คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
หวังว่าคุณเพื่อนจขกท.คงบรรลุนิติภาวะแล้ว เมื่อบรรลุนิติภาวะไม่ว่าทำอะไรจะผิดหรือถูกจะเซนต์เอกสารอะไรก็คือตัวเค้าคนเดียวใช่ไหมคะ?
คุณแม่เป็นผู้รับรู้ในฐานะแม่ของลูก(ถึงจะแม่แฟน ไม่เกี่ยวกับคุณ แต่เป็นคู่กับลูกเขาก็ต้องรับรู้เรื่องส่วนตัวด้วยกันนะคะ )ก็เท่านั้น
แต่ความรู้สึกเศร้า ทุกข์ใจ เสียใจ คนเป็นแม่มีมากกว่าแน่นอนค่ะ
1-ไม่บอกค่ะรับรอง เป็นกฏของทางโรงพยาบาล แต่คหสต.นะใจดิฉันคิดว่าถึงไม่มีกฏนี้ ก็ไม่มีใครอยากบอกค่ะ
งานเขาเยอะมากแทบไม่มีเวลาจะกินข้าวนะจะบอกให้ งานตรงหน้ามันเยอะมากจนจำแทบไม่ไหว ต้องจดกันตลอด
แค่งานที่ทำเขายังทำไม่ทัน ยังจะให้มาค้นข้อมูลบอกเหนื่อยเสียเวลามากและไม่ได้เงินค่ะ ค่าใช่จ่ายแต่ละเดือนเค้าไม่ใข่น้อยๆ
ถ้ามีคนมาขอถามข้อมูลคนไข้ วันละ10ราย งานไม่เดินค่ะ แค่ทำเรื่องส่งตัวคนไข้บางกรณียังรอเรื่องกันนาน เขาไม่พูดเรื่องคนไข้เป็นอะไรนี่
ก็คือมารยาทด้วย แล้วเขายังไม่สนใจด้วยค่ะ หน้าที่ของพวกเขาคือรักษาคนไข้ให้หายจบ หมอบางท่านแทบไม่ถามอะไร รีบตรวจรีบไป
2-ถ้าจำเป็นถึงเวลานั้นมันเป็นอีกเรื่องแล้วค่ะ มันเป็นเรื่องที่ต้องมานั่งคุยกันว่าทำอย่างไรที่จะเอาชีวิตไว้ เรื่องHIVจะกลายเป็นเล็กไปทันที
ในเวลานั้นการรักษาชีวิตไว้ หมออาจแค่ปรึกษาญาติว่าการรักษามีกี่ทาง อะไรยังไง เพราะเลือดมีปัญหาก็เท่านั้นค่ะ
3-ไม่ต้องทำสัญญาอะไร เพราะไม่มีกฏแบบนั้น มีแต่กฏของโรงพยาบาล พยาบาลและแพทย์ท่านมีจรรยาบรรณของแพทย์ค่ะ ไม่ใช่แค่HIV น่าจะทุกโรค แม้แต่แพทย์คนไข้โรตจิตหรือ ทันตแพทย์ ท่านจะไม่เอาเรื่องขอคนไข้ไปเปิดเผยค่ะ (ท่านคหที่2ระบุบุคลากรด้วยซ้ำซึ่งจริง)
ถ้าคุณจขกท.ไปเอ่ยปากข้อทำสัญญานี่เท่ากับไปดูถูกโรงพยาบาลทีเดียวค่ะ ย้ำวางใจได้ค่ะ เราทำงานเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวกฏคือ
ห้ามเอาออไปพูด ไปเล่า ไปบอกต่อ แล้วHIVนี่เรื่องสำคัญเขาไม่เปิดเผย แต่คุณแม่คุณคงรู้จากความสงสัยของเธอเอง จากยาที่พบ
บอกไปก็ได้ถ้าท่านถาม เป็นแล้วจะให้ทำไงดีล่ะ!!.... ทางที่ดีควรจะหาทางดูแลกัน จะว่าไปควรเห็นใจคุณแม่นะ แม่ใครมีลูกก็อยากให้ลูก
มีสุขภาพดี ปัจจุบันก็สามารถคุมอาการของโรคได้ดีระดับหนึ่ง คุยกับท่านดีๆค่ะ ปิดไว้ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นค่ะ
นอกจากค้าคาใจ ขนาดเข้าไปเจอยาในห้องนี่...คงสืบล่ะค่ะ เป็นดิฉันกดหาชื่อยาอ่านเลย อย่าปิดบังบอกๆไปแล้วสัญญากับคุณแม่ว่า
จะดูแลตัวเองให้ดี ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อ-แม่ค่ะ
คุณแม่เป็นผู้รับรู้ในฐานะแม่ของลูก(ถึงจะแม่แฟน ไม่เกี่ยวกับคุณ แต่เป็นคู่กับลูกเขาก็ต้องรับรู้เรื่องส่วนตัวด้วยกันนะคะ )ก็เท่านั้น
แต่ความรู้สึกเศร้า ทุกข์ใจ เสียใจ คนเป็นแม่มีมากกว่าแน่นอนค่ะ
1-ไม่บอกค่ะรับรอง เป็นกฏของทางโรงพยาบาล แต่คหสต.นะใจดิฉันคิดว่าถึงไม่มีกฏนี้ ก็ไม่มีใครอยากบอกค่ะ
งานเขาเยอะมากแทบไม่มีเวลาจะกินข้าวนะจะบอกให้ งานตรงหน้ามันเยอะมากจนจำแทบไม่ไหว ต้องจดกันตลอด
แค่งานที่ทำเขายังทำไม่ทัน ยังจะให้มาค้นข้อมูลบอกเหนื่อยเสียเวลามากและไม่ได้เงินค่ะ ค่าใช่จ่ายแต่ละเดือนเค้าไม่ใข่น้อยๆ
ถ้ามีคนมาขอถามข้อมูลคนไข้ วันละ10ราย งานไม่เดินค่ะ แค่ทำเรื่องส่งตัวคนไข้บางกรณียังรอเรื่องกันนาน เขาไม่พูดเรื่องคนไข้เป็นอะไรนี่
ก็คือมารยาทด้วย แล้วเขายังไม่สนใจด้วยค่ะ หน้าที่ของพวกเขาคือรักษาคนไข้ให้หายจบ หมอบางท่านแทบไม่ถามอะไร รีบตรวจรีบไป
2-ถ้าจำเป็นถึงเวลานั้นมันเป็นอีกเรื่องแล้วค่ะ มันเป็นเรื่องที่ต้องมานั่งคุยกันว่าทำอย่างไรที่จะเอาชีวิตไว้ เรื่องHIVจะกลายเป็นเล็กไปทันที
ในเวลานั้นการรักษาชีวิตไว้ หมออาจแค่ปรึกษาญาติว่าการรักษามีกี่ทาง อะไรยังไง เพราะเลือดมีปัญหาก็เท่านั้นค่ะ
3-ไม่ต้องทำสัญญาอะไร เพราะไม่มีกฏแบบนั้น มีแต่กฏของโรงพยาบาล พยาบาลและแพทย์ท่านมีจรรยาบรรณของแพทย์ค่ะ ไม่ใช่แค่HIV น่าจะทุกโรค แม้แต่แพทย์คนไข้โรตจิตหรือ ทันตแพทย์ ท่านจะไม่เอาเรื่องขอคนไข้ไปเปิดเผยค่ะ (ท่านคหที่2ระบุบุคลากรด้วยซ้ำซึ่งจริง)
ถ้าคุณจขกท.ไปเอ่ยปากข้อทำสัญญานี่เท่ากับไปดูถูกโรงพยาบาลทีเดียวค่ะ ย้ำวางใจได้ค่ะ เราทำงานเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวกฏคือ
ห้ามเอาออไปพูด ไปเล่า ไปบอกต่อ แล้วHIVนี่เรื่องสำคัญเขาไม่เปิดเผย แต่คุณแม่คุณคงรู้จากความสงสัยของเธอเอง จากยาที่พบ
บอกไปก็ได้ถ้าท่านถาม เป็นแล้วจะให้ทำไงดีล่ะ!!.... ทางที่ดีควรจะหาทางดูแลกัน จะว่าไปควรเห็นใจคุณแม่นะ แม่ใครมีลูกก็อยากให้ลูก
มีสุขภาพดี ปัจจุบันก็สามารถคุมอาการของโรคได้ดีระดับหนึ่ง คุยกับท่านดีๆค่ะ ปิดไว้ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นค่ะ
นอกจากค้าคาใจ ขนาดเข้าไปเจอยาในห้องนี่...คงสืบล่ะค่ะ เป็นดิฉันกดหาชื่อยาอ่านเลย อย่าปิดบังบอกๆไปแล้วสัญญากับคุณแม่ว่า
จะดูแลตัวเองให้ดี ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อ-แม่ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าทางโรงพยาบาลจะปิดความลับที่เราติดเชื้อ HIV ไว้ได้จริง ๆ
เลยมีคำถามดังนี้ครับ
1. ถ้าแม่เกิดโทรไปถามโรงพยาบาลจริง ๆ แล้วบอกว่าเป็นแม่ของคนไข้ และต้องการรู้ว่าลูกเป็นอะไร ทางโรงพยาบาลจะบอกความจริงหรือปล่าวครับ?
2. ถ้าเกิดเหตุที่เราป่วยหนักหรือประสบอุบัติเหตุ อย่างรุนแรงและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ สุดท้ายทางโรงพยาบาล จะบอกกับทางผู้ปกครองว่าเราติดเชื้อ HIV หรือปล่าวครับ?
3. เราสามารถทำข้อตกลง หรือสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร กับทางโรงพยาบาล ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้โดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นญาติ ๆ หรือพ่อแม่ แม้กระทั้งเราจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตามได้หรือปล่าวครับ?
ปล. สาเหตุที่ต้องซีเรียสขนาดนี้ก็เพราะว่าแฟนไม่ต้องการให้พ่อแม่ต้องมารับรู้เรื่องราวนี้แล้วเป็นทุกข์ใจ อยากให้เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นที่ตัวเค้าเอง ทุกข์ที่ตัวเค้าเองและจบไปพร้อมกับตัวเค้าเองครับ