นักอ่าน-นักเขียน
“ ทำไม

ชอบอ่านหนังสือนักล่ะ? ”
“ คุณพูดไม่เพราะเลย ”
“ ทำไมคุณชอบอ่านหนังสือนักล่ะ ”
“ แล้วทำไมคุณชอบเขียนหนังสือนักล่ะ ”
“ อยากเขียน ”
“ ผมก็อยากอ่าน ”
“ กวนตีน ”
“ แน่ะ ! ทำไมคุณชอบพูดคำหยาบนักล่ะ ”
“ ผมชมคุณนะ ”
“ เหรอ ขอบคุณมากครับ ”
“ ไม่เป็นไร ”
“ ทำไมคุณตั้งใจเรียนนักล่ะ ”
“ ผมเหรอ ! ก็เรียนปกติเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ ”
“ เข้าใจตอบนะ ไม่เบื่อเหรอนั่งอยู่แต่ในห้อง ฟังครูพูดทั้งวัน ”
“ ไม่เลยครับ คุณก็น่าจะตั้งใจเรียนนะ ”
“ โดดเรียนไปทำอย่างอื่นไหม ”
“ นี่ ผมไม่ทำอย่างนี้เด็ดขาด ! ”
“ ทำไมล่ะ ”
“ ผมไม่เลวอย่างคุณนี่ ”
“ อ่ะ ! คุณพูดไม่เพราะ ”
“ ผมชมคุณต่างหากล่ะ ”
“ อ้อ ขอบคุณครับ ”
“ นี่คุณไม่กลัวเรียนไม่จบจบเหรอ ”
“ ไม่เลยครับ ”
“ ทำไมไม่คิดถึงอนาคตล่ะ ”
“ ผมอยู่กับปัจจุบันมากกว่าครับ ”
“ งั้นคุณก็อยู่มันอย่างนี้ล่ะดีแล้ว ”
“ คุณไปห้องสมุดทุกวันเลยหรือ ”
“ คุณเขียนหนังสือทุกวันเลยหรือ ”
“ ครับก่อนนอนน่ะ ”
“ ทำไมต้องเขียนตอนนอน ”
“ มันเงียบดี มันทำให้ผมมีสมาธิมากครับ ”
“ นักเขียนที่ดีตัองสามารถเขียนได้ทุกที่ทุกสถานการณ์ คุณรู้ใช่ไหม ”
“ ก็ผมไม่ใช่นักเขียนนี่ครับ ”
“ แล้วคุณเขียนทำไม ”
“ อยากเขียนครับ ”
“ งั้นผมจะเรียกคุณว่านักอยากเขียน ”
“ ดีครับ แต่ผมก็เขียนได้ทุกที่ทุกสถานการณ์เหมือนกันนะ ”
“ จริงหรือ ? ”
“ ผมเขียนได้หมดแหละ ในห้องน้ำผมก็เขียนนะคุณ มันเพลินดีครับ ”
“ สกปรก ”
“ คุณว่างานเขียนของผมสกปรกหรือ ”
“ คุณน่ะ สกปรก ”
“ คุณชมใช่ไหม ”
“ ครับ ผมชมคุณ ”
“ ผมไม่ขอบคุณคุณนะ ไม่อยากพูดอะไรซ้ำไปซ้ำมา ”
“ ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ ”
“ แน่ะ ไม่ถือก็ตกสิครับ ”
“ คุณขำมากครับ ผมเกือบจะหัวเราะมุกของคุณเลย ดีครับผมชอบคนตลก ”
“ ผมไม่ใช่ตลก ”
“ แต่คุณก็ปล่อยมุกได้ฮามากครับ ”
“ เหรอ ไม่เคยมีใครขำมุกผมเลย ”
“ งั้นผมก็เป็นคนแรกน่ะสิ ดีจริงๆ ”
“ คุณยังไม่บอกผมเลยทำไมคุณชอบอ่านหนังสือ ”
“ คุณจะรู้ไปทำไม ”
“ อย่ากวนเบื้องล่างผมสิครับ ”
“ คุณอยากรู้ไปทำไมหรือครับ ”
“ ผมเป็นนักอยากเขียน ”
“ มันเกี่ยวกับงานเขียนของคุณด้วยหรือ ”
“ มันเป็นวัตถุดิบ ”
“ ตกลง คุณจะเป็นนัก(อยาก)เขียนหรือพ่อครัว ”
“ ตกลงผมเอาทั้งสองอย่าง จะตอบผมได้หรือยังครับ ”
“ งั้น ผมขอคิดก่อน ”
“ อีกนานไหมครับ ”
“ คุณนี่ตื้อชะมัด นี่คุณจะทำอะไรน่ะ ”
“ นั่งสมาธิ ! ”
“ ฮามากครับ ผมหัวเราะจนท้องจะแตกตายอยู่แล้ว ”
“ เฮ้ย ! ตีนกระตุก ”
“ อ้อ คิดออกแล้วครับ คืออย่างนี้ ตอนแรกผมก้ไม่คิดจะอ่านหรอก ”
“ แล้วคุณอ่านทำไม ”
“ พ่อคุณเป็นภารโรงหรือครับ ”
“ เฮ้ย ! คุณรู้ ! รู้ได้ยังไง ผมไม่เคยบอกใครเลยนะเนี่ย เอ่อ – มันเป็นปมด้อยนะครับ ”
“ ก็คุณชอบขัดนักนี่ ”
“ โธ่ เวร เอาล่ะผมจะไม่ขัดคุณอีกแล้วครับ ”
“ ดีครับ ขอบคุณ ”
“ บุพการีเป็นผู้มีพระคุณมากนะคุณ ถ้าไม่จำเป็นกรุณาอย่ากล่าวถึง ”
“ ชั่วชีวิตหนึ่งของมนุษย์ ผู้ใดไม่เคยทำความรู้จักกับหนังสือ ผู้นั้นก็ไม่แผกอะไรกับสัตว์ที่มีสติปัญญาอันโง่เขลา ”
“ .............................................. ”
“ หนังสืออะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละคุณ ที่มีคุณค่ามากพอที่จะขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ให้ เจริญงอกงาม ”
“ ต้นไม้เหรอ ? ”
“ เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำต้องการปุ๋ย เราต้องพรวนดินรดน้ำให้สารอาหารแก่มัน ต้นไม้ต้นนั้นจึงจะงอกงามเป็นต้นไม้ที่ เติบใหญ่สมบูรญ์
“ มันคือการสั่งสมนะคุณ รู้ไหมปุ๋ยที่เราให้น้ำที่เรารดมันไม่ได้สูญหายไปไหน มันก็อยู่ในลำต้น กิ่งใบและดอก และผลของมันนั่นล่ะ ที่สำคัญผลของมันนั้นก็เติบโตจากการบ่มเพาะ บางตันมีผลหวาน บางต้นฝาดเฝื่อน บางต้นเปรี้ยว เห็นไหมมันอยู่ที่สภาพดินและปุ๋ยที่เราให้ ก็เหมือนที่เราอ่านหนังสือ หนังสือบางเล่มหวาน เปรี้ยวอมหวานก็มีนะคุณ บางเล่มขม แต่ขมเป็นยา มันอยู่ที่ว่าเราต้องการแบบไหน มีคนบอกว่า คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันก็แน่นอนอยู่แล้วแค่หน้าตา สีผิว ส่วนสูง รูปร่าง ก็แตกต่างกันไปหลากหลาย แต่คุณรู้ไหม สิ่งที่อยู่ลึกลงไปกว่านั้นมันคือจิตใจของคนต่างหาก ว่าต้องการหนังสือเล่มใดเป็นเครื่องบ่มเพาะจิตใจของเขา เห็นไหม เขามีสิทธิ์ที่จะเลือก จะเลือกปุ๋ยเลือกน้ำแบบไหน มันไม่ได้ขึ้อยู่กับสภาพดินที่ลงหลักปักฐานหรอกคุณ มันจะสำคัญอะไรในเมื่อเราสามารถเลือกที่จะใส่ปุ๋ย พรวนดิน รดน้ำได้ด้วยตนเอง ทำให้สภาพดินที่มันดำรงอยู่มีความสมบูรณ์และเหมาะแก่การเจริญเติโตงอกงาม นี่สิสำคัญกว่าตั้งเยอะ
“ ที่สำคัญมันต้องให้คุณประโยชน์แก่ผู้อื่นได้เช่นกัน นั่นคือร่มเงาที่ให้แก่ผู้พักพิงอาศัย มันก็คือตันไม้แห่งปัญญาไงล่ะ เข้าใจใช่ไหมครับคุณ ”
“ เข้าใจสิ ผมเข้าใจคุณ ”
“ คุณไม่ได้ประชด ”
“ เปล่า ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณพูด ”
“ งั้นผมขอถามคุณบ้างนะครับ ”
“ เชิญครับคุณ ”
“ แล้วทำไมคุณชอบเขียนนักล่ะ คุณอยากเป็นนักเขียนหรือ ”
“ ผมไม่ใช่นักเขียน ผมไม่เคยมีผลงานตีพิมพ์ ”
“ ขอโทษ ผมควรจะเรียกคุณว่านักอยากเขียน แต่คุณก็มีงานเขียนเยอะแยะนิ ”
“ ส่วนมากผมเขียนเก็บไว้อ่านคนเดียวครับ ”
“ คุณพูดรู้เรื่องขึ้นเยอะเลยนะครับ ”
“ ผมไม่อยากให้คุณล้อว่าพ่อเป็นภารโรงอีก ”
“ เชิญคุณต่อเลยครับ ”
“ ผมเขียนก็เพราะอยากเขียน ก็เท่านั้นเองครับ”
“ อะไรทำให้คุณอยากเขียน อะไรคือแรงบันดาลใจของคุณ ”
“ คุณจะรู้ไปทำไมครับ ”
“ ผมเป็นนักอ่าน ”
“ เกี่ยวอะไรกันหรือครับ ”
“ ผมเป็นนักอ่านที่อ่านงานเขียนของนักเขียน ผมแค่อยากรู้ว่านักเขียนเขาคิดอะไรเวลาเขียน เขารู้สึกอย่างไรในงานเขียนของเขา ”
“ คุณเป็นนักหาเหตุผลที่ดี งั้นผมจะตอบคำถามของคุณครับ ”
“ ผมเป็นนักอ่าน ! ”
“ คุณถามผมว่า แรงบันดาลใจของผมคืออะไร อะไรคือแรงบันดาลใจของผม ก็สิ่งที่อยู่รอบตัวผมนี่ไง คือแรงบันดาลใจที่หาได้ง่ายที่สุด ไม่ใช่ทุกคนจะค้นพบแรงบันดาลใจได้จากทุกที่ เราไม่มีทางรู้สึกหรือสัมผัสกับมันได้โดยตรง เหตุเพราะมันไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง แล้วทีนี้เราจะเห็นมันได้ยังไงคุณรู้ไหม เราก็สร้างมันขึ้นมายังไงล่ะ แต่ก่อนที่เราจะสร้าง เราต้องหามันให้เจอเสียก่อน หายังไงผมเองก็ไม่รู้ คนบางคนค้นพบแรงบันดาลใจของเขาขณะนอนหลับ ในความฝัน ความฝันในขณะนอนหลับ จุดประกายทางความคิดก่อเกิดเป็นแรงผลักดัน ให้เขามีพละกำลังที่จะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาสักอย่าง นี่คือการค้นพบแรงบันดาลใจอย่างแรก ที่สามารถพบเจอได้ด้วยตัวของตัวเอง
“ แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่รอให้แรงบันดาลใจมาหา อย่างที่ผมบอก เราไม่มีทางรู้ได้ว่าเราจะเจอมันเมื่อไหร่และที่ไหน ดังนั้นเขาจึงไม่รีรอที่จะพบมันแต่กลับพยายามตามหามันเสียเอง คุณคงได้ยินมาบ้างว่าบางคนถึงกับต้องเข้าไปหาความสงบในป่าเขา กินอยู่ใช้ชีวิตในป่า อยู่กับธรรมชาติ ซึมซับความงดงาม เปิดรับพลังงานบางอย่างที่ส่งผ่านมาจากธรรมชาติ พลังที่จะกลายเป็นแรงผลักดันให้เขามีพลังสร้างสรรค์งานศิลปะ นั่นล่ะคือแรงบันดาลใจที่ได้จากการตามหา
“ คุณคงเคยประหลาดใจกับพฤติกรรมบางอย่างของบุคคลที่คุณอาจเคยพบเห็น คุณตั้งคำถามขึ้นในใจและตอบตัวเองได้ในทันทีว่ามันไร้สาระและเป็นการกระทำที่โง่เขลา คุณไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากระทำ โดยไม่เคยระลึกว่าการกระทำของเขาอาจส่งผลประโยชน์มาถึงตัวคุณก็เป็นได้ ผมจะยกตัวอย่างให้คุณเข้าใจได้ง่ายๆ หากคุณอ่านหนังสือเล่มหนึ่งแล้วเกิดความซาบซึ้งตรึงตรา คุณมีความสุขที่ได้เสพผลงานเหล่านั้น และขณะเดียวกันคุณก็มองเห็นบางสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมันทำให้คุณมองโลกในมุมมองที่กว้างขวางขึ้น คุณรู้สึกประทับใจและชื่นชมในฝีมือการประพันธ์ของนักเขียน คุณเปิดไปที่ใบหน้าแรกของหนังสือมองไปที่ชื่อของนักประพันธ์ ซี่งแน่นอนคุณไม่เคยรู้จักแม้แต่ใบหน้าหรือรูปร่างของเขา และคุณก็ประทับชื่อของเขาไว้ในความทรงจำ คุณเฝ้าติดตามผลงานของนักเขียนนิรนามไปราวกับติดสิ่งเสพติด ซึ่งแน่นอนว่าคุณขาดมันไม่ได้ คุณพยายามค้นหาชื่อของเขาจากสารานุกรมบรรณโลกแต่กลับไม่พบ มันยิ่งทำให้คุณเกิดพลังศรัทธาในตัวของเขา คงเหมือนกับที่เราเชื่อในเรื่องผีสางนางไม้ที่ถึงแม้จะไม่เคยพบเห็นรูปร่างตัวตนที่แท้จริง แต่เราก็เชื่อเชื่อถึงการมีอยู่ พลังอันลึกลับบางอย่างที่ควบคุมจิตวิญญาณของคุณ
“ วันหนึ่งเมื่อคุณเดินอยู่บนทางเท้า จุดมุ่งหมายของคุณอาจเป็นร้านหนังสือสักแห่ง ในระหว่างทางที่คุณจะไปถึงนั้น คุณก็พบกับชายกลางคนคนหนึ่งนั่งขวางเส้นทางคุณอยู่ คุณจะทำอย่างไรเมื่อพบว่าเขามีอาการผิดแผกไปจากคนคนที่คุณเคยพบเห็น คุณพบว่าเขากำลังนั่งพินิจร่างไร้ชีวิตของแมลงสาบที่ตายแล้ว ”
“ ทำไมต้องเป็นแมลงสาบ ? ”
“ ทำไมคุณถึงถามเช่นนั้น หากผมบอกคุณไปว่าเขากำลังนั่งพินิจร่างไร้ชีวิตของชายขอทานข้างทางเท้า คุณจะยังถามผมด้วยคำถามแบบเดิมอีกหรือเปล่า ”
“ ไม่ หากเป็นร่างของชายขอทาน ผมจะถามคุณว่าทำไมจึงมีเขาเพียงคนเดียวที่ลงไปดูร่างนั้น ”
“ บางทีเขาอาจยังไม่ตายหรือตายไปแล้วก็ได้ ”
“ หากเขาตาย ทำไมไม่มีใครสนใจที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เขา ”
“ คุณว่าแปลกไหมล่ะ จะมีใครอยากเข้าไปวุ่นวายในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองโดยแท้จริง ”
“ เขาทำอย่างนั้นทำไม ? ”
“ คุณหมายถึงใคร ? ”
“ ชายกลางคน ”
“ เขาทำอะไร ? ”
“ เขาก้มลงไปดูซากแมลงสาบทำไม ”
“ ผมไม่รู้ ไม่มีใครเข้าใจความคิดของเขาหรอก ”
“ เป็นไปได้ไหมว่าเขาอาจเห็นเป็นอย่างอื่น ”
“ คุณหมายถึงแมลงสาบ ? ”
“ ใช่ เขาอาจมองเห็นเป็น - อาจเป็นของมีค่า ”
“ เช่นอะไร ”
“ แมลงสาบมันเหมือนอะไรล่ะ บางทีเขาอาจเห็นเป็นเพรชพลอยมั้ง ”
“ คุณเป็นคนที่มีจินตนาการสูงส่งทีเดียวครับ แต่จะเป็นไปได้อย่างไรเมื่อความจริงมันคือซากแมลงสาบที่ตายแล้ว ”
“ เขาก็อาจตาฝาดไปเอง ”
“ หากเขาตาฝาดจริงอย่างที่คุณพูด เหตุใดเขาจึงจ้องมองมันอยู่อย่างนั้นทั้งที่รู้แล้วว่ามันคือซากแมลงสาบ คำถามก็คือ เขามองเห็นอะไรมากไปกว่าความตายที่แลเห็น มันมีอะไรมากไปกว่าความตายที่สถิตอยู่บนทางเท้า ”
“ ผมไม่เข้าใจ ”
“ เรื่องที่น่าเศร้ามากกว่าก็คือ ความตายนั้นถูกกระทำจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่า คนที่มีขนาดตีนที่ใหญ่พอจะเหยียบหัวสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ”
“ นี่ เราคุยเรื่องอะไรกันอยู่ครับนี่ ”
“ แมลงสาบ สิ่งมีชีวืตที่แค่เห็นก็อยากจะฆ่าให้ตาย สิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจ น่าขยะแขยง และน่าเวทนา ”
“ มันเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่มองเห็นได้ยาก ”
“ หรือเป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นชีวิตของมัน ”
“ คุณกำลังทำให้ผมสับสน ”
“ ผมจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นมันก็ได้ และรอจังหวะให้มันหยุดอยู่นิ่งๆ แล้วจัดการเหยียบมันซะ ทุกอย่างก็จบ ไม่มีใครเอาผิดผมได้ ไม่มีกฎหมายมาตราใดจะจับผมเข้าคุกข้อหาเหยียบแมลงสาบตายโดยเจตนา ”
“ น่าสงสาร ”
“ ใช่ เพราะมันไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องความยุติธรรมได้เลย ”
“ มันพูดไม่เป็น ”
“ เราเองต่างหากที่ไม่เข้าใจภาษาของมัน ”
“ ก็เราเป็นมนุษย์ไม่ใช่แมลงสาบนี่ครับคุณ ”
“ นี่คุณรู้ไหมถ้าเลือกได้ ผมก็อยากจะอยู่กับแมลงสาบ มากกว่าจะอยู่กับคนด้วยกันเองอีกนะคุณ ”
“ คุณชักจะรั่วอีกแล้ว คุณเป็นอะไรมากไหม พักกินยาก่อนไหมคุณ ”
“ ไม่เป็นไรครับ ผมสบายดี ขอบคุณมากเลยครับขอบคุณ ”
“ ทำไมคุณถึงชอบอะไรสกปรกๆ นักล่ะ ”
“ ยังไง ? ”
“ ก็คุณอยากไปอยู่กับแมลงสาบ ? ”
“ แมลงสาบสกปรกงั้นหรือ ? ”
“ คุณนั่นแหละสกปรก ! ”
“ งั้นผมขอตั้งคำถามคุณอีกสักข้อ คุณสะอาดกว่าแมลงสาบตรงไหน ? ”
“ หนึ่ง ผมไม่มีพฤติกรรมการกินที่สกปรก ”
“ นั่นมันคือธรรมชาติการกินของมัน ”
“ สอง ผมไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นโดยการทำลายข้าวของของเขา ด้วยการไปแทะแกะกิน ”
“ ขนาดนั้นเลยหรือ ? ทำไมคุณไม่คิดว่าการที่มันเที่ยวไปแทะทำลายข้าวของ ของคุณ มันทำไปเพื่อเรียกร้องอะไรบางอย่างจากคุณ ”
“ อะไร ? ”
“ แปลกมาก คุณไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร ทั้งที่มันอยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับคุณ ”
“ ผมไม่ใช่แมลงสาบ ? ”
“ มันแตกต่างจากคุณตรงไหน มันก็มีชีวิตเช่นเดียวกันกับคุณนั่นล่ะ ”
“ งั้นถ้าคุณเข้าใจแมลงสาบ คุณก็บอกผมมาสิว่ามันต้องการอะไร ”
“ ต้องการให้คุณหยุดฟังความคิดของมันไงล่ะ ”
“ นี่คุณปกติดีอยู่รึเปล่าวะเนี่ย ”
เรื่องสั้น นักอ่าน-นักเขียน
“ ทำไม
“ คุณพูดไม่เพราะเลย ”
“ ทำไมคุณชอบอ่านหนังสือนักล่ะ ”
“ แล้วทำไมคุณชอบเขียนหนังสือนักล่ะ ”
“ อยากเขียน ”
“ ผมก็อยากอ่าน ”
“ กวนตีน ”
“ แน่ะ ! ทำไมคุณชอบพูดคำหยาบนักล่ะ ”
“ ผมชมคุณนะ ”
“ เหรอ ขอบคุณมากครับ ”
“ ไม่เป็นไร ”
“ ทำไมคุณตั้งใจเรียนนักล่ะ ”
“ ผมเหรอ ! ก็เรียนปกติเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ ”
“ เข้าใจตอบนะ ไม่เบื่อเหรอนั่งอยู่แต่ในห้อง ฟังครูพูดทั้งวัน ”
“ ไม่เลยครับ คุณก็น่าจะตั้งใจเรียนนะ ”
“ โดดเรียนไปทำอย่างอื่นไหม ”
“ นี่ ผมไม่ทำอย่างนี้เด็ดขาด ! ”
“ ทำไมล่ะ ”
“ ผมไม่เลวอย่างคุณนี่ ”
“ อ่ะ ! คุณพูดไม่เพราะ ”
“ ผมชมคุณต่างหากล่ะ ”
“ อ้อ ขอบคุณครับ ”
“ นี่คุณไม่กลัวเรียนไม่จบจบเหรอ ”
“ ไม่เลยครับ ”
“ ทำไมไม่คิดถึงอนาคตล่ะ ”
“ ผมอยู่กับปัจจุบันมากกว่าครับ ”
“ งั้นคุณก็อยู่มันอย่างนี้ล่ะดีแล้ว ”
“ คุณไปห้องสมุดทุกวันเลยหรือ ”
“ คุณเขียนหนังสือทุกวันเลยหรือ ”
“ ครับก่อนนอนน่ะ ”
“ ทำไมต้องเขียนตอนนอน ”
“ มันเงียบดี มันทำให้ผมมีสมาธิมากครับ ”
“ นักเขียนที่ดีตัองสามารถเขียนได้ทุกที่ทุกสถานการณ์ คุณรู้ใช่ไหม ”
“ ก็ผมไม่ใช่นักเขียนนี่ครับ ”
“ แล้วคุณเขียนทำไม ”
“ อยากเขียนครับ ”
“ งั้นผมจะเรียกคุณว่านักอยากเขียน ”
“ ดีครับ แต่ผมก็เขียนได้ทุกที่ทุกสถานการณ์เหมือนกันนะ ”
“ จริงหรือ ? ”
“ ผมเขียนได้หมดแหละ ในห้องน้ำผมก็เขียนนะคุณ มันเพลินดีครับ ”
“ สกปรก ”
“ คุณว่างานเขียนของผมสกปรกหรือ ”
“ คุณน่ะ สกปรก ”
“ คุณชมใช่ไหม ”
“ ครับ ผมชมคุณ ”
“ ผมไม่ขอบคุณคุณนะ ไม่อยากพูดอะไรซ้ำไปซ้ำมา ”
“ ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ ”
“ แน่ะ ไม่ถือก็ตกสิครับ ”
“ คุณขำมากครับ ผมเกือบจะหัวเราะมุกของคุณเลย ดีครับผมชอบคนตลก ”
“ ผมไม่ใช่ตลก ”
“ แต่คุณก็ปล่อยมุกได้ฮามากครับ ”
“ เหรอ ไม่เคยมีใครขำมุกผมเลย ”
“ งั้นผมก็เป็นคนแรกน่ะสิ ดีจริงๆ ”
“ คุณยังไม่บอกผมเลยทำไมคุณชอบอ่านหนังสือ ”
“ คุณจะรู้ไปทำไม ”
“ อย่ากวนเบื้องล่างผมสิครับ ”
“ คุณอยากรู้ไปทำไมหรือครับ ”
“ ผมเป็นนักอยากเขียน ”
“ มันเกี่ยวกับงานเขียนของคุณด้วยหรือ ”
“ มันเป็นวัตถุดิบ ”
“ ตกลง คุณจะเป็นนัก(อยาก)เขียนหรือพ่อครัว ”
“ ตกลงผมเอาทั้งสองอย่าง จะตอบผมได้หรือยังครับ ”
“ งั้น ผมขอคิดก่อน ”
“ อีกนานไหมครับ ”
“ คุณนี่ตื้อชะมัด นี่คุณจะทำอะไรน่ะ ”
“ นั่งสมาธิ ! ”
“ ฮามากครับ ผมหัวเราะจนท้องจะแตกตายอยู่แล้ว ”
“ เฮ้ย ! ตีนกระตุก ”
“ อ้อ คิดออกแล้วครับ คืออย่างนี้ ตอนแรกผมก้ไม่คิดจะอ่านหรอก ”
“ แล้วคุณอ่านทำไม ”
“ พ่อคุณเป็นภารโรงหรือครับ ”
“ เฮ้ย ! คุณรู้ ! รู้ได้ยังไง ผมไม่เคยบอกใครเลยนะเนี่ย เอ่อ – มันเป็นปมด้อยนะครับ ”
“ ก็คุณชอบขัดนักนี่ ”
“ โธ่ เวร เอาล่ะผมจะไม่ขัดคุณอีกแล้วครับ ”
“ ดีครับ ขอบคุณ ”
“ บุพการีเป็นผู้มีพระคุณมากนะคุณ ถ้าไม่จำเป็นกรุณาอย่ากล่าวถึง ”
“ ชั่วชีวิตหนึ่งของมนุษย์ ผู้ใดไม่เคยทำความรู้จักกับหนังสือ ผู้นั้นก็ไม่แผกอะไรกับสัตว์ที่มีสติปัญญาอันโง่เขลา ”
“ .............................................. ”
“ หนังสืออะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละคุณ ที่มีคุณค่ามากพอที่จะขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ให้ เจริญงอกงาม ”
“ ต้นไม้เหรอ ? ”
“ เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำต้องการปุ๋ย เราต้องพรวนดินรดน้ำให้สารอาหารแก่มัน ต้นไม้ต้นนั้นจึงจะงอกงามเป็นต้นไม้ที่ เติบใหญ่สมบูรญ์
“ มันคือการสั่งสมนะคุณ รู้ไหมปุ๋ยที่เราให้น้ำที่เรารดมันไม่ได้สูญหายไปไหน มันก็อยู่ในลำต้น กิ่งใบและดอก และผลของมันนั่นล่ะ ที่สำคัญผลของมันนั้นก็เติบโตจากการบ่มเพาะ บางตันมีผลหวาน บางต้นฝาดเฝื่อน บางต้นเปรี้ยว เห็นไหมมันอยู่ที่สภาพดินและปุ๋ยที่เราให้ ก็เหมือนที่เราอ่านหนังสือ หนังสือบางเล่มหวาน เปรี้ยวอมหวานก็มีนะคุณ บางเล่มขม แต่ขมเป็นยา มันอยู่ที่ว่าเราต้องการแบบไหน มีคนบอกว่า คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันก็แน่นอนอยู่แล้วแค่หน้าตา สีผิว ส่วนสูง รูปร่าง ก็แตกต่างกันไปหลากหลาย แต่คุณรู้ไหม สิ่งที่อยู่ลึกลงไปกว่านั้นมันคือจิตใจของคนต่างหาก ว่าต้องการหนังสือเล่มใดเป็นเครื่องบ่มเพาะจิตใจของเขา เห็นไหม เขามีสิทธิ์ที่จะเลือก จะเลือกปุ๋ยเลือกน้ำแบบไหน มันไม่ได้ขึ้อยู่กับสภาพดินที่ลงหลักปักฐานหรอกคุณ มันจะสำคัญอะไรในเมื่อเราสามารถเลือกที่จะใส่ปุ๋ย พรวนดิน รดน้ำได้ด้วยตนเอง ทำให้สภาพดินที่มันดำรงอยู่มีความสมบูรณ์และเหมาะแก่การเจริญเติโตงอกงาม นี่สิสำคัญกว่าตั้งเยอะ
“ ที่สำคัญมันต้องให้คุณประโยชน์แก่ผู้อื่นได้เช่นกัน นั่นคือร่มเงาที่ให้แก่ผู้พักพิงอาศัย มันก็คือตันไม้แห่งปัญญาไงล่ะ เข้าใจใช่ไหมครับคุณ ”
“ เข้าใจสิ ผมเข้าใจคุณ ”
“ คุณไม่ได้ประชด ”
“ เปล่า ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณพูด ”
“ งั้นผมขอถามคุณบ้างนะครับ ”
“ เชิญครับคุณ ”
“ แล้วทำไมคุณชอบเขียนนักล่ะ คุณอยากเป็นนักเขียนหรือ ”
“ ผมไม่ใช่นักเขียน ผมไม่เคยมีผลงานตีพิมพ์ ”
“ ขอโทษ ผมควรจะเรียกคุณว่านักอยากเขียน แต่คุณก็มีงานเขียนเยอะแยะนิ ”
“ ส่วนมากผมเขียนเก็บไว้อ่านคนเดียวครับ ”
“ คุณพูดรู้เรื่องขึ้นเยอะเลยนะครับ ”
“ ผมไม่อยากให้คุณล้อว่าพ่อเป็นภารโรงอีก ”
“ เชิญคุณต่อเลยครับ ”
“ ผมเขียนก็เพราะอยากเขียน ก็เท่านั้นเองครับ”
“ อะไรทำให้คุณอยากเขียน อะไรคือแรงบันดาลใจของคุณ ”
“ คุณจะรู้ไปทำไมครับ ”
“ ผมเป็นนักอ่าน ”
“ เกี่ยวอะไรกันหรือครับ ”
“ ผมเป็นนักอ่านที่อ่านงานเขียนของนักเขียน ผมแค่อยากรู้ว่านักเขียนเขาคิดอะไรเวลาเขียน เขารู้สึกอย่างไรในงานเขียนของเขา ”
“ คุณเป็นนักหาเหตุผลที่ดี งั้นผมจะตอบคำถามของคุณครับ ”
“ ผมเป็นนักอ่าน ! ”
“ คุณถามผมว่า แรงบันดาลใจของผมคืออะไร อะไรคือแรงบันดาลใจของผม ก็สิ่งที่อยู่รอบตัวผมนี่ไง คือแรงบันดาลใจที่หาได้ง่ายที่สุด ไม่ใช่ทุกคนจะค้นพบแรงบันดาลใจได้จากทุกที่ เราไม่มีทางรู้สึกหรือสัมผัสกับมันได้โดยตรง เหตุเพราะมันไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง แล้วทีนี้เราจะเห็นมันได้ยังไงคุณรู้ไหม เราก็สร้างมันขึ้นมายังไงล่ะ แต่ก่อนที่เราจะสร้าง เราต้องหามันให้เจอเสียก่อน หายังไงผมเองก็ไม่รู้ คนบางคนค้นพบแรงบันดาลใจของเขาขณะนอนหลับ ในความฝัน ความฝันในขณะนอนหลับ จุดประกายทางความคิดก่อเกิดเป็นแรงผลักดัน ให้เขามีพละกำลังที่จะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาสักอย่าง นี่คือการค้นพบแรงบันดาลใจอย่างแรก ที่สามารถพบเจอได้ด้วยตัวของตัวเอง
“ แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่รอให้แรงบันดาลใจมาหา อย่างที่ผมบอก เราไม่มีทางรู้ได้ว่าเราจะเจอมันเมื่อไหร่และที่ไหน ดังนั้นเขาจึงไม่รีรอที่จะพบมันแต่กลับพยายามตามหามันเสียเอง คุณคงได้ยินมาบ้างว่าบางคนถึงกับต้องเข้าไปหาความสงบในป่าเขา กินอยู่ใช้ชีวิตในป่า อยู่กับธรรมชาติ ซึมซับความงดงาม เปิดรับพลังงานบางอย่างที่ส่งผ่านมาจากธรรมชาติ พลังที่จะกลายเป็นแรงผลักดันให้เขามีพลังสร้างสรรค์งานศิลปะ นั่นล่ะคือแรงบันดาลใจที่ได้จากการตามหา
“ คุณคงเคยประหลาดใจกับพฤติกรรมบางอย่างของบุคคลที่คุณอาจเคยพบเห็น คุณตั้งคำถามขึ้นในใจและตอบตัวเองได้ในทันทีว่ามันไร้สาระและเป็นการกระทำที่โง่เขลา คุณไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากระทำ โดยไม่เคยระลึกว่าการกระทำของเขาอาจส่งผลประโยชน์มาถึงตัวคุณก็เป็นได้ ผมจะยกตัวอย่างให้คุณเข้าใจได้ง่ายๆ หากคุณอ่านหนังสือเล่มหนึ่งแล้วเกิดความซาบซึ้งตรึงตรา คุณมีความสุขที่ได้เสพผลงานเหล่านั้น และขณะเดียวกันคุณก็มองเห็นบางสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมันทำให้คุณมองโลกในมุมมองที่กว้างขวางขึ้น คุณรู้สึกประทับใจและชื่นชมในฝีมือการประพันธ์ของนักเขียน คุณเปิดไปที่ใบหน้าแรกของหนังสือมองไปที่ชื่อของนักประพันธ์ ซี่งแน่นอนคุณไม่เคยรู้จักแม้แต่ใบหน้าหรือรูปร่างของเขา และคุณก็ประทับชื่อของเขาไว้ในความทรงจำ คุณเฝ้าติดตามผลงานของนักเขียนนิรนามไปราวกับติดสิ่งเสพติด ซึ่งแน่นอนว่าคุณขาดมันไม่ได้ คุณพยายามค้นหาชื่อของเขาจากสารานุกรมบรรณโลกแต่กลับไม่พบ มันยิ่งทำให้คุณเกิดพลังศรัทธาในตัวของเขา คงเหมือนกับที่เราเชื่อในเรื่องผีสางนางไม้ที่ถึงแม้จะไม่เคยพบเห็นรูปร่างตัวตนที่แท้จริง แต่เราก็เชื่อเชื่อถึงการมีอยู่ พลังอันลึกลับบางอย่างที่ควบคุมจิตวิญญาณของคุณ
“ วันหนึ่งเมื่อคุณเดินอยู่บนทางเท้า จุดมุ่งหมายของคุณอาจเป็นร้านหนังสือสักแห่ง ในระหว่างทางที่คุณจะไปถึงนั้น คุณก็พบกับชายกลางคนคนหนึ่งนั่งขวางเส้นทางคุณอยู่ คุณจะทำอย่างไรเมื่อพบว่าเขามีอาการผิดแผกไปจากคนคนที่คุณเคยพบเห็น คุณพบว่าเขากำลังนั่งพินิจร่างไร้ชีวิตของแมลงสาบที่ตายแล้ว ”
“ ทำไมต้องเป็นแมลงสาบ ? ”
“ ทำไมคุณถึงถามเช่นนั้น หากผมบอกคุณไปว่าเขากำลังนั่งพินิจร่างไร้ชีวิตของชายขอทานข้างทางเท้า คุณจะยังถามผมด้วยคำถามแบบเดิมอีกหรือเปล่า ”
“ ไม่ หากเป็นร่างของชายขอทาน ผมจะถามคุณว่าทำไมจึงมีเขาเพียงคนเดียวที่ลงไปดูร่างนั้น ”
“ บางทีเขาอาจยังไม่ตายหรือตายไปแล้วก็ได้ ”
“ หากเขาตาย ทำไมไม่มีใครสนใจที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เขา ”
“ คุณว่าแปลกไหมล่ะ จะมีใครอยากเข้าไปวุ่นวายในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองโดยแท้จริง ”
“ เขาทำอย่างนั้นทำไม ? ”
“ คุณหมายถึงใคร ? ”
“ ชายกลางคน ”
“ เขาทำอะไร ? ”
“ เขาก้มลงไปดูซากแมลงสาบทำไม ”
“ ผมไม่รู้ ไม่มีใครเข้าใจความคิดของเขาหรอก ”
“ เป็นไปได้ไหมว่าเขาอาจเห็นเป็นอย่างอื่น ”
“ คุณหมายถึงแมลงสาบ ? ”
“ ใช่ เขาอาจมองเห็นเป็น - อาจเป็นของมีค่า ”
“ เช่นอะไร ”
“ แมลงสาบมันเหมือนอะไรล่ะ บางทีเขาอาจเห็นเป็นเพรชพลอยมั้ง ”
“ คุณเป็นคนที่มีจินตนาการสูงส่งทีเดียวครับ แต่จะเป็นไปได้อย่างไรเมื่อความจริงมันคือซากแมลงสาบที่ตายแล้ว ”
“ เขาก็อาจตาฝาดไปเอง ”
“ หากเขาตาฝาดจริงอย่างที่คุณพูด เหตุใดเขาจึงจ้องมองมันอยู่อย่างนั้นทั้งที่รู้แล้วว่ามันคือซากแมลงสาบ คำถามก็คือ เขามองเห็นอะไรมากไปกว่าความตายที่แลเห็น มันมีอะไรมากไปกว่าความตายที่สถิตอยู่บนทางเท้า ”
“ ผมไม่เข้าใจ ”
“ เรื่องที่น่าเศร้ามากกว่าก็คือ ความตายนั้นถูกกระทำจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่า คนที่มีขนาดตีนที่ใหญ่พอจะเหยียบหัวสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ”
“ นี่ เราคุยเรื่องอะไรกันอยู่ครับนี่ ”
“ แมลงสาบ สิ่งมีชีวืตที่แค่เห็นก็อยากจะฆ่าให้ตาย สิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจ น่าขยะแขยง และน่าเวทนา ”
“ มันเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่มองเห็นได้ยาก ”
“ หรือเป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นชีวิตของมัน ”
“ คุณกำลังทำให้ผมสับสน ”
“ ผมจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นมันก็ได้ และรอจังหวะให้มันหยุดอยู่นิ่งๆ แล้วจัดการเหยียบมันซะ ทุกอย่างก็จบ ไม่มีใครเอาผิดผมได้ ไม่มีกฎหมายมาตราใดจะจับผมเข้าคุกข้อหาเหยียบแมลงสาบตายโดยเจตนา ”
“ น่าสงสาร ”
“ ใช่ เพราะมันไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องความยุติธรรมได้เลย ”
“ มันพูดไม่เป็น ”
“ เราเองต่างหากที่ไม่เข้าใจภาษาของมัน ”
“ ก็เราเป็นมนุษย์ไม่ใช่แมลงสาบนี่ครับคุณ ”
“ นี่คุณรู้ไหมถ้าเลือกได้ ผมก็อยากจะอยู่กับแมลงสาบ มากกว่าจะอยู่กับคนด้วยกันเองอีกนะคุณ ”
“ คุณชักจะรั่วอีกแล้ว คุณเป็นอะไรมากไหม พักกินยาก่อนไหมคุณ ”
“ ไม่เป็นไรครับ ผมสบายดี ขอบคุณมากเลยครับขอบคุณ ”
“ ทำไมคุณถึงชอบอะไรสกปรกๆ นักล่ะ ”
“ ยังไง ? ”
“ ก็คุณอยากไปอยู่กับแมลงสาบ ? ”
“ แมลงสาบสกปรกงั้นหรือ ? ”
“ คุณนั่นแหละสกปรก ! ”
“ งั้นผมขอตั้งคำถามคุณอีกสักข้อ คุณสะอาดกว่าแมลงสาบตรงไหน ? ”
“ หนึ่ง ผมไม่มีพฤติกรรมการกินที่สกปรก ”
“ นั่นมันคือธรรมชาติการกินของมัน ”
“ สอง ผมไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นโดยการทำลายข้าวของของเขา ด้วยการไปแทะแกะกิน ”
“ ขนาดนั้นเลยหรือ ? ทำไมคุณไม่คิดว่าการที่มันเที่ยวไปแทะทำลายข้าวของ ของคุณ มันทำไปเพื่อเรียกร้องอะไรบางอย่างจากคุณ ”
“ อะไร ? ”
“ แปลกมาก คุณไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร ทั้งที่มันอยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับคุณ ”
“ ผมไม่ใช่แมลงสาบ ? ”
“ มันแตกต่างจากคุณตรงไหน มันก็มีชีวิตเช่นเดียวกันกับคุณนั่นล่ะ ”
“ งั้นถ้าคุณเข้าใจแมลงสาบ คุณก็บอกผมมาสิว่ามันต้องการอะไร ”
“ ต้องการให้คุณหยุดฟังความคิดของมันไงล่ะ ”
“ นี่คุณปกติดีอยู่รึเปล่าวะเนี่ย ”