เรื่องสั้น นักอ่าน-นักเขียน

นักอ่าน-นักเขียน

“ ทำไม ยิ้ม ชอบอ่านหนังสือนักล่ะ? ”  
“ คุณพูดไม่เพราะเลย ”
“ ทำไมคุณชอบอ่านหนังสือนักล่ะ ”
“ แล้วทำไมคุณชอบเขียนหนังสือนักล่ะ ”
“ อยากเขียน ”
“ ผมก็อยากอ่าน ”
“ กวนตีน ”
“ แน่ะ !  ทำไมคุณชอบพูดคำหยาบนักล่ะ ”
“ ผมชมคุณนะ ”
“ เหรอ  ขอบคุณมากครับ ”
“ ไม่เป็นไร ”
“ ทำไมคุณตั้งใจเรียนนักล่ะ ”
“ ผมเหรอ ! ก็เรียนปกติเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ ”
“ เข้าใจตอบนะ  ไม่เบื่อเหรอนั่งอยู่แต่ในห้อง  ฟังครูพูดทั้งวัน ”
“ ไม่เลยครับ  คุณก็น่าจะตั้งใจเรียนนะ ”
“ โดดเรียนไปทำอย่างอื่นไหม ”
“ นี่  ผมไม่ทำอย่างนี้เด็ดขาด ! ”
“ ทำไมล่ะ ”
“ ผมไม่เลวอย่างคุณนี่ ”
“ อ่ะ ! คุณพูดไม่เพราะ ”
“ ผมชมคุณต่างหากล่ะ ”
“ อ้อ  ขอบคุณครับ ”
“ นี่คุณไม่กลัวเรียนไม่จบจบเหรอ ”
“ ไม่เลยครับ ”
“ ทำไมไม่คิดถึงอนาคตล่ะ ”
“ ผมอยู่กับปัจจุบันมากกว่าครับ ”
“ งั้นคุณก็อยู่มันอย่างนี้ล่ะดีแล้ว ”
“ คุณไปห้องสมุดทุกวันเลยหรือ ”  
“ คุณเขียนหนังสือทุกวันเลยหรือ ”
“ ครับก่อนนอนน่ะ ”
“ ทำไมต้องเขียนตอนนอน ”
“ มันเงียบดี  มันทำให้ผมมีสมาธิมากครับ ”
“ นักเขียนที่ดีตัองสามารถเขียนได้ทุกที่ทุกสถานการณ์  คุณรู้ใช่ไหม ”
“ ก็ผมไม่ใช่นักเขียนนี่ครับ ”
“ แล้วคุณเขียนทำไม ”
“ อยากเขียนครับ ”
“ งั้นผมจะเรียกคุณว่านักอยากเขียน ”
“ ดีครับ  แต่ผมก็เขียนได้ทุกที่ทุกสถานการณ์เหมือนกันนะ ”
“ จริงหรือ ? ”
“ ผมเขียนได้หมดแหละ  ในห้องน้ำผมก็เขียนนะคุณ  มันเพลินดีครับ ”
“ สกปรก ”
“ คุณว่างานเขียนของผมสกปรกหรือ ”
“ คุณน่ะ  สกปรก ”
“ คุณชมใช่ไหม ”
“ ครับ  ผมชมคุณ ”
“ ผมไม่ขอบคุณคุณนะ  ไม่อยากพูดอะไรซ้ำไปซ้ำมา ”
“ ไม่เป็นไรครับ  ผมไม่ถือ ”
“ แน่ะ  ไม่ถือก็ตกสิครับ ”
“ คุณขำมากครับ  ผมเกือบจะหัวเราะมุกของคุณเลย  ดีครับผมชอบคนตลก ”
“ ผมไม่ใช่ตลก  ”
“ แต่คุณก็ปล่อยมุกได้ฮามากครับ ”
“ เหรอ  ไม่เคยมีใครขำมุกผมเลย ”
“ งั้นผมก็เป็นคนแรกน่ะสิ  ดีจริงๆ ”
“ คุณยังไม่บอกผมเลยทำไมคุณชอบอ่านหนังสือ ”
“ คุณจะรู้ไปทำไม ”
“ อย่ากวนเบื้องล่างผมสิครับ ”
“ คุณอยากรู้ไปทำไมหรือครับ ”
“ ผมเป็นนักอยากเขียน ”
“ มันเกี่ยวกับงานเขียนของคุณด้วยหรือ ”
“ มันเป็นวัตถุดิบ ”
“ ตกลง  คุณจะเป็นนัก(อยาก)เขียนหรือพ่อครัว ”
“ ตกลงผมเอาทั้งสองอย่าง  จะตอบผมได้หรือยังครับ ”
“ งั้น ผมขอคิดก่อน ”
“ อีกนานไหมครับ ”
“ คุณนี่ตื้อชะมัด  นี่คุณจะทำอะไรน่ะ ”
“ นั่งสมาธิ ! ”
“ ฮามากครับ  ผมหัวเราะจนท้องจะแตกตายอยู่แล้ว ”
“ เฮ้ย !  ตีนกระตุก ”
“ อ้อ  คิดออกแล้วครับ  คืออย่างนี้  ตอนแรกผมก้ไม่คิดจะอ่านหรอก ”
“ แล้วคุณอ่านทำไม ”
“ พ่อคุณเป็นภารโรงหรือครับ ”
“ เฮ้ย !    คุณรู้ !     รู้ได้ยังไง  ผมไม่เคยบอกใครเลยนะเนี่ย   เอ่อ – มันเป็นปมด้อยนะครับ  ”
“ ก็คุณชอบขัดนักนี่  ”
“ โธ่  เวร  เอาล่ะผมจะไม่ขัดคุณอีกแล้วครับ ”
“ ดีครับ  ขอบคุณ ”
“ บุพการีเป็นผู้มีพระคุณมากนะคุณ   ถ้าไม่จำเป็นกรุณาอย่ากล่าวถึง ”
“ ชั่วชีวิตหนึ่งของมนุษย์  ผู้ใดไม่เคยทำความรู้จักกับหนังสือ  ผู้นั้นก็ไม่แผกอะไรกับสัตว์ที่มีสติปัญญาอันโง่เขลา  ”
“ .............................................. ”
“ หนังสืออะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละคุณ  ที่มีคุณค่ามากพอที่จะขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ให้  เจริญงอกงาม   ”
“ ต้นไม้เหรอ ? ”
“ เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำต้องการปุ๋ย  เราต้องพรวนดินรดน้ำให้สารอาหารแก่มัน  ต้นไม้ต้นนั้นจึงจะงอกงามเป็นต้นไม้ที่ เติบใหญ่สมบูรญ์
“ มันคือการสั่งสมนะคุณ  รู้ไหมปุ๋ยที่เราให้น้ำที่เรารดมันไม่ได้สูญหายไปไหน  มันก็อยู่ในลำต้น  กิ่งใบและดอก และผลของมันนั่นล่ะ  ที่สำคัญผลของมันนั้นก็เติบโตจากการบ่มเพาะ  บางตันมีผลหวาน  บางต้นฝาดเฝื่อน  บางต้นเปรี้ยว  เห็นไหมมันอยู่ที่สภาพดินและปุ๋ยที่เราให้  ก็เหมือนที่เราอ่านหนังสือ  หนังสือบางเล่มหวาน เปรี้ยวอมหวานก็มีนะคุณ  บางเล่มขม แต่ขมเป็นยา  มันอยู่ที่ว่าเราต้องการแบบไหน  มีคนบอกว่า  คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน  มันก็แน่นอนอยู่แล้วแค่หน้าตา  สีผิว  ส่วนสูง รูปร่าง  ก็แตกต่างกันไปหลากหลาย  แต่คุณรู้ไหม  สิ่งที่อยู่ลึกลงไปกว่านั้นมันคือจิตใจของคนต่างหาก  ว่าต้องการหนังสือเล่มใดเป็นเครื่องบ่มเพาะจิตใจของเขา  เห็นไหม  เขามีสิทธิ์ที่จะเลือก  จะเลือกปุ๋ยเลือกน้ำแบบไหน  มันไม่ได้ขึ้อยู่กับสภาพดินที่ลงหลักปักฐานหรอกคุณ  มันจะสำคัญอะไรในเมื่อเราสามารถเลือกที่จะใส่ปุ๋ย  พรวนดิน  รดน้ำได้ด้วยตนเอง  ทำให้สภาพดินที่มันดำรงอยู่มีความสมบูรณ์และเหมาะแก่การเจริญเติโตงอกงาม  นี่สิสำคัญกว่าตั้งเยอะ
“ ที่สำคัญมันต้องให้คุณประโยชน์แก่ผู้อื่นได้เช่นกัน  นั่นคือร่มเงาที่ให้แก่ผู้พักพิงอาศัย    มันก็คือตันไม้แห่งปัญญาไงล่ะ  เข้าใจใช่ไหมครับคุณ ”
“ เข้าใจสิ  ผมเข้าใจคุณ ”
“ คุณไม่ได้ประชด ”
“ เปล่า  ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณพูด ”
“ งั้นผมขอถามคุณบ้างนะครับ ”
“ เชิญครับคุณ ”
“ แล้วทำไมคุณชอบเขียนนักล่ะ  คุณอยากเป็นนักเขียนหรือ ”
“ ผมไม่ใช่นักเขียน  ผมไม่เคยมีผลงานตีพิมพ์ ”
“ ขอโทษ  ผมควรจะเรียกคุณว่านักอยากเขียน  แต่คุณก็มีงานเขียนเยอะแยะนิ ”
“ ส่วนมากผมเขียนเก็บไว้อ่านคนเดียวครับ ”
“ คุณพูดรู้เรื่องขึ้นเยอะเลยนะครับ ”
“ ผมไม่อยากให้คุณล้อว่าพ่อเป็นภารโรงอีก ”
“ เชิญคุณต่อเลยครับ ”
“ ผมเขียนก็เพราะอยากเขียน  ก็เท่านั้นเองครับ”
“ อะไรทำให้คุณอยากเขียน  อะไรคือแรงบันดาลใจของคุณ  ”
“ คุณจะรู้ไปทำไมครับ  ”
“ ผมเป็นนักอ่าน ”
“ เกี่ยวอะไรกันหรือครับ ”
“ ผมเป็นนักอ่านที่อ่านงานเขียนของนักเขียน  ผมแค่อยากรู้ว่านักเขียนเขาคิดอะไรเวลาเขียน  เขารู้สึกอย่างไรในงานเขียนของเขา ”
“ คุณเป็นนักหาเหตุผลที่ดี  งั้นผมจะตอบคำถามของคุณครับ ”
“ ผมเป็นนักอ่าน !  ”
“ คุณถามผมว่า  แรงบันดาลใจของผมคืออะไร  อะไรคือแรงบันดาลใจของผม  ก็สิ่งที่อยู่รอบตัวผมนี่ไง  คือแรงบันดาลใจที่หาได้ง่ายที่สุด  ไม่ใช่ทุกคนจะค้นพบแรงบันดาลใจได้จากทุกที่  เราไม่มีทางรู้สึกหรือสัมผัสกับมันได้โดยตรง  เหตุเพราะมันไม่มีตัวตน  ไม่มีรูปร่าง  แล้วทีนี้เราจะเห็นมันได้ยังไงคุณรู้ไหม  เราก็สร้างมันขึ้นมายังไงล่ะ  แต่ก่อนที่เราจะสร้าง  เราต้องหามันให้เจอเสียก่อน  หายังไงผมเองก็ไม่รู้  คนบางคนค้นพบแรงบันดาลใจของเขาขณะนอนหลับ  ในความฝัน  ความฝันในขณะนอนหลับ  จุดประกายทางความคิดก่อเกิดเป็นแรงผลักดัน  ให้เขามีพละกำลังที่จะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาสักอย่าง  นี่คือการค้นพบแรงบันดาลใจอย่างแรก  ที่สามารถพบเจอได้ด้วยตัวของตัวเอง
“ แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่รอให้แรงบันดาลใจมาหา  อย่างที่ผมบอก  เราไม่มีทางรู้ได้ว่าเราจะเจอมันเมื่อไหร่และที่ไหน  ดังนั้นเขาจึงไม่รีรอที่จะพบมันแต่กลับพยายามตามหามันเสียเอง  คุณคงได้ยินมาบ้างว่าบางคนถึงกับต้องเข้าไปหาความสงบในป่าเขา  กินอยู่ใช้ชีวิตในป่า  อยู่กับธรรมชาติ  ซึมซับความงดงาม  เปิดรับพลังงานบางอย่างที่ส่งผ่านมาจากธรรมชาติ  พลังที่จะกลายเป็นแรงผลักดันให้เขามีพลังสร้างสรรค์งานศิลปะ  นั่นล่ะคือแรงบันดาลใจที่ได้จากการตามหา
“ คุณคงเคยประหลาดใจกับพฤติกรรมบางอย่างของบุคคลที่คุณอาจเคยพบเห็น  คุณตั้งคำถามขึ้นในใจและตอบตัวเองได้ในทันทีว่ามันไร้สาระและเป็นการกระทำที่โง่เขลา  คุณไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากระทำ  โดยไม่เคยระลึกว่าการกระทำของเขาอาจส่งผลประโยชน์มาถึงตัวคุณก็เป็นได้  ผมจะยกตัวอย่างให้คุณเข้าใจได้ง่ายๆ หากคุณอ่านหนังสือเล่มหนึ่งแล้วเกิดความซาบซึ้งตรึงตรา  คุณมีความสุขที่ได้เสพผลงานเหล่านั้น  และขณะเดียวกันคุณก็มองเห็นบางสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมันทำให้คุณมองโลกในมุมมองที่กว้างขวางขึ้น  คุณรู้สึกประทับใจและชื่นชมในฝีมือการประพันธ์ของนักเขียน  คุณเปิดไปที่ใบหน้าแรกของหนังสือมองไปที่ชื่อของนักประพันธ์  ซี่งแน่นอนคุณไม่เคยรู้จักแม้แต่ใบหน้าหรือรูปร่างของเขา  และคุณก็ประทับชื่อของเขาไว้ในความทรงจำ  คุณเฝ้าติดตามผลงานของนักเขียนนิรนามไปราวกับติดสิ่งเสพติด  ซึ่งแน่นอนว่าคุณขาดมันไม่ได้  คุณพยายามค้นหาชื่อของเขาจากสารานุกรมบรรณโลกแต่กลับไม่พบ  มันยิ่งทำให้คุณเกิดพลังศรัทธาในตัวของเขา  คงเหมือนกับที่เราเชื่อในเรื่องผีสางนางไม้ที่ถึงแม้จะไม่เคยพบเห็นรูปร่างตัวตนที่แท้จริง  แต่เราก็เชื่อเชื่อถึงการมีอยู่  พลังอันลึกลับบางอย่างที่ควบคุมจิตวิญญาณของคุณ
“ วันหนึ่งเมื่อคุณเดินอยู่บนทางเท้า  จุดมุ่งหมายของคุณอาจเป็นร้านหนังสือสักแห่ง  ในระหว่างทางที่คุณจะไปถึงนั้น  คุณก็พบกับชายกลางคนคนหนึ่งนั่งขวางเส้นทางคุณอยู่  คุณจะทำอย่างไรเมื่อพบว่าเขามีอาการผิดแผกไปจากคนคนที่คุณเคยพบเห็น  คุณพบว่าเขากำลังนั่งพินิจร่างไร้ชีวิตของแมลงสาบที่ตายแล้ว ”
“ ทำไมต้องเป็นแมลงสาบ ? ”
“ ทำไมคุณถึงถามเช่นนั้น  หากผมบอกคุณไปว่าเขากำลังนั่งพินิจร่างไร้ชีวิตของชายขอทานข้างทางเท้า  คุณจะยังถามผมด้วยคำถามแบบเดิมอีกหรือเปล่า  ”
“ ไม่  หากเป็นร่างของชายขอทาน  ผมจะถามคุณว่าทำไมจึงมีเขาเพียงคนเดียวที่ลงไปดูร่างนั้น ”
“ บางทีเขาอาจยังไม่ตายหรือตายไปแล้วก็ได้ ”
“ หากเขาตาย  ทำไมไม่มีใครสนใจที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เขา ”
“ คุณว่าแปลกไหมล่ะ  จะมีใครอยากเข้าไปวุ่นวายในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองโดยแท้จริง ”
“ เขาทำอย่างนั้นทำไม ? ”
“ คุณหมายถึงใคร ? ”
“ ชายกลางคน ”
“ เขาทำอะไร ? ”
“ เขาก้มลงไปดูซากแมลงสาบทำไม ”
“ ผมไม่รู้  ไม่มีใครเข้าใจความคิดของเขาหรอก ”
“ เป็นไปได้ไหมว่าเขาอาจเห็นเป็นอย่างอื่น ”
“ คุณหมายถึงแมลงสาบ ? ”
“ ใช่  เขาอาจมองเห็นเป็น  -  อาจเป็นของมีค่า ”
“ เช่นอะไร ”
“ แมลงสาบมันเหมือนอะไรล่ะ  บางทีเขาอาจเห็นเป็นเพรชพลอยมั้ง ”
“ คุณเป็นคนที่มีจินตนาการสูงส่งทีเดียวครับ  แต่จะเป็นไปได้อย่างไรเมื่อความจริงมันคือซากแมลงสาบที่ตายแล้ว ”
“ เขาก็อาจตาฝาดไปเอง ”
“ หากเขาตาฝาดจริงอย่างที่คุณพูด  เหตุใดเขาจึงจ้องมองมันอยู่อย่างนั้นทั้งที่รู้แล้วว่ามันคือซากแมลงสาบ   คำถามก็คือ เขามองเห็นอะไรมากไปกว่าความตายที่แลเห็น  มันมีอะไรมากไปกว่าความตายที่สถิตอยู่บนทางเท้า ”
“ ผมไม่เข้าใจ ”
“ เรื่องที่น่าเศร้ามากกว่าก็คือ ความตายนั้นถูกกระทำจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่า  คนที่มีขนาดตีนที่ใหญ่พอจะเหยียบหัวสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ”
“ นี่  เราคุยเรื่องอะไรกันอยู่ครับนี่ ”
“ แมลงสาบ  สิ่งมีชีวืตที่แค่เห็นก็อยากจะฆ่าให้ตาย  สิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจ  น่าขยะแขยง  และน่าเวทนา ”
“ มันเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่มองเห็นได้ยาก ”
“ หรือเป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นชีวิตของมัน ”
“ คุณกำลังทำให้ผมสับสน ”
“ ผมจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นมันก็ได้  และรอจังหวะให้มันหยุดอยู่นิ่งๆ แล้วจัดการเหยียบมันซะ ทุกอย่างก็จบ  ไม่มีใครเอาผิดผมได้   ไม่มีกฎหมายมาตราใดจะจับผมเข้าคุกข้อหาเหยียบแมลงสาบตายโดยเจตนา ”
“ น่าสงสาร ”
“ ใช่  เพราะมันไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องความยุติธรรมได้เลย ”
“ มันพูดไม่เป็น ”
“ เราเองต่างหากที่ไม่เข้าใจภาษาของมัน ”
“ ก็เราเป็นมนุษย์ไม่ใช่แมลงสาบนี่ครับคุณ ”
“ นี่คุณรู้ไหมถ้าเลือกได้  ผมก็อยากจะอยู่กับแมลงสาบ  มากกว่าจะอยู่กับคนด้วยกันเองอีกนะคุณ ”
“ คุณชักจะรั่วอีกแล้ว  คุณเป็นอะไรมากไหม  พักกินยาก่อนไหมคุณ ”
“ ไม่เป็นไรครับ  ผมสบายดี  ขอบคุณมากเลยครับขอบคุณ ”
“ ทำไมคุณถึงชอบอะไรสกปรกๆ นักล่ะ ”
“ ยังไง ? ”
“ ก็คุณอยากไปอยู่กับแมลงสาบ ?  ”
“ แมลงสาบสกปรกงั้นหรือ ? ”
“ คุณนั่นแหละสกปรก !  ”
“ งั้นผมขอตั้งคำถามคุณอีกสักข้อ คุณสะอาดกว่าแมลงสาบตรงไหน ? ”
“ หนึ่ง  ผมไม่มีพฤติกรรมการกินที่สกปรก ”
“ นั่นมันคือธรรมชาติการกินของมัน ”
“ สอง  ผมไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นโดยการทำลายข้าวของของเขา  ด้วยการไปแทะแกะกิน ”
“ ขนาดนั้นเลยหรือ ?  ทำไมคุณไม่คิดว่าการที่มันเที่ยวไปแทะทำลายข้าวของ ของคุณ  มันทำไปเพื่อเรียกร้องอะไรบางอย่างจากคุณ  ”
“ อะไร ?  ”
“ แปลกมาก  คุณไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร  ทั้งที่มันอยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับคุณ ”
“ ผมไม่ใช่แมลงสาบ ? ”
“ มันแตกต่างจากคุณตรงไหน  มันก็มีชีวิตเช่นเดียวกันกับคุณนั่นล่ะ ”
“ งั้นถ้าคุณเข้าใจแมลงสาบ  คุณก็บอกผมมาสิว่ามันต้องการอะไร ”
“ ต้องการให้คุณหยุดฟังความคิดของมันไงล่ะ ”
“ นี่คุณปกติดีอยู่รึเปล่าวะเนี่ย ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่