เกิดเป็นกระแสขึ้นมาแป๊บนึง (ทำไมแค่แป๊บเดียว?) แต่ข้าพเจ้ามองว่ามันเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินทำประชามติเพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ให้มากที่สุดสำหรับงบประมาณและเวลาที่เสียไป กล่าวคือ ในเมื่อทุกฝ่ายอยากให้มีการเลือกตั้ง รธน จึงต้องคลอด และประชามติเป็นตัวตัดสิน แต่คำถามคาใจเกิดขึ้นตามมาหลายๆอย่างมากมาย ซึ่งทำให้การตัดสินใจไม่สามารถหาที่สิ้นสุดได้ หากไม่มีความชัดเจนเกิดขึ้น คิดว่าคนไทยหลายๆคน คงโยนเหรียญหน้าศาลพระภูมิกันเป็นว่าเล่น
สนช.ลงมติผ่านฉลุย 152-0 ชงคำถามพ่วงประชามติ ให้ ส.ว.โหวตนายกฯใน 5 ปีช่วงเปลี่ยนผ่าน ก่อนส่งคำถามไปยัง กกต.เพื่อทำประชามติต่อไป... (อ่านต่อ http://www.thairath.co.th/content/602720)
คำถามที่ว่าน่าจะออกมาในรูปนี้
เห็นด้วยหรือไม่ เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ
ควรกำหนดในบทเฉพาะกาลว่าระหว่าง 5 ปีแรก ตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้
ให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาเห็นชอบบุคคลสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ
แปลว่า ภายในระยะเวลา 5 ปี หลังจากการการเลือกตั้งครั้งแรก จะมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยการแต่งตั้ง โดยรัฐสภา ประกอบด้วย สส ที่ได้รับการเลือกตั้งทั้งหมด และสว ที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด
คำถามนี้ ก่อให้เกิดข้อสงสัยต่างๆดังนี้
1. หากผลการลงประชามติว่า เห็นด้วยกับการแต่งตั้งนรม
-
จะต้องใช้เสียงเท่าไหร่ในการประชุมรัฐสภา (สส + สว) ในการโหวดเห็นชอบบุคคลให้ดำรงตำแหน่งนรม
จาก มาตรา ๑๕๙
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๖๐ และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
การเสนอชื่อตามวรรคหนึ่งต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร บุคคลที่ได้รับการคัดเลือก ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร = 250 เสียง
แต่หากกระทำการตามคำถามพ่วง ต้องได้รับเสียงเท่าไหร่จาก 700 คนจากสองสภาร่วม? (สส 500 + สว 200)
-
จะถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อ รธน หรือไม่ เพราะรธนที่ร่างขึ้นมาให้กำหนดมิได้กำหนดหน้าที่ให้ สว มีส่วนในการลงคะแนนเลือกตั้ง นรม. เมื่อประกาศใช้ รธน ฉบับ 59 แล้ว สวจึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ในการเลือก นรม ตามรัฐธรรมนูญ ถึงแม้ว่า ประชามติ จะมีการให้สิทธิไว้ก็ตาม
ปล สว มีหน้าที่ร่วมลงคะแนนเสียงเพื่อยกเว้นการคัดสรรบุคคลตามมาตรา ๘๘ เท่านั้น
การลงคะแนนเลือกนรม ก็ยังไม่มีส่วนของ สว อยู่ดี
ส่วนใหญ่ ผู้ที่เห็นชอบกับร่าง รธนนี้ คือพวกที่ต้องการให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้มีการปกครองจากคณะบริหารที่มาจากเสียงประชาชนให้เร็วที่สุด เพื่อเรียกความเชื่อมั่น และการลงทุนให้กลับมาโดยเร็ว แต่หากส่อเค้ารางที่อาจจะทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งบานปลายอีกเกรงว่า หากมีการลงเสียง "ยอมรับร่างรธน 59" แล้ว คำถามพ่วงควรได้ข้อสรุปว่า "ไม่เห็นด้วย" เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซับซ้อนภายหลังจากการเลือกตั้งแล้ว ซึ่งจะเป็นการเสียเวลาและความพยายามโดยเปล่าประโยชน์ ที่จะเกิดคำถามพ่วงที่ไม่สามารถให้คำตอบชัดเจนได้ว่าจะมีคณะรัฐมนตรีได้หรือไม่
หากไม่เกิดความชัดเจนตรงนี้แล้ว แม้ประชามติจะผ่าน แต่สุดท้าย ก็ต้องเกิดปัญหาตามมาอีกเช่นเคย ฝากให้พิจารณา
อนึ่ง คำถามพ่วง ควรมีความหมายไปในทางหนึ่งทางใดที่จะตัดปัญหาทั้งปวง เช่น
เห็นด้วยหรือไม่ว่า หากผลประชามติมีข้อสรุปว่าไม่รับร่าง รธนแล้ว จะใช้ประกาศใช้ รธน 40 เพื่อเลือกตั้ง และให้คณะรมต จัดตั้งคณะร่าง รธน ขึ้นใหม่ตามแนวทางคณะปฏิรูปให้เสร็จภายในสองปี และทำการลงประชามติเพื่อเตรียมพร้อมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
รัฐบาลควรให้ความชัดเจนว่า "คำถามพ่วงประชามติมีไว้เพื่ออะไร" และจะ"ขจัด"ความขัดแย้งในตัวประชามติเองอย่างไร?
สนช.ลงมติผ่านฉลุย 152-0 ชงคำถามพ่วงประชามติ ให้ ส.ว.โหวตนายกฯใน 5 ปีช่วงเปลี่ยนผ่าน ก่อนส่งคำถามไปยัง กกต.เพื่อทำประชามติต่อไป... (อ่านต่อ http://www.thairath.co.th/content/602720)
คำถามที่ว่าน่าจะออกมาในรูปนี้
ควรกำหนดในบทเฉพาะกาลว่าระหว่าง 5 ปีแรก ตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้
ให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาเห็นชอบบุคคลสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ
แปลว่า ภายในระยะเวลา 5 ปี หลังจากการการเลือกตั้งครั้งแรก จะมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยการแต่งตั้ง โดยรัฐสภา ประกอบด้วย สส ที่ได้รับการเลือกตั้งทั้งหมด และสว ที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด
คำถามนี้ ก่อให้เกิดข้อสงสัยต่างๆดังนี้
1. หากผลการลงประชามติว่า เห็นด้วยกับการแต่งตั้งนรม
- จะต้องใช้เสียงเท่าไหร่ในการประชุมรัฐสภา (สส + สว) ในการโหวดเห็นชอบบุคคลให้ดำรงตำแหน่งนรม
จาก มาตรา ๑๕๙ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ บุคคลที่ได้รับการคัดเลือก ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร = 250 เสียง
แต่หากกระทำการตามคำถามพ่วง ต้องได้รับเสียงเท่าไหร่จาก 700 คนจากสองสภาร่วม? (สส 500 + สว 200)
- จะถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อ รธน หรือไม่ เพราะรธนที่ร่างขึ้นมาให้กำหนดมิได้กำหนดหน้าที่ให้ สว มีส่วนในการลงคะแนนเลือกตั้ง นรม. เมื่อประกาศใช้ รธน ฉบับ 59 แล้ว สวจึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ในการเลือก นรม ตามรัฐธรรมนูญ ถึงแม้ว่า ประชามติ จะมีการให้สิทธิไว้ก็ตาม
ปล สว มีหน้าที่ร่วมลงคะแนนเสียงเพื่อยกเว้นการคัดสรรบุคคลตามมาตรา ๘๘ เท่านั้น
การลงคะแนนเลือกนรม ก็ยังไม่มีส่วนของ สว อยู่ดี
ส่วนใหญ่ ผู้ที่เห็นชอบกับร่าง รธนนี้ คือพวกที่ต้องการให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้มีการปกครองจากคณะบริหารที่มาจากเสียงประชาชนให้เร็วที่สุด เพื่อเรียกความเชื่อมั่น และการลงทุนให้กลับมาโดยเร็ว แต่หากส่อเค้ารางที่อาจจะทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งบานปลายอีกเกรงว่า หากมีการลงเสียง "ยอมรับร่างรธน 59" แล้ว คำถามพ่วงควรได้ข้อสรุปว่า "ไม่เห็นด้วย" เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซับซ้อนภายหลังจากการเลือกตั้งแล้ว ซึ่งจะเป็นการเสียเวลาและความพยายามโดยเปล่าประโยชน์ ที่จะเกิดคำถามพ่วงที่ไม่สามารถให้คำตอบชัดเจนได้ว่าจะมีคณะรัฐมนตรีได้หรือไม่
หากไม่เกิดความชัดเจนตรงนี้แล้ว แม้ประชามติจะผ่าน แต่สุดท้าย ก็ต้องเกิดปัญหาตามมาอีกเช่นเคย ฝากให้พิจารณา
อนึ่ง คำถามพ่วง ควรมีความหมายไปในทางหนึ่งทางใดที่จะตัดปัญหาทั้งปวง เช่น
เห็นด้วยหรือไม่ว่า หากผลประชามติมีข้อสรุปว่าไม่รับร่าง รธนแล้ว จะใช้ประกาศใช้ รธน 40 เพื่อเลือกตั้ง และให้คณะรมต จัดตั้งคณะร่าง รธน ขึ้นใหม่ตามแนวทางคณะปฏิรูปให้เสร็จภายในสองปี และทำการลงประชามติเพื่อเตรียมพร้อมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป