ต่อให้อยู่คนละฟากฟ้า ใครจะไปรู้ว่าพรหมลิขิตจะนำทางให้เขาและเธอได้มาเจอกัน...และต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป
ตัวละคร
1. ข้าว สาววัยใส
2. อเล็กซ์ หนุ่มดัชต์ ลูกครึ่งไทย-ฮอลแลนด์
3.กวาง เพื่อนสนิทของข้าว
4. เอโด้ แฟนหนุ่มของกวาง
ตอนที่ 1
ก้าวแห่งฝัน
ขณะนี้เวลา 01.35 น. ของวันที่ 2 พฤษภาคม อีกไม่กี่นาทีเครื่องบินก็จะออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบิน Schiffpol Airport (สคอฟโพลแอร์พอต) กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ฮอลแลนด์ แล้ว ข้าวตื่นเต้นกับการเดินทางขึ้นเครื่องบินนี้ครั้งนี้เป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นการเดินทางด้วยเครื่องบินเป็นครั้งแรก เริ่มตั้งแต่การ check in ที่เคาน์เตอร์ผู้โดยสารขาออก ข้าวก็เข้าคิวเป็นคนแรกถึงแม้จะต้องยืนรอนานเป็นชั่วโมงกว่าพนักงานภาคพื้นดินจะเปิดเคาน์เตอร์บริการ ข้าวก็ยอมหรืออีกนัยหนึ่งคือไม่รู้ว่าจะนานขนาดนี้ ซึ่งแน่นอนที่นั่งริมหน้าต่างเป็นที่ที่นักเดินทางหน้าใหม่อย่างข้าวถวิลหาเป็นยิ่งนัก ปุยเมฆสีขาวเป็นเป้าหมายที่ข้าวอยากเห็นมากที่สุด หลังจาก check in และร่ำลาพ่อแม่และเพื่อน ๆ ที่มาส่งเสร็จ ข้าวก็เดินตรงเข้าสู่ห้องพักผู้โดยสารขาออกและรอเวลาประกาศขึ้นเครื่อง เมื่อได้ยินเสียงประกาศของสายการบินให้ขึ้นเครื่องได้ข้าวก็ไม่พลาดที่เดินเข้าไปเป็นคนแรก ๆ อีกตามเคย แต่ก่อนจะเดินผ่านอุโมงค์งวงช้างเพื่อขึ้นเครื่องจะมีพนักงานตรวจตั๋วของผู้โดยสารทุกคน และด้วยความเป็นสาวมั่นซึ่งไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นการเดินทางครั้งแรก ข้าวจึงไม่รั้งรอที่จะลุกเดินตรงไปที่พนักงานตรวจตั๋วเป็นคนแรกอีกตามเคย แต่สิ่งที่ข้าวไม่คาดฝันและทำให้ข้าวเสียฟอร์มสุด ๆ ก็คือเสียงของผู้ชายที่เป็นพนักงานตรวจตั๋วคนหนึ่งพูดว่า
“ขอโทษนะครับ เราให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งขึ้นก่อนครับ”
“เหรอค่ะ ขอโทษค่ะ” ข้าวเสียงจ๋อย หน้าแดงเหมือนลูกตำลึงสุก รับตั๋วคืนแล้วยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าเคาน์เตอร์เพราะไม่กล้าพอที่จะเดินกลับไปนั่งรอที่เดิม ผู้โดยสารชั้นหนึ่งหลายคนเดินผ่านข้าวไปแต่ละคนไม่ใส่สูทก็ใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งนั้น ข้าวก้มมองเสื้อผ้าตัวเองซึ่งดูยังไงก็ไม่เหมือนเป็นผู้โดยสารชั้นหนึ่งเอาเสียเลย ข้าวยืนรออยู่ประมาณสิบนาทีพนักงานตรวจตั๋วคนเดิมก็เรียกข้าว
“เชิญครับ” พนักงานตรวจตั๋วคนเดิมยิ้มแล้วยื่นมือออกมารับตั๋วจากข้าว ข้าวจึงเป็นผู้โดยสารชั้นประหยัดคนแรกที่เดินขึ้นเครื่องตามที่ตั้งใจไว้
“ขอบคุณค่ะ” ข้าวตอบแต่ไม่กล้ามองหน้า
หลังจากได้ที่นั่งตามตั๋วแล้วข้าวก็นั่งมองนาฬิกาซึ่งยังเหลือเวลาอีกพอสมควรกว่าเครื่องจะขึ้น ข้าวมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งยังมืดอยู่มาก ช่วงเวลาว่าง ๆ ทำให้ข้าวอดนึกถึงเหตุการณ์ความประทับใจในวัยเด็กที่ย้อนกลับมาเตือนความทรงจำไม่ได้ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ข้าวต้องออกเดินทางครั้งนี้
“แม่ค่ะ หนูขออนุญาตไปเล่นบ้านกวางนะค่ะแม่” ข้าวขออนุญาตแม่เป็นประจำทุกวัน
“อย่าไปนานล่ะ รีบกลับมากินข้าวเย็นก่อนหกโมงนะลูก” คุณแม่พิศมัยก็อนุญาตเป็นประจำทุกวันเหมือนกัน
“ค่ะแม่” ข้าวตอบอย่างไม่ต้องคิด และก็ทุกวันที่คุณแม่พิศมัยต้องไปตามมาทานข้าวเย็น
ความผูกพันธ์ของข้าวกับกวางถูกกาลเวลาผูกทั้งสองไว้ด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว หลายต่อหลายเหตุการณ์ที่ข้าวกับกวางร่วมผจญภัยมาด้วยกันมีทั้งเสียงหัวเราะสนุกสนาน ร้องไห้เสียน้ำตา และรอยไม้เรียวที่ถูกแม่ตี แต่เราสองคนก็ไม่เคยหวั่น
“ข้าวทำไมเดินเท้าเปล่าล่ะ รองเท้าหายไปไหน” กวางเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะปกติข้าวจะมีนิสัยเป็นลูกคุณหนูไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือรองเท้าจะต้องเข้าชุดกันเสมอ
“คือว่า... ข้าวเดินไปซื้อไอติมที่ร้านเจ๊กไล้ ขากลับเจอแก้วกับพวก พวกมันบอกว่ารองเท้าข้าวสวยดีขอยืมไปใส่หน่อย” ข้าวพูดด้วยน้ำเสียงติด ๆ ก้มหน้ามองเท้าตัวเองอย่างเศร้าใจ
“แล้วไปให้เขายืมทำไม นางแก้วนะมันไม่คืนหรอก แหมนางนี่ร้ายจริง ๆ “ กวางโมโหแทนเพื่อน
“ก็แก้วมันมากันหลายคน แล้วมันก็ผลักข้าวด้วย” ข้าวเล่าต่อ
“โอ๊ย!!! แล้วทำไมไม่สู้ล่ะ ทีอยู่กับกวางไม่เห็นเคยกลัวเลย” กวางตะโกนเสียงดังกว่าเก่า
“ก็เวลาข้าวอยู่กับกวาง ข้าวก็ไม่กลัวใครไง มันเหมือนมีพลังมืดอยู่ด้านหลัง” ข้าวได้ทีแอบกัดกวางนิด ๆ
“นี่ข้าวหาว่าเราเป็นพลังมืดเหรอ” กวางย้อนถาม
“เปล่า” ข้าวส่ายหน้าแต่ยิ้มเป็นเลศนัย
“เอาเถอะ ๆ เราต้องรีบไปหานางแก้วกันก่อน...ก่อนที่มันจะกลับบ้าน” กวางพูดอย่างร้อนใจพร้อมถอดรองเท้าให้ข้าวใส่
“เอารองเท้าไปใส่จะได้วิ่งเร็ว ๆ ” กวางพูดไม่ทันขาดคำก็รีบจับมือข้าววิ่งอย่างเร็ว
“แล้วกวางล่ะ”ข้าวพูดอย่างเป็นห่วง กำลังจะยัดเท้าใส่ลงไปในรองเท้าแต่ยังไม่เสร็จก็ต้องเริ่มวิ่งเพราะกวางฉุดมือไป
“ไม่เป็นไรหรอก กวางวิ่งเท้าเปล่าเร็วกว่า” กวางวิ่งไปพูดไป
ทุกครั้งที่ข้าวไปมีเรื่อง...กวางจะออกรับและแก้ไขให้ข้าวเสมอ ซึ่งก็ทำให้ข้าวรู้สึกประทับใจในตัวกวางเหมือนเราเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ เราวิ่งไปได้สักพักก็เจอแก๊งของนางแก้วกำลังผลัดกันใส่รองเท้าของข้าวกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่หน้าร้านเจ๊กไล้
“เฮ้ยพวกเราดูซิว่าใครขี่ม้าสามศอกไปบอกนางกวาง” แก้วพูดอย่างเยาะเย้ย
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี คืนรองเท้าของข้าวมาซะดี ๆ อย่าให้ฉันต้องใช้กำลัง” กวางบอกด้วยเสียงหนักแน่นแต่ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงงานนี้นางแก้วมันต้องเละ
“อะไร รองเท้าใคร รองเท้ามันอยู่ที่ฉันมันก็ต้องเป็นของฉันซี่ จะคืนให้ได้ไง ใช่ไหมพวกเรา” แก้วลอยหน้าลอยตาพูดไปน้ำขุ่น ๆ และไม่ทันได้ตั้งตัว กวางก็เตะเข้าที่ท้องของแก้วก่อนทำให้แก้วล้มลงไปกองอยู่กับพื้น แล้วมวยคู่เด็ดก็เริ่มขึ้น แต่สู้กันได้ไม่นานเท่าไหร่ตัวกวางก็ทับอยู่บนตัวแก้วซะแล้ว แก้วนอนยอมแพ้อยู่ที่พื้น เพื่อน ๆ ของแก้วไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยสักคนเพราะกลัวจะมีสภาพเช่นเดียวกับแก้ว
“มีใครต้องการจะสู้กับฉันอีกไหม” กวางพูดอย่างฮึกเหิมกับชัยชนะเหนือแก้ว
เพื่อน ๆ ของแก้วส่ายหน้ากันเป็นแถว แก้วนอนหมดแรงอยู่ที่พื้น ส่วนเพื่อน ๆ ของแก้วก็ยืนมองดูกันเฉยเลย ทำให้แก้วต้องตะโกนใส่ว่า
“ยืนเฉยกันอยู่ได้ รีบมาพยุงฉันหน่อยซิว่ะ โอ๊ย...” เพื่อน ๆ ของแก้วรีบมาพยุงแก้วขึ้นมา แล้วพาแก้วเดินกะเผลก ๆ จากไป ทิ้งรองเท้าของข้าวไว้กับพื้นโดยไม่หันมามอง
“กวางเก่งมาก ๆ กวางเก่งจริง ๆ “ ข้าวตะโกนเป็นทำนองเพลงที่แต่งเองซ้ำหลายรอบพร้อมยกมือกวางอย่างนักมวยในทีวี
“ทีหลังไม่ต้องไปกลัวมัน โธ่เอ่ย..นึกว่าจะแน่” กวางพูดพลางก้มลงหยิบรองเท้าให้ข้าว
ตกตอนเย็นแม่ของแก้วก็เดินจูงมือแก้วมาที่บ้านกวางพูดโวยวายใหญ่โตให้ป้ากาญฟัง ส่วนป้ากาญกลับมาจากทำงานเหนื่อย ๆ ก็ไม่ยอมฟังลูก รีบไปหยิบไม้เรียวมาจัดการกับกวางพร้อมบ่นว่าต่าง ๆ นา ๆ ข้าวพยายามอธิบายให้ป้ากาญฟังแต่ป้ากาญบอกให้เงียบก่อน กวางเสียใจและร้องไห้ในความไม่ยุติธรรมของแม่วิ่งขึ้นห้องนอนแล้วปิดประตูเสียงดัง
“เออ...ป้ากาญค่ะ กวางเขาไม่ผิดนะค่ะ พวกนางแก้วมันเอารองเท้าข้าวไปก่อน” ข้าวพูดเสียงสั่นพร้อมน้ำตา ถึงข้าวจะไม่ได้ถูกตีด้วยแต่ทุกครั้งที่ป้ากาญตีกวาง ข้าวก็รู้สึกเหมือนเจ็บไปทั้งตัวเหมือนกัน
“ป้าเหนื่อยมากเลยข้าว กวางนะชอบใช้กำลัง ถ้าป้าไม่ขนาบไว้บ้างต่อไปมันจะต้องเป็นนักเลงแน่ ๆ ข้าวกลับบ้านไปก่อนนะ” ป้ากาญพูดอย่างเหนื่อยล้าทั้งจากงานและจากผลงานของลูกสาว
เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าวรีบวิ่งไปหากวางบนห้องนอน พร้อมกับร้องถามว่า
“กวางเป็นไงบ้าน ป้ากาญตีเจ็บไหม”
“ร่างกายนะเจ็บแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หายแต่เจ็บใจแล้วก็อายนางแก้วมันมากกว่า แม่นะแม่ ค่อยตีตอนนางแก้วมันกลับไปก่อนก็ไม่ได้” กวางพูดอย่างเคือง ๆ แม่
“โธ่เราก็เป็นห่วงนึกว่าเจ็บตัวมาก ทีแท้ก็เจ็บใจมากนี่เอง แต่ข้าวก็ต้องขอบใจกวางมากนะ ถ้าไม่ได้กวางแม่ก็คงตีข้าวเหมือนกัน ที่ไม่รู้จักรักษาของ” ข้าวพูดจากใจจริง
“อย่ามัวมาพูดอยู่เลย ไปเล่นขายของกันดีกว่า วันนี้กวางเป็นแม่ค้าบ้างนะ” กวางเปลี่ยนเรื่องแล้วฉุดมือข้าววิ่งลงจากบ้านอย่างเร็ว
“ก็ได้ข้าวยอมให้ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ แต่ข้าวขอขายน้ำได้ไหม” ข้าวพูดอ้อนวอนเพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นแม่ค้าสนุกกว่าเป็นคนซื้อเป็นไหน ๆ
“ข้าวก็เป็นอย่างนี้เรื่อยเลยชอบต่อรองทุกที ก็ได้ แต่ข้าวต้องมาซื้อของเราก่อนนะ” กวางใจอ่อน
เมื่อข้าวกับกวางเล่นขายของกันได้พักใหญ่ กวางจึงชวนไปเล่นน้ำที่หนองน้ำตื้น ๆ ใกล้บ้าน ซึ่งทั้งคู่ช่วยกันตั้งชื่อหนองน้ำนี้ว่า หนองสบาย เพราะเวลาอากาศร้อน ๆ ได้มาแช่น้ำที่นี่จะรู้สึกสบายทุกครั้งเลย เมื่อก่อนหนองน้ำนี้ไม่ได้ชื่อนี้หรอก ชื่อ หนองอีตุ๋ย ไม่รู้ว่าคนชื่อตุ๋ยเป็นคนขุดหรือเปล่านะ แต่ข้าวกับกวางก็ถือวิสาสะเปลี่ยนชื่อซะเลยเพราะชื่อเก่ามันไม่ค่อยเพราะ และก็เรียกชื่อนี้มาตลอด จนเพื่อน ๆ คนอื่นก็เอาไปเรียกบ้าง นานเข้าก็เป็นที่รู้จักกันทั่วหมู่บ้าน ที่หนองสบายส่วนใหญ่จะมีแต่เด็กผู้หญิงมาเล่นหรือไม่ก็เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่มากับแม่หรือพี่สาว ส่วนเด็กผู้ชายมักจะชอบไปกระโดนน้ำที่คลองใหญ่มากกว่า วันนี้ก็เป็นเหมือนทุก ๆ วัน เมื่อข้าวกับกวางมาถึงก็จะถอดรองเท้าไว้บนตลิ่งแล้วก็ลงมาเล่นน้ำเหมือนเคย แต่หลังจากเล่นน้ำกันไปได้พักใหญ่ ข้าวก็ทำหน้าตกใจแล้วเดินมาหากวาง
“กวาง! เงินข้าวจมน้ำ ห้าบาท” ข้าวกระซิบบอกกวางอย่างร้อนใจ เพราะกลัวคนอื่นรู้
“ก็บอกแล้วว่าให้เอาหนังยางมัดเอาไว้” กวางพูดอย่างหงุดหงิดเพราะเตือนแล้วไม่เชื่อแต่ก็รีบงมหาทันที แต่เนื่องจากใต้หนองน้ำมีแต่หินกับกรวดจึงทำให้การงมหาเหรียญไม่ใช่เรื่องง่าย เวลาผ่านไปจนคนอื่น ๆ ขึ้นจากน้ำแล้วกลับบ้านกันไปหมด
“สงสัยจะหาไม่เจอนะข้าว” กวางพูดอย่างหมดแรง
“เป็นเงินที่แม่ให้ไปซื้อผักบุ้งที่ร้านเจ๊กไล้ก่อนกลับบ้านซะด้วย” ข้าวพูดอย่างหมดหวังและกำลังจะร้องไห้
“มิน่าหล่ะ หน้างี้จ๋อยซีดไปเลย” กวางพูดประชดเมื่อรู้สาเหตุที่ข้าวซึม ๆ แล้วก็ก้มลงรีบหาต่อ
“กลับบ้านเถอะกวาง พระอาทิตย์จะตกแล้ว แค่โดนแม่ตีเอง” ข้าวพูดอย่างหมดหวัง แต่กวางยังพยายามหาอยู่
“ไม่น่าไปกินน้ำแข็งใสก่อนมาเล่นน้ำจนเงินหมดเลย จะได้ให้เงินข้าวแทน” กวางพยายามหาทางช่วย แต่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินอยู่แล้ว ในน้ำแทบมองอะไรไม่เห็นเลย ข้าวจึงเดินมาจับมือกวางขึ้นจากน้ำไปใส่รองเท้ากลับบ้าน
“เงิน!!!” กวางร้องตะโกนเสียงดังอย่างดีใจแล้วชี้ไปที่รองเท้าของข้าว “เงินอยู่บนรองเท้าข้าว”
“ใช่เงินจริง ๆ ด้วย” ข้าวก้มลงหยิบเงิน
“ข้าวไม่ถูกแม่ตีแล้ว ไชโย” ข้าวพูดด้วยความดีใจสุด ๆ
“แล้วมันมาอยู่นี่ได้ไง” กวางฉุดคิด
“อ๋อจำได้แล้ว... ข้าววางเอาไว้เองแหละ ก็ข้าวกลัวเงินมันจะหล่นน้ำ...ข้าวก็เลยวางไว้บนรองเท้า พอเล่นไปนาน ๆ ข้าวก็เลยลืมนึกว่าเงินอยู่ในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม ขอโทษนะกวาง” ข้าวพูดสำนึกผิด
“โธ่! กว่าจะคิดออก ให้เรางมหาในน้ำจนตัวจะเปื่อยอยู่แล้วเนี่ย” กวางพูดประชด
“ข้าวขอโทษนะ อ้าวขอโทษร้อยหนเลย” ข้าวไม่รู้จะหาคำไหนมาแก้ตัว
“งั้นเรารีบกลับบ้านดีกว่าเดี๋ยวแม่ว่าเอา แล้วค่อยแวะซื้อผักบุ้งที่ร้านเจ๊กไล้ทางกลับบ้านพอดี” กวางรีบใส่รองเท้า
"รักต่างฟ้า" โดย ก้านชบา เปิดตัวนักเขียนหน้าใหม่ (น่ารัก ฟิน จิกหมอน)
ตัวละคร
1. ข้าว สาววัยใส
2. อเล็กซ์ หนุ่มดัชต์ ลูกครึ่งไทย-ฮอลแลนด์
3.กวาง เพื่อนสนิทของข้าว
4. เอโด้ แฟนหนุ่มของกวาง
ตอนที่ 1
ก้าวแห่งฝัน
ขณะนี้เวลา 01.35 น. ของวันที่ 2 พฤษภาคม อีกไม่กี่นาทีเครื่องบินก็จะออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบิน Schiffpol Airport (สคอฟโพลแอร์พอต) กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ฮอลแลนด์ แล้ว ข้าวตื่นเต้นกับการเดินทางขึ้นเครื่องบินนี้ครั้งนี้เป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นการเดินทางด้วยเครื่องบินเป็นครั้งแรก เริ่มตั้งแต่การ check in ที่เคาน์เตอร์ผู้โดยสารขาออก ข้าวก็เข้าคิวเป็นคนแรกถึงแม้จะต้องยืนรอนานเป็นชั่วโมงกว่าพนักงานภาคพื้นดินจะเปิดเคาน์เตอร์บริการ ข้าวก็ยอมหรืออีกนัยหนึ่งคือไม่รู้ว่าจะนานขนาดนี้ ซึ่งแน่นอนที่นั่งริมหน้าต่างเป็นที่ที่นักเดินทางหน้าใหม่อย่างข้าวถวิลหาเป็นยิ่งนัก ปุยเมฆสีขาวเป็นเป้าหมายที่ข้าวอยากเห็นมากที่สุด หลังจาก check in และร่ำลาพ่อแม่และเพื่อน ๆ ที่มาส่งเสร็จ ข้าวก็เดินตรงเข้าสู่ห้องพักผู้โดยสารขาออกและรอเวลาประกาศขึ้นเครื่อง เมื่อได้ยินเสียงประกาศของสายการบินให้ขึ้นเครื่องได้ข้าวก็ไม่พลาดที่เดินเข้าไปเป็นคนแรก ๆ อีกตามเคย แต่ก่อนจะเดินผ่านอุโมงค์งวงช้างเพื่อขึ้นเครื่องจะมีพนักงานตรวจตั๋วของผู้โดยสารทุกคน และด้วยความเป็นสาวมั่นซึ่งไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นการเดินทางครั้งแรก ข้าวจึงไม่รั้งรอที่จะลุกเดินตรงไปที่พนักงานตรวจตั๋วเป็นคนแรกอีกตามเคย แต่สิ่งที่ข้าวไม่คาดฝันและทำให้ข้าวเสียฟอร์มสุด ๆ ก็คือเสียงของผู้ชายที่เป็นพนักงานตรวจตั๋วคนหนึ่งพูดว่า
“ขอโทษนะครับ เราให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งขึ้นก่อนครับ”
“เหรอค่ะ ขอโทษค่ะ” ข้าวเสียงจ๋อย หน้าแดงเหมือนลูกตำลึงสุก รับตั๋วคืนแล้วยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าเคาน์เตอร์เพราะไม่กล้าพอที่จะเดินกลับไปนั่งรอที่เดิม ผู้โดยสารชั้นหนึ่งหลายคนเดินผ่านข้าวไปแต่ละคนไม่ใส่สูทก็ใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งนั้น ข้าวก้มมองเสื้อผ้าตัวเองซึ่งดูยังไงก็ไม่เหมือนเป็นผู้โดยสารชั้นหนึ่งเอาเสียเลย ข้าวยืนรออยู่ประมาณสิบนาทีพนักงานตรวจตั๋วคนเดิมก็เรียกข้าว
“เชิญครับ” พนักงานตรวจตั๋วคนเดิมยิ้มแล้วยื่นมือออกมารับตั๋วจากข้าว ข้าวจึงเป็นผู้โดยสารชั้นประหยัดคนแรกที่เดินขึ้นเครื่องตามที่ตั้งใจไว้
“ขอบคุณค่ะ” ข้าวตอบแต่ไม่กล้ามองหน้า
หลังจากได้ที่นั่งตามตั๋วแล้วข้าวก็นั่งมองนาฬิกาซึ่งยังเหลือเวลาอีกพอสมควรกว่าเครื่องจะขึ้น ข้าวมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งยังมืดอยู่มาก ช่วงเวลาว่าง ๆ ทำให้ข้าวอดนึกถึงเหตุการณ์ความประทับใจในวัยเด็กที่ย้อนกลับมาเตือนความทรงจำไม่ได้ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ข้าวต้องออกเดินทางครั้งนี้
“แม่ค่ะ หนูขออนุญาตไปเล่นบ้านกวางนะค่ะแม่” ข้าวขออนุญาตแม่เป็นประจำทุกวัน
“อย่าไปนานล่ะ รีบกลับมากินข้าวเย็นก่อนหกโมงนะลูก” คุณแม่พิศมัยก็อนุญาตเป็นประจำทุกวันเหมือนกัน
“ค่ะแม่” ข้าวตอบอย่างไม่ต้องคิด และก็ทุกวันที่คุณแม่พิศมัยต้องไปตามมาทานข้าวเย็น
ความผูกพันธ์ของข้าวกับกวางถูกกาลเวลาผูกทั้งสองไว้ด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว หลายต่อหลายเหตุการณ์ที่ข้าวกับกวางร่วมผจญภัยมาด้วยกันมีทั้งเสียงหัวเราะสนุกสนาน ร้องไห้เสียน้ำตา และรอยไม้เรียวที่ถูกแม่ตี แต่เราสองคนก็ไม่เคยหวั่น
“ข้าวทำไมเดินเท้าเปล่าล่ะ รองเท้าหายไปไหน” กวางเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะปกติข้าวจะมีนิสัยเป็นลูกคุณหนูไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือรองเท้าจะต้องเข้าชุดกันเสมอ
“คือว่า... ข้าวเดินไปซื้อไอติมที่ร้านเจ๊กไล้ ขากลับเจอแก้วกับพวก พวกมันบอกว่ารองเท้าข้าวสวยดีขอยืมไปใส่หน่อย” ข้าวพูดด้วยน้ำเสียงติด ๆ ก้มหน้ามองเท้าตัวเองอย่างเศร้าใจ
“แล้วไปให้เขายืมทำไม นางแก้วนะมันไม่คืนหรอก แหมนางนี่ร้ายจริง ๆ “ กวางโมโหแทนเพื่อน
“ก็แก้วมันมากันหลายคน แล้วมันก็ผลักข้าวด้วย” ข้าวเล่าต่อ
“โอ๊ย!!! แล้วทำไมไม่สู้ล่ะ ทีอยู่กับกวางไม่เห็นเคยกลัวเลย” กวางตะโกนเสียงดังกว่าเก่า
“ก็เวลาข้าวอยู่กับกวาง ข้าวก็ไม่กลัวใครไง มันเหมือนมีพลังมืดอยู่ด้านหลัง” ข้าวได้ทีแอบกัดกวางนิด ๆ
“นี่ข้าวหาว่าเราเป็นพลังมืดเหรอ” กวางย้อนถาม
“เปล่า” ข้าวส่ายหน้าแต่ยิ้มเป็นเลศนัย
“เอาเถอะ ๆ เราต้องรีบไปหานางแก้วกันก่อน...ก่อนที่มันจะกลับบ้าน” กวางพูดอย่างร้อนใจพร้อมถอดรองเท้าให้ข้าวใส่
“เอารองเท้าไปใส่จะได้วิ่งเร็ว ๆ ” กวางพูดไม่ทันขาดคำก็รีบจับมือข้าววิ่งอย่างเร็ว
“แล้วกวางล่ะ”ข้าวพูดอย่างเป็นห่วง กำลังจะยัดเท้าใส่ลงไปในรองเท้าแต่ยังไม่เสร็จก็ต้องเริ่มวิ่งเพราะกวางฉุดมือไป
“ไม่เป็นไรหรอก กวางวิ่งเท้าเปล่าเร็วกว่า” กวางวิ่งไปพูดไป
ทุกครั้งที่ข้าวไปมีเรื่อง...กวางจะออกรับและแก้ไขให้ข้าวเสมอ ซึ่งก็ทำให้ข้าวรู้สึกประทับใจในตัวกวางเหมือนเราเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ เราวิ่งไปได้สักพักก็เจอแก๊งของนางแก้วกำลังผลัดกันใส่รองเท้าของข้าวกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่หน้าร้านเจ๊กไล้
“เฮ้ยพวกเราดูซิว่าใครขี่ม้าสามศอกไปบอกนางกวาง” แก้วพูดอย่างเยาะเย้ย
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี คืนรองเท้าของข้าวมาซะดี ๆ อย่าให้ฉันต้องใช้กำลัง” กวางบอกด้วยเสียงหนักแน่นแต่ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงงานนี้นางแก้วมันต้องเละ
“อะไร รองเท้าใคร รองเท้ามันอยู่ที่ฉันมันก็ต้องเป็นของฉันซี่ จะคืนให้ได้ไง ใช่ไหมพวกเรา” แก้วลอยหน้าลอยตาพูดไปน้ำขุ่น ๆ และไม่ทันได้ตั้งตัว กวางก็เตะเข้าที่ท้องของแก้วก่อนทำให้แก้วล้มลงไปกองอยู่กับพื้น แล้วมวยคู่เด็ดก็เริ่มขึ้น แต่สู้กันได้ไม่นานเท่าไหร่ตัวกวางก็ทับอยู่บนตัวแก้วซะแล้ว แก้วนอนยอมแพ้อยู่ที่พื้น เพื่อน ๆ ของแก้วไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยสักคนเพราะกลัวจะมีสภาพเช่นเดียวกับแก้ว
“มีใครต้องการจะสู้กับฉันอีกไหม” กวางพูดอย่างฮึกเหิมกับชัยชนะเหนือแก้ว
เพื่อน ๆ ของแก้วส่ายหน้ากันเป็นแถว แก้วนอนหมดแรงอยู่ที่พื้น ส่วนเพื่อน ๆ ของแก้วก็ยืนมองดูกันเฉยเลย ทำให้แก้วต้องตะโกนใส่ว่า
“ยืนเฉยกันอยู่ได้ รีบมาพยุงฉันหน่อยซิว่ะ โอ๊ย...” เพื่อน ๆ ของแก้วรีบมาพยุงแก้วขึ้นมา แล้วพาแก้วเดินกะเผลก ๆ จากไป ทิ้งรองเท้าของข้าวไว้กับพื้นโดยไม่หันมามอง
“กวางเก่งมาก ๆ กวางเก่งจริง ๆ “ ข้าวตะโกนเป็นทำนองเพลงที่แต่งเองซ้ำหลายรอบพร้อมยกมือกวางอย่างนักมวยในทีวี
“ทีหลังไม่ต้องไปกลัวมัน โธ่เอ่ย..นึกว่าจะแน่” กวางพูดพลางก้มลงหยิบรองเท้าให้ข้าว
ตกตอนเย็นแม่ของแก้วก็เดินจูงมือแก้วมาที่บ้านกวางพูดโวยวายใหญ่โตให้ป้ากาญฟัง ส่วนป้ากาญกลับมาจากทำงานเหนื่อย ๆ ก็ไม่ยอมฟังลูก รีบไปหยิบไม้เรียวมาจัดการกับกวางพร้อมบ่นว่าต่าง ๆ นา ๆ ข้าวพยายามอธิบายให้ป้ากาญฟังแต่ป้ากาญบอกให้เงียบก่อน กวางเสียใจและร้องไห้ในความไม่ยุติธรรมของแม่วิ่งขึ้นห้องนอนแล้วปิดประตูเสียงดัง
“เออ...ป้ากาญค่ะ กวางเขาไม่ผิดนะค่ะ พวกนางแก้วมันเอารองเท้าข้าวไปก่อน” ข้าวพูดเสียงสั่นพร้อมน้ำตา ถึงข้าวจะไม่ได้ถูกตีด้วยแต่ทุกครั้งที่ป้ากาญตีกวาง ข้าวก็รู้สึกเหมือนเจ็บไปทั้งตัวเหมือนกัน
“ป้าเหนื่อยมากเลยข้าว กวางนะชอบใช้กำลัง ถ้าป้าไม่ขนาบไว้บ้างต่อไปมันจะต้องเป็นนักเลงแน่ ๆ ข้าวกลับบ้านไปก่อนนะ” ป้ากาญพูดอย่างเหนื่อยล้าทั้งจากงานและจากผลงานของลูกสาว
เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าวรีบวิ่งไปหากวางบนห้องนอน พร้อมกับร้องถามว่า
“กวางเป็นไงบ้าน ป้ากาญตีเจ็บไหม”
“ร่างกายนะเจ็บแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หายแต่เจ็บใจแล้วก็อายนางแก้วมันมากกว่า แม่นะแม่ ค่อยตีตอนนางแก้วมันกลับไปก่อนก็ไม่ได้” กวางพูดอย่างเคือง ๆ แม่
“โธ่เราก็เป็นห่วงนึกว่าเจ็บตัวมาก ทีแท้ก็เจ็บใจมากนี่เอง แต่ข้าวก็ต้องขอบใจกวางมากนะ ถ้าไม่ได้กวางแม่ก็คงตีข้าวเหมือนกัน ที่ไม่รู้จักรักษาของ” ข้าวพูดจากใจจริง
“อย่ามัวมาพูดอยู่เลย ไปเล่นขายของกันดีกว่า วันนี้กวางเป็นแม่ค้าบ้างนะ” กวางเปลี่ยนเรื่องแล้วฉุดมือข้าววิ่งลงจากบ้านอย่างเร็ว
“ก็ได้ข้าวยอมให้ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ แต่ข้าวขอขายน้ำได้ไหม” ข้าวพูดอ้อนวอนเพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นแม่ค้าสนุกกว่าเป็นคนซื้อเป็นไหน ๆ
“ข้าวก็เป็นอย่างนี้เรื่อยเลยชอบต่อรองทุกที ก็ได้ แต่ข้าวต้องมาซื้อของเราก่อนนะ” กวางใจอ่อน
เมื่อข้าวกับกวางเล่นขายของกันได้พักใหญ่ กวางจึงชวนไปเล่นน้ำที่หนองน้ำตื้น ๆ ใกล้บ้าน ซึ่งทั้งคู่ช่วยกันตั้งชื่อหนองน้ำนี้ว่า หนองสบาย เพราะเวลาอากาศร้อน ๆ ได้มาแช่น้ำที่นี่จะรู้สึกสบายทุกครั้งเลย เมื่อก่อนหนองน้ำนี้ไม่ได้ชื่อนี้หรอก ชื่อ หนองอีตุ๋ย ไม่รู้ว่าคนชื่อตุ๋ยเป็นคนขุดหรือเปล่านะ แต่ข้าวกับกวางก็ถือวิสาสะเปลี่ยนชื่อซะเลยเพราะชื่อเก่ามันไม่ค่อยเพราะ และก็เรียกชื่อนี้มาตลอด จนเพื่อน ๆ คนอื่นก็เอาไปเรียกบ้าง นานเข้าก็เป็นที่รู้จักกันทั่วหมู่บ้าน ที่หนองสบายส่วนใหญ่จะมีแต่เด็กผู้หญิงมาเล่นหรือไม่ก็เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่มากับแม่หรือพี่สาว ส่วนเด็กผู้ชายมักจะชอบไปกระโดนน้ำที่คลองใหญ่มากกว่า วันนี้ก็เป็นเหมือนทุก ๆ วัน เมื่อข้าวกับกวางมาถึงก็จะถอดรองเท้าไว้บนตลิ่งแล้วก็ลงมาเล่นน้ำเหมือนเคย แต่หลังจากเล่นน้ำกันไปได้พักใหญ่ ข้าวก็ทำหน้าตกใจแล้วเดินมาหากวาง
“กวาง! เงินข้าวจมน้ำ ห้าบาท” ข้าวกระซิบบอกกวางอย่างร้อนใจ เพราะกลัวคนอื่นรู้
“ก็บอกแล้วว่าให้เอาหนังยางมัดเอาไว้” กวางพูดอย่างหงุดหงิดเพราะเตือนแล้วไม่เชื่อแต่ก็รีบงมหาทันที แต่เนื่องจากใต้หนองน้ำมีแต่หินกับกรวดจึงทำให้การงมหาเหรียญไม่ใช่เรื่องง่าย เวลาผ่านไปจนคนอื่น ๆ ขึ้นจากน้ำแล้วกลับบ้านกันไปหมด
“สงสัยจะหาไม่เจอนะข้าว” กวางพูดอย่างหมดแรง
“เป็นเงินที่แม่ให้ไปซื้อผักบุ้งที่ร้านเจ๊กไล้ก่อนกลับบ้านซะด้วย” ข้าวพูดอย่างหมดหวังและกำลังจะร้องไห้
“มิน่าหล่ะ หน้างี้จ๋อยซีดไปเลย” กวางพูดประชดเมื่อรู้สาเหตุที่ข้าวซึม ๆ แล้วก็ก้มลงรีบหาต่อ
“กลับบ้านเถอะกวาง พระอาทิตย์จะตกแล้ว แค่โดนแม่ตีเอง” ข้าวพูดอย่างหมดหวัง แต่กวางยังพยายามหาอยู่
“ไม่น่าไปกินน้ำแข็งใสก่อนมาเล่นน้ำจนเงินหมดเลย จะได้ให้เงินข้าวแทน” กวางพยายามหาทางช่วย แต่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินอยู่แล้ว ในน้ำแทบมองอะไรไม่เห็นเลย ข้าวจึงเดินมาจับมือกวางขึ้นจากน้ำไปใส่รองเท้ากลับบ้าน
“เงิน!!!” กวางร้องตะโกนเสียงดังอย่างดีใจแล้วชี้ไปที่รองเท้าของข้าว “เงินอยู่บนรองเท้าข้าว”
“ใช่เงินจริง ๆ ด้วย” ข้าวก้มลงหยิบเงิน
“ข้าวไม่ถูกแม่ตีแล้ว ไชโย” ข้าวพูดด้วยความดีใจสุด ๆ
“แล้วมันมาอยู่นี่ได้ไง” กวางฉุดคิด
“อ๋อจำได้แล้ว... ข้าววางเอาไว้เองแหละ ก็ข้าวกลัวเงินมันจะหล่นน้ำ...ข้าวก็เลยวางไว้บนรองเท้า พอเล่นไปนาน ๆ ข้าวก็เลยลืมนึกว่าเงินอยู่ในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม ขอโทษนะกวาง” ข้าวพูดสำนึกผิด
“โธ่! กว่าจะคิดออก ให้เรางมหาในน้ำจนตัวจะเปื่อยอยู่แล้วเนี่ย” กวางพูดประชด
“ข้าวขอโทษนะ อ้าวขอโทษร้อยหนเลย” ข้าวไม่รู้จะหาคำไหนมาแก้ตัว
“งั้นเรารีบกลับบ้านดีกว่าเดี๋ยวแม่ว่าเอา แล้วค่อยแวะซื้อผักบุ้งที่ร้านเจ๊กไล้ทางกลับบ้านพอดี” กวางรีบใส่รองเท้า