หนังเรื่องสุดท้ายที่ผมได้ดูในโรงกับพ่อคือเรื่อง Men in Black เมื่อ 19 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมอายุประมาณ 15 ปีเห็นจะได้ ซึ่งก็ไม่ได้อายุเยอะมากอะไรซักเท่าไหร่ แต่สำหรับผมในตอนนั้นแล้ว ผมรู้สึกว่าผมนั้นปีกกล้าขาแข็งพอ ที่จะเลือกดูหนังอะไรก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องมีพ่อมายุ่งเกี่ยวด้วยอีกต่อไป ซึ่งจะว่าไปแล้ว การดูหนังกับพ่อมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรซักเท่าไหร่หรอก เว้นเสียแต่ว่าพ่อของผมเป็นทหารเรือ ที่ช่วงสมัยที่พ่อเป็นทหารหนุ่มๆนั้น พ่อต้องออกทะเลแล้วอยู่กับเสียงของเครื่องจักรเรือตลอดเวลา เลยทำให้หูของพ่อนั้นไม่ค่อยดี นั่นจึงทำให้พ่อเป็นห่วงสุขภาพหูของตัวเองและผู้อื่นมากเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นทุกครั้งที่ผมฟังเพลงจากหูฟัง พ่อก็มักจะมาเตือนว่าผมนั้นกำลังฟังเสียงเพลงดังเกินไปแล้วก็จะให้ผมเบาเสียงวอลลุ่มลง หรืออย่างเช่นตอนที่ผมนั่งดูหนังอยู่ที่บ้าน พ่อก็มักจะมาเบาเสียงทีวีของผมเสมอ ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งเล็กๆที่ค่อนข้างขัดใจวัยรุ่นอย่างผมในตอนนั้นอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่าการไปดูหนังกับพ่อ พ่อนั้นก็ต้องมีมาตราการพิเศษกับผม นั่นก็คือทุกครั้งก่อนดูหนังพ่อจะให้กระดาษทิชชู่ไว้ให้ผมอุดหู และทุกครั้งที่หนังมีเสียงดัง พ่อก็มักจะหันมาบอกผมให้เอานิ้วอุดหูเป็นระยะๆ ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลเล็กๆที่ทำให้เด็กวัยรุ่นอายุ 15 อยากไปดูหนังด้วยตัวของตัวเอง ผ่านไป 19 ปีจากหนังเรื่องสุดท้ายที่เคยดูกับพ่อ ผมเฝ้ารอหนังซักเรื่องที่จะเป็นหนังที่ดีที่พ่อจะสามารถดูได้ หนังซักเรื่องที่เป็นหนัง 3 มิติ และเป็นหนังที่สามารถปักหมุดเส้นขอบเขตของเทคนิคพิเศษใหม่ๆได้ และนั่นก็ทำให้ผมเลือกที่จะชวนพ่อดูหนังเรื่อง The Jungle Book
ความน่าเชื่อถือของหนังเรื่อง The Jungle Book นอกจากจะเป็นเรื่อง เมาคลีลูกหมาป่า ที่พ่อน่าจะเข้าถึงได้ไม่ยากแล้ว เทคนิคพิเศษและภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิคต่างๆภายใต้การกำกับของ Jon Favreau ที่เคยกำกับหนังอย่าง Iron Man 1 และ 2 ยังเป็นการลงทุนที่น่าเชื่อถือสำหรับการพาพ่อมาดูเทคนิคพิเศษ ที่เป็นตัวกำหนดนวตกรรมของวงการภาพยนตร์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น เสือดำพูดได้ หมียักษ์ร้องเพลง หรือก๊วนสิงสาราสัตว์ต่างๆในเรื่อง การถ่ายทำบนกรีนสกรีน หรือการแสดงด้วยตัวคนเดียวของหนูน้อย Neel Sethi ที่อายุเพียงแค่ 13 ปี ที่แสดงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นลงตัวจนผมสามารถบอกได้ว่าทุกวินาทีของหนังเรื่องนี้ไม่ทำให้ผมผิดหวังเลย ระหว่างที่ผมนั่งดูหนังอยู่ ผมก็ได้เหลือบไปมองพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นระยะๆ แน่นอนว่าพ่อของผมยังคงเอาทิชชู่อุดหูไว้ (ก่อนเข้าโรงพ่อยื่นข้อเสนอให้ผมอุดหูด้วย แต่ผมแก่พอที่จะปฏิเสธได้แล้ว) แต่สิ่งนึงที่ทำให้ผมแอบอมยิ้มอยู่ตลอดเวลาก็คือ ระหว่างที่พ่อดูหนังอยู่ พ่อมักจะลดแว่น 3 มิติลงมาเพื่อดูถึงความแตกต่างว่าหนังที่ดูอยู่มันกลายเป็นหนัง 3 มิติได้ยังไง ทำแบบนี้สลับไปสลับมาอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งทำให้ผมยิ้ม แอบหัวเราะ และใจพองโตอย่างบอกไม่ถูก หนังเรื่องนี้ถึงแม้ว่าอาจไม่ใช่หนังที่มีความเป็น 3 มิติมากซักเท่าไหร่ แต่ก็มากพอที่สร้างความประทับใจที่ดีต่อภาพต่างๆที่มีอยู่ได้ รวมไปถึงจังหวะของหนังและลำดับภาพต่างๆที่สนุก กระชับ ไม่ยืดเยื้อจนเกินไป จึงทำให้หนังเรื่องนี้เป็นตัวเลือกสำหรับความบันเทิง 1 ชั่วโมง 45 นาทีที่ไม่ทำให้ผิดหวังเลย
เมื่อหนังจบ ผมได้ถามพ่อว่าหนังสนุกไหม แน่นอนว่าพ่อได้ตอบมาพร้อมกับรอยยิ้มว่า “สนุก” ซึ่งก็เป็นอย่างที่ผมได้คิดไว้อย่างตั้งใจ (เพราะว่าก่อนหน้านี้เคยคิดๆไว้ว่าจะพาพ่อมาดู The Revenant ซึ่งผมมั่นใจว่าหมีใน The Revenant คงสร้างความประทับใจคนละแบบกับ บาลู ในเรื่อง The Jungle Book ที่เพิ่งดูไปเป็นแน่แท้) วันที่เราดูหนังกันนั้นเป็นวันแรกของวันสงกรานต์ ซึ่งเราต้องรอถึง 5 ชั่วโมงกว่าจะได้ดูหนังรอบ 3 มิติที่มีแค่รอบ 6 โมงเย็นกับรอบ 4 ทุ่มเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ได้ใช้เวลาระหว่างรออย่างคุ้มค่า เราได้กินข้าวด้วยกัน เดินเล่นในห้างอีเกียที่คนเยอะเป็นหนอน แล้วก็ดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย และพอเหนื่อยแล้วก็มานั่งร้านกาแฟ สั่งอะไรมาดื่มกินไปพร้อมๆกับสอนพ่อเล่นไลน์และเฟซบุคบนมือถือ จนในที่สุดก็ถึงเวลาดูหนัง ซึ่งก็ถือว่าเป็นหนึ่งวันเล็กๆที่เราได้ใช้เวลาร่วมกัน สำหรับคนอย่างผมที่นานๆทีจะได้อยู่กับพ่อนานๆ
ระหว่างที่เราเดินผ่านลานจอดรถเพื่อไปขึ้นรถกลับบ้าน พ่อได้ถามคำถามที่น่าจะเป็นคำถามที่คาใจพ่อมานาน พ่อถามผมว่า ...
“เขาใช้สัตว์จริงแสดงหรือเปล่า ?”
ผมนิ่งไป แล้วคิดในใจว่า นั่นสินะ
ผมจะอธิบายเรื่องเด็กคนเดียวที่วิ่งไปมาหน้าฉากสีเขียว กับคอมพิวเตอร์กราฟฟิคที่วาดทับลงไปบนโมชั่นแคปเจอร์ให้พ่อเข้าใจยังไงดีละเนี่ย ?
ฝาก blog ด้วยนะครับ :
https://nospoil.wordpress.com/
The Jungle Book กับการกลับมาดูหนังกับพ่อในรอบ 19 ปี
หนังเรื่องสุดท้ายที่ผมได้ดูในโรงกับพ่อคือเรื่อง Men in Black เมื่อ 19 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมอายุประมาณ 15 ปีเห็นจะได้ ซึ่งก็ไม่ได้อายุเยอะมากอะไรซักเท่าไหร่ แต่สำหรับผมในตอนนั้นแล้ว ผมรู้สึกว่าผมนั้นปีกกล้าขาแข็งพอ ที่จะเลือกดูหนังอะไรก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องมีพ่อมายุ่งเกี่ยวด้วยอีกต่อไป ซึ่งจะว่าไปแล้ว การดูหนังกับพ่อมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรซักเท่าไหร่หรอก เว้นเสียแต่ว่าพ่อของผมเป็นทหารเรือ ที่ช่วงสมัยที่พ่อเป็นทหารหนุ่มๆนั้น พ่อต้องออกทะเลแล้วอยู่กับเสียงของเครื่องจักรเรือตลอดเวลา เลยทำให้หูของพ่อนั้นไม่ค่อยดี นั่นจึงทำให้พ่อเป็นห่วงสุขภาพหูของตัวเองและผู้อื่นมากเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นทุกครั้งที่ผมฟังเพลงจากหูฟัง พ่อก็มักจะมาเตือนว่าผมนั้นกำลังฟังเสียงเพลงดังเกินไปแล้วก็จะให้ผมเบาเสียงวอลลุ่มลง หรืออย่างเช่นตอนที่ผมนั่งดูหนังอยู่ที่บ้าน พ่อก็มักจะมาเบาเสียงทีวีของผมเสมอ ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งเล็กๆที่ค่อนข้างขัดใจวัยรุ่นอย่างผมในตอนนั้นอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่าการไปดูหนังกับพ่อ พ่อนั้นก็ต้องมีมาตราการพิเศษกับผม นั่นก็คือทุกครั้งก่อนดูหนังพ่อจะให้กระดาษทิชชู่ไว้ให้ผมอุดหู และทุกครั้งที่หนังมีเสียงดัง พ่อก็มักจะหันมาบอกผมให้เอานิ้วอุดหูเป็นระยะๆ ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลเล็กๆที่ทำให้เด็กวัยรุ่นอายุ 15 อยากไปดูหนังด้วยตัวของตัวเอง ผ่านไป 19 ปีจากหนังเรื่องสุดท้ายที่เคยดูกับพ่อ ผมเฝ้ารอหนังซักเรื่องที่จะเป็นหนังที่ดีที่พ่อจะสามารถดูได้ หนังซักเรื่องที่เป็นหนัง 3 มิติ และเป็นหนังที่สามารถปักหมุดเส้นขอบเขตของเทคนิคพิเศษใหม่ๆได้ และนั่นก็ทำให้ผมเลือกที่จะชวนพ่อดูหนังเรื่อง The Jungle Book
ความน่าเชื่อถือของหนังเรื่อง The Jungle Book นอกจากจะเป็นเรื่อง เมาคลีลูกหมาป่า ที่พ่อน่าจะเข้าถึงได้ไม่ยากแล้ว เทคนิคพิเศษและภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิคต่างๆภายใต้การกำกับของ Jon Favreau ที่เคยกำกับหนังอย่าง Iron Man 1 และ 2 ยังเป็นการลงทุนที่น่าเชื่อถือสำหรับการพาพ่อมาดูเทคนิคพิเศษ ที่เป็นตัวกำหนดนวตกรรมของวงการภาพยนตร์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น เสือดำพูดได้ หมียักษ์ร้องเพลง หรือก๊วนสิงสาราสัตว์ต่างๆในเรื่อง การถ่ายทำบนกรีนสกรีน หรือการแสดงด้วยตัวคนเดียวของหนูน้อย Neel Sethi ที่อายุเพียงแค่ 13 ปี ที่แสดงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นลงตัวจนผมสามารถบอกได้ว่าทุกวินาทีของหนังเรื่องนี้ไม่ทำให้ผมผิดหวังเลย ระหว่างที่ผมนั่งดูหนังอยู่ ผมก็ได้เหลือบไปมองพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นระยะๆ แน่นอนว่าพ่อของผมยังคงเอาทิชชู่อุดหูไว้ (ก่อนเข้าโรงพ่อยื่นข้อเสนอให้ผมอุดหูด้วย แต่ผมแก่พอที่จะปฏิเสธได้แล้ว) แต่สิ่งนึงที่ทำให้ผมแอบอมยิ้มอยู่ตลอดเวลาก็คือ ระหว่างที่พ่อดูหนังอยู่ พ่อมักจะลดแว่น 3 มิติลงมาเพื่อดูถึงความแตกต่างว่าหนังที่ดูอยู่มันกลายเป็นหนัง 3 มิติได้ยังไง ทำแบบนี้สลับไปสลับมาอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งทำให้ผมยิ้ม แอบหัวเราะ และใจพองโตอย่างบอกไม่ถูก หนังเรื่องนี้ถึงแม้ว่าอาจไม่ใช่หนังที่มีความเป็น 3 มิติมากซักเท่าไหร่ แต่ก็มากพอที่สร้างความประทับใจที่ดีต่อภาพต่างๆที่มีอยู่ได้ รวมไปถึงจังหวะของหนังและลำดับภาพต่างๆที่สนุก กระชับ ไม่ยืดเยื้อจนเกินไป จึงทำให้หนังเรื่องนี้เป็นตัวเลือกสำหรับความบันเทิง 1 ชั่วโมง 45 นาทีที่ไม่ทำให้ผิดหวังเลย
เมื่อหนังจบ ผมได้ถามพ่อว่าหนังสนุกไหม แน่นอนว่าพ่อได้ตอบมาพร้อมกับรอยยิ้มว่า “สนุก” ซึ่งก็เป็นอย่างที่ผมได้คิดไว้อย่างตั้งใจ (เพราะว่าก่อนหน้านี้เคยคิดๆไว้ว่าจะพาพ่อมาดู The Revenant ซึ่งผมมั่นใจว่าหมีใน The Revenant คงสร้างความประทับใจคนละแบบกับ บาลู ในเรื่อง The Jungle Book ที่เพิ่งดูไปเป็นแน่แท้) วันที่เราดูหนังกันนั้นเป็นวันแรกของวันสงกรานต์ ซึ่งเราต้องรอถึง 5 ชั่วโมงกว่าจะได้ดูหนังรอบ 3 มิติที่มีแค่รอบ 6 โมงเย็นกับรอบ 4 ทุ่มเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ได้ใช้เวลาระหว่างรออย่างคุ้มค่า เราได้กินข้าวด้วยกัน เดินเล่นในห้างอีเกียที่คนเยอะเป็นหนอน แล้วก็ดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย และพอเหนื่อยแล้วก็มานั่งร้านกาแฟ สั่งอะไรมาดื่มกินไปพร้อมๆกับสอนพ่อเล่นไลน์และเฟซบุคบนมือถือ จนในที่สุดก็ถึงเวลาดูหนัง ซึ่งก็ถือว่าเป็นหนึ่งวันเล็กๆที่เราได้ใช้เวลาร่วมกัน สำหรับคนอย่างผมที่นานๆทีจะได้อยู่กับพ่อนานๆ
ระหว่างที่เราเดินผ่านลานจอดรถเพื่อไปขึ้นรถกลับบ้าน พ่อได้ถามคำถามที่น่าจะเป็นคำถามที่คาใจพ่อมานาน พ่อถามผมว่า ...
“เขาใช้สัตว์จริงแสดงหรือเปล่า ?”
ผมนิ่งไป แล้วคิดในใจว่า นั่นสินะ
ผมจะอธิบายเรื่องเด็กคนเดียวที่วิ่งไปมาหน้าฉากสีเขียว กับคอมพิวเตอร์กราฟฟิคที่วาดทับลงไปบนโมชั่นแคปเจอร์ให้พ่อเข้าใจยังไงดีละเนี่ย ?
ฝาก blog ด้วยนะครับ : https://nospoil.wordpress.com/