[CR] ยอมใจไปสิกขิม... #YOMJAIPAISIKKIM

การเดินทางนี้เริ่มต้นที่รุ่นน้องของเราสองคนได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาที่ศานตินิเกตัน ประเทศอินเดีย หลังจากนั้นไม่นานน้องรักขาลุยทั้งสองก็ท่องเที่ยวจนซะเกือบครบอินเดียซะแล้ว เหลือเพียงอีกสองทริปก่อนที่น้องจะเรียนจบ นั่นคือ

1. แคชเมียร์ เลห์-ลาดัก (ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน) เวลาที่น้องแนะนำคือช่วงเกือบปลายปี น้องไปแบบขึ้นเหนือสุดแล้วล่องเที่ยวมาเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงศานตินิเกตัน (อยากทำแบบนั้นบ้าง)

2. สิกขิม ลาชุง ดาร์จีลิ่ง (ใช้เวลาประมาณ อาทิตย์นิดๆ) เวลาที่น้องแนะนำคือช่วงประมาณมีนาคม - เมษายน เพราะเป็นฤดู Spring การเดินทางมีความปลอดภัย

     แน่นอนว่าเราเลือกทริปที่สอง ด้วยเวลาที่เหมาะสมกับเรา และเป็นสถานที่ๆ เราอยากไป ด้วยความเห็นส่วนตัวที่ว่าทริปแรกนั้นออกแนวแห้งแล้งไม่เขียวขจีไปเสียหน่อย (จากการดูกระทู้ในพันทิปนี่แหละครับ) ยอมใจและไปเรื่อยไม่ได้เป็นคนจำพวกเดินทางไปดินแดนอันไกลโพ้นเพื่อไปสัมผัสอากาศหนาวยะเยือก ไม่ได้รู้สึกว่าอากาศหนาวเย็นจำเป็นกับชีวิตมากมายขนาดนั้น สิ่งที่สำคัญสำหรับการเดินทางของเรา คือการไปเห็นชีวิต ชีวิตที่ว่านั้นคือการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องเชื่อมโยงไปกับศิลปวัฒนธรรม เครื่องแต่งกาย อาหาร เครืองดื่ม ภูมิประเทศ ฯลฯ

     Sikkim Trip ในครั้งนี้เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 08 - 15 เมษายน 2559



















ปล. ยอมใจและไปเรื่อยทำเอกสารแบบนี้ทุกครั้งครับ สนุกดี มีความรู้ติดตัวไปบ้าง จะได้ไม่ถูกใครเค้าหลอกเอาได้ง่ายๆ อีกทั้งมีกระดาษให้เราได้ขีดๆเขียนๆ นั่นโน่นนี่เพิ่มเติมอีกด้วยครับ... ขอบคุณรูปและเนื้อหาบางส่วนที่เราค้นหาก่อนการเดินทางจากทุกท่านที่ได้เดินทางไปก่อนเราด้วยนะครับ

วันที่ 7 เมษายน 2559 (เข้าคืนวันที่ 8) คืนที่ 1

     เรานั่งสายการบิน IndiGo ไฟลท์ตีสองถึงสนามบิน Netaji Subhas Chandra Bose International Airport ที่เมืองโกลกาตาประมาณตีสามนิดๆ (ใช้เวลาเดินทางอยู่บนฟ้าประมาณหนึ่งชั่วโมงเองครับ) สนามบินนี้มีชื่อเล่นหรือชื่อเก่าด้วยครับ น่ารักเชียว ชื่อว่า "Dum Dum Airport"



ชอบเพดานของสนามบินที่นี่มากครับ ดูเรียบ หรูหรา ปลอดภัย









     เวลาที่นี่ช้ากว่าบ้านเราชั่วโมงครึ่ง ระหว่างรอต่อเครื่องก็เดินเยี่ยมชมสนามบินนิดหน่อยครับ สนามบินถือว่าใหญ่โตมากครับ ความกว้างยาวน่าจะเท่าสุวรรณภูมิ แต่ด้านความลึกไม่เท่าครับ สนามบินที่นี่เข้าออกลำบากภายนอกภายในลำบากหน่อยนะครับ ต้องพกพาสปอร์ตและตั๋วแสดงการเดินทางทุกครั้ง แยกโซนจากด้านนอกด้วยการใช้ลิฟต์เท่านั้น ประตูเชื่อมโยงทุกประตูจะมีการล็อคเสมอ ดังนั้น ถ้ารักสบายไม่อยากผจญภัยในสนามบินก็นั่งๆ นอนๆ รอต่อเครื่องดีกว่าครับ แต่ถ้าเป็นสายถึงไหนถึงกันก็ลองเหมือนผมเลยครับ เดินสุดจากทางหนึ่งไปจนถึงอีกทางหนึ่งเพราะไม่รู้ว่าจะเข้าทางไหน ถามใครก็ไม่พูดด้วย แค่ทำท่าว่าเข้าทางนี้ไม่ได้ จนเจอลิฟต์ ก็เลยกดๆ ขึ้นไปแล้วค่อยว่ากัน

     ที่สนามบินมีฟรีไวไฟนะครับ แต่ต้องสามารถรับรหัส OTP ได้ ถึงสามารถจะเข้าสู่ระบบได้ (จะได้รับรหัสได้ยังไงในเมื่อต้องเปิด Airplane Mode? แล้วแต่เลยบังเอ๊ย...) และเล่นได้ครั้งละครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่เราก็พยายามอยู่พักนึงเพราะมีเวลาอยู่ในสนามบินเยอะ แต่ไม่สำเร็จ นอนกับเดินเล่นดีกว่าครับ



     การไปสิกขิมของเราๆ เลือกต่อเครื่องไปลงสนามบิน Bagdogra Airport ซึ่งเป็นสนามบินที่ใกล้กับรัฐสิกขิมมากที่สุด ถึงราวๆ เที่ยงครับ (ใช้เวลาบนฟ้าประมาณหนึ่งชั่วโมง) โดยมีน้องๆ นั่งรถไฟจากศานตินิเกตันมารอเรา พร้อมทั้งหารถแวนแอร์เย็นฉ่ำไว้ต้อนรับเราเพื่อเดินทางไปสู่เมืองกังต๊อก เมืองหลวงของรัฐสิกขิม (แพลนแรกเราก็คิดว่าน่าจะทดลองนั่งรถไฟ เพราะราคาน่าสนใจมาก ตกคนละไม่ถึงร้อย แต่ด้วยสัมภาระและอยากใช้เวลาอยู่กับเมืองให้ได้มากที่สุด เลยตกลงว่านั่งเครืองบินเถอะ พันนิดๆเอง ราคาไม่น่าเกลียด)







*หมายเหตุ*
SpiceJet​​ ให้น้ำหนักกระเป๋า 15 + 7
​​​IndiGo​​ ให้น้ำหนักกระเป๋า ​20​ + 7​
​ไม่ใช่แค่เพียงน้ำหนักที่ให้มากกว่า ในเรื่องของการบริการ ใจเราก็ไปที่ ​IndiGo มากกว่าครับ ​

     ก่อนการเดินทางน้องๆ ได้จัดแจงไกด์นำเที่ยวที่เพื่อนของน้องเคยใช้บริการและแนะนำไว้แล้ว ชื่อ "ตาหลุน" https://www.facebook.com/tarun.gurung ดีงามมากครับ หมายถึงนิสัยใจคอและการดูแล แนะนำเลยสำหรับพี่น้องชาวไทย เพราะตัวตาหลุนเองก็ดูสนิทชิดเชื้อกับนิสัยใจคอคนไทยอยู่ไม่น้อย อีกทั้งการเข้ารัฐสิกขิมนั้นต้องทำ Permit เพิ่ม และถ้าจะเข้าเขต North Sikkim ก็ต้องทำ Permit เพิ่มเติมอีก อีกทั้งต้องมีไกด์ท้องถิ่นและคนขับรถผู้ชำนาญเส้นทางพาไปเท่านั้น ดังนั้น เตรียมเอกสารให้พร้อมครับ ต่อรองราคาได้นะครับ ถ้าคุณไม่ได้อยากจะต้องให้ไกด์มาคอยดูแลในทุกเวลา



ระหว่างทางที่เราต้องผ่านเมือง Siliguri ซึ่งดูเป็นเขตเมืองทหาร เริ่มมีไร่ชาให้เห็นแล้วนะครับ



จากนั้นเราทุกคนก็เยลใส่พี่คนขับว่าหิวจริงๆ หิวจริงๆ หิวจริงๆ พี่เค้าก็พาเรามาแวะร้านที่ไม่มีเมนูให้เลือกครับ นั่งเฉยๆ เดี๋ยวอาหารมาเอง







วิวจากหน้าต่างของทางร้านครับ ยังดูแห้งๆ เราก็ยังอยู่ในช่วงจินตนาการอยู่ว่า หนทางข้างหน้ามันจะเป็นยังไงน้า อมยิ้ม11



ระหว่างทางครับก็ได้พบกับสะพานสีชมพูที่ตั้งใจอยากจะเห็นแต่ไม่ได้ข้ามไปครับ คนละทางกัน (The Coronation Bridge)



*หมายเหตุ*
1. สำเนาหน้า Visa
2. สำเนาหน้า Passport
3. รูปถ่าย
เอาไปเลยครับอย่างละ 10 10 10 เพราะจำเป็นต้องใช้และจู่ๆ บางทีบางครั้งก็มีขอเพิ่ม และการเข้าพักทุกโรงแรมมีการขอเอกสารเหล่านี้อยู่เสมอ... เตรียมไว้อุ่นใจเพื่อนร่วมเดินทางครับ ยิ้ม

     ทางเข้าสู่รัฐสิกขิมเรียกว่าด่านรังโปครับ ก็นำเอกสารทั้งหมดไปให้นาง นางก็จดๆ ตรวจๆ จากนั้นก็ผ่าน เดินทางต่อได้





*หมายเหตุ*
รัฐสิกขิมไม่อนุญาตให้สูบบุหรี่ในที่สาธารณะนะครับ เป็นกฎระเบียบของรัฐ ถ้าจะสูบก็เข้าไปสูบในอาหารบ้านเรือน หรือห้องสูบบุหรี่ที่มีอยู่ทั่วไปตามร้านรวงต่างๆ ห้องพักทุกห้องสูบบุหรี่ได้หมดครับ เนื่องจากนโยบายนี้ทำให้นักท่องเที่ยวก็ต้องเข้าไปสูบในที่พักอยู่ดี

     คืนแรกเราขอให้ตาหลุนหาที่พักให้เราก่อน ด้วยโจทย์ที่ว่าห้องละไม่เกิน 1,000 รูปี (เราได้มาในราคาคืนละ 600 รูปี/ห้อง) เพราะเราน่าจะถึงกังต๊อกช่วงหัวค่ำพอดี ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาในการพักผ่อน คืนแรกก็ควรจะแค่พักผ่อนนอนหลับให้เต็มอิ่ม โรงแรมที่ตาหลุนหาให้เราชื่อ "Hotel Palbheu" อยู่ Tibet Road ไม่ไกลจาก MG Marg Market ซึ่งเป็นถนนแหล่งรวมทุกสรรพสิ่งในกังต๊อกเอาไว้ทั้งหมด









     Hotel Palbheu ทางเข้าห้องจะต้องเดินลงไปชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นโดยส่วนมากทั้งเมืองเท่าที่เห็นนะครับ จะเป็นซอกหลืบลงไป ความสะอาดพอใช้ครับ มีไวไฟพอเล่นได้ มีเครืองทำน้ำอุ่นที่ต้องวอร์มเครื่อง 15 นาที แล้วบางทีรอแล้วก็ไม่อุ่นครับ โชคดีที่เราเป็นคนไม่ติดน้ำอุ่น กลัวน้ำหนาวมากมาย ก็พออาบได้ให้ร่างกายสดชื่น อากาศในเมืองหนาวใช้ได้เลยนะครับ ออกแนวเย็นยะเยือก









     ทำธุระส่วนตัวเสร็จในเวลาครึ่งชั่วโมงก็ออกไปหามื้อค่ำทานกันครับ ประมาณสองทุ่มครึ่งร้านรวงก็ปิดแทบจะหมดแล้ว เรามาหยุดหน้าร้านๆ นึงดูพอไหว เอาเหอะ หิวและอยากพักมากกว่า...











อาหารหลักตลอดการอยู่อินเดียของเราคือ...
1. เฉาเหมี่ยน Chow mein หรือก๋วยเตี๋ยวผัดแห้งเลือกเนื้อสัตว์ตามชอบ



2. ฉ็อปซุย Chop suey หรือราดหน้าหมี่กรอบซอสเปรี้ยวหวานใส่เนื้อสัตว์ตามชอบ



3. โมโม่ Momo มีทอดกับนึ่ง ถ้าทอดก็เหมือนเกี๊ยวซ่า ถ้านึ่งก็ลักษณะกึ่งๆ เสี่ยวหลงเปาแป้งหนานุ่ม



4. ไก่ทอดกระเที่ยม, ไก่ชิลลี่, ชิกเก้นวิงส์, ชิกเก้นโบนเลส ทั้งหมดนี้รสชาติออกเหมือนบอนชอนอยู่นะครับ แค่จัดจ้านกว่า แต่น่าทานและทานง่าย



     ที่เหลือนอกจากนี้ก็มีแกงแขก, โรตี, ข้าวผัด และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าไปกันเยอะๆ ก็ลองๆ ไปเหอะครับ อย่าระแวง ไม่อร่อยก็วาง ราคาไม่ได้แพงมากนัก กินกันคนละคำสองคำก็หมดแล้วสำหรับแกงอินเดีย

*หมายเหตุ*
เราคนไทยอย่าลืมน้ำจิ้มที่ใช่ของเราไปด้วยนะครับ เราเองพกไปมีซอสพริกศรีราชา, น้ำจิ้มสุกี้พันท้ายนรสิงห์, ซอสแม็กกี้, น้ำปลา, น้ำพริกแมงดา, น้ำพริกนรก และน้ำพริกหนุ่ม เหยาะนิดเหยาะหน่อยอร่อยขึ้นเยอะครับ

     กลับโรงแรมติดต่อตาหลุนให้มารับเอกสารสำหรับทำ Permit ตาหลุนจะไปทำให้เราในตอนเช้าก่อนที่จะมารับเราไปที่ท่ารถ เพื่อขึ้นรถจี๊ปไปสู่เมืองลาชุง
ชื่อสินค้า:   Sikkim,North Sikkim,India,Darjeeling
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่