขาสารพัดสารพัน ทั้งไว้ผมยาว ไว้เล็บ กินยาคุม (อันนี้พวกท่านยังไม่รู้ เราแอบกิน) แล้วก็วางแผนต่อว่าถ้าสิ่งนี้สำเร็จ เราจะเก็บตังค์ไปทำนมด้วย เพื่อนๆ คิดว่ายังไงกันบ้างคะ ใครมีอะไรแนะนำ หรือใครที่ประสบปัญหาแบบเดียวกันกับเรานี้มาก่อน ช่วยเสนอหน่อยนะคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่