เปิดใจ "พิม พิมพ์มาดา" ในวันนี้ที่ความเข้มแข็ง และกำลังใจเอาชนะมะเร็งได้
updated: 18 เม.ย. 2559
หลังแจ้งข่าวดีให้แฟนๆ ทราบผ่านอินสตาแกรม ‘pimmada’ ไปเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าผลการตรวจเลือดครั้งล่าสุดนั้นหายเป็นปกติจากโรคมะเร็งรังไข่แล้ว วันนี้ (18 เมษายน) ที่สตูดิโอจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ พิม – พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร ก็ได้เปิดใจถึงเคล็ดลับที่ทำให้เอาชนะเจ้าโรคมะเร็งได้
โดยพิมกล่าวว่า แม้คุณหมอจะบอกว่าทางการแพทย์ไม่มีอะไร 100% โรคภัยไข้เจ็บมาแล้วก็ไป เดี๋ยวก็มาได้อีก แต่ตอนนี้ตนก็รักษาครบทุกขั้นตอนที่ควรจะทำ ซึ่งผลตรวจเลือดออกมาคุณหมอก็แสดงความยินดีว่าหายเป็นปกติ ซึ่งตนดีใจมาก รู้สึกเลือดสูบฉีดตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศรีษะ เนื่องจากทุกครั้งที่ตรวจเลือดจะลุ้นว่าโดนฉีดยาไหม แต่ครั้งนี้กลับเป็นว่าหายเป็นปกติ เช่นเดียวกับคุณแม่ที่ทราบเป็นคนแรกก็ดีใจมาก หลังจากนี้แม้จะยังต้องพบหมออยู่เรื่อยๆ แต่ก็ค่อยห่างๆ จากตอนแรกๆ อย่างเมื่อให้เคมีบำบัดเข็มสุดท้าย ต้องพบคุณหมอ 2 สัปดาห์ครั้ง แต่จากนี้จะเดือนละครั้ง ส่วนเรื่องการดูแลตัวเองคุณหมอให้ใช้ชีวิตปกติ ดูแลตัวเอง เลือกรับประทานอาหาร แต่แบบสุดโต่งให้เดินทางสายกลาง
"สิ่งที่ทำให้พิมหาย อย่างที่เล่าให้ฟังแต่ต้นว่ายังไม่มีอาการเจ็บป่วยจากโรคนี้ บังเอิญตรวจเจอเร็วเลยรักษาได้ รักษาด้วยกระบวนการที่หมอวิเคราะห์ว่าน่าจะดีที่สุด คือ ทำคีโม 6 ครั้ง ซึ่งบางครั้งก็รู้สึกว่าเรายังไม่เป็น ทำไมต้องรักษารุนแรง แต่ก็โอเค โรคนี้ต้องรักษาแบบนี้ รักษาชุดใหญ่ขนาดนี้ก็ต้องหายแล้วล่ะ" พิมว่าพลางหัวเราะ
พร้อมบอกด้วยว่า ตนได้อะไรจากการป่วยเยอะมาก เช่น วิธีคิดเปลี่ยน วิธีใช้ชีวิต มุมมอง แต่ไม่ถึงกับเปลี่ยนเป็นคนดีไปเลยขนาดนั้น ยังเป็นเราเหมือนเดิม แต่เวลาคิดจะทำอะไรมันมีวิธีคิดที่แปลกใหม่บ้างเล็กน้อย นอกจากนี้ที่ทุกคนสงสัยเรื่องผม ตอนนี้เริ่มขึ้นแล้วเล็กน้อย นุ่มเหมือนขนแมว ในส่วนของคิ้วก็เช่นกัน ซึ่งตนก็พูดขำๆ กับคุณหมอว่าคีโมทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวเร็ว อย่างทำลายผมแต่ผมก็ขึ้นใหม่ แล้วมะเร็งจะขึ้นมาใหม่หรือไม่ แต่คุณหมอบอกมะเร็งตายแล้วตายเลย แต่วันข้างหน้าก็ต้องเป็นเรื่องของอนาคต อย่างไรก็ตามที่ทุกคนพูดว่าเป็นปาฏิหาริย์ก็ไม่ผิด แต่ต้องอยู่ที่ตัวเราด้วย ตามพุทธศาสนาทุกอย่างที่เกิดขึ้น กำหนดไว้แล้วตามกรรมดี กรรมไม่ดีที่เราทำมาซึ่งจะส่งผลกับเรา
ส่วนเรื่องอนาคตต่อจากนี้ พิมเล่าว่าตอนนี้คิดถึงวงการบันเทิงมาก อยากทำงานทุกอย่างที่ทำได้โดยไม่เป็นภาระใคร รวมถึงอยากมีความสุขในทุกวันแบบนี้
"ขอให้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บหนักๆ แบบนี้อีก หวังอย่างนั้น ส่วนอื่นๆ ใดๆ ยังไม่ได้วางแผนในอนาคตอันใกล้นี้ รู้สึกแค่อยากมีความสุขในทุกวันแบบนี้ ทำในสิ่งที่เรามีความสุขที่จะทำ มีประโยชน์กับสังคมได้บ้าง ในบางส่วนที่เราสามารถจะช่วยได้ ก็อยากช่วย"
"มันทำให้เข้าใจว่าความตายใกล้เรานิดเดียวเอง ไม่มีใครไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่มีใครไม่เจอโรคภัย ไม่เจอวันนี้ก็วันหน้า ไม่เจอน้อยก็เจอมาก มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องเจอ ฉะนั้นเราแค่รู้สึกว่าในเมื่อพอเกิด แก่ เริ่มเจ็บ มันก็มีวันที่เราต้องตาย รู้สึกว่าการใช้ชีวิตเข้าใกล้ความตายขึ้นทุกวัน ทำให้เราอยากอยู่บนโลกนี้อย่างมีประโยชน์ อยากอยู่แบบมีความสุข ทุกวันนี้เหมือนเรานับถอยหลังชีวิตตัวเอง ว่าเมื่อไรจะถึงที่เราตาย วันที่เหลือเราจะใช้ชีวิตแบบเปล่าประโยชน์หรือเปล่า ที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำตัวไร้ประโยชน์นะ เพียงแต่จากนี้จะคิดในเรื่องนี้มากขึ้น" พิมกล่าว
พร้อมบอกด้วยว่า รู้สึกตกใจมากที่เห็นคนเป็นห่วงเป็นใย ถามไถ่ตนมากขนาดนี้ นี่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผ่านมาได้ มีแรงใจที่จะคิดบวกมองเห็นความน่าอยู่ของโลกใบนี้ และมีแรงพอที่จะไปช่วยเหลือคนอื่น เพราะได้จากทุกคนมาเยอะมาก พอมีล้นก็อยากแบ่งปันให้คนอื่น ต้องขอบคุณทุกกำลังใจ เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจริงๆ ส่วนใครที่มองว่าตนเป็นไอดอล จริงๆ แล้วมีคนมากมายที่เข้มแข็งมากกว่าตน เพียงแต่ตนอยู่ในจุดที่ทุกคนมองเห็นได้ก็เท่านั้น
"มีโอกาสไปเยี่ยมผู้ป่วย เจอคุณป้า คุณน้า คุณแม่ หลาย ๆ วัย ทำให้รู้ว่าเรื่องของเราเล็กนิดเดียวจริงๆ คนที่เขาเป็นนักสู้กว่าพิมมีเยอะมาก แต่แค่ไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ แค่ไม่ได้ออกสื่อแบบที่พิมพูดอยู่ แต่เขาเหล่านั้นเก่งกว่าพิมเยอะมาก บางคนอยู่กับโรคมะเร็งเป็นสิบๆ ปี ให้คีโมไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง เขาเผชิญกับเรื่องนี้มานาน มีคนบนโลกนี้อีกมากที่แข็งแกร่งกว่าพิมพ์ แค่วันนี้พิมพ์มาเป็นส่วนเล็กๆ ที่มีโอกาสได้ เป็นตัวแทนออกมาพูด บอกเล่าในสิ่งที่เราเจอและเป็นกำลังใจให้อีกหลายๆคน เท่านี้ถือว่าเป็นประโยชน์แล้ว มีบุญแล้ว ที่เราป่วยแล้วเอาเรื่องราวของเรามาถ่ายทอดคนอื่น"
"เป็นกำลังใจให้นะคะ หลังจากพิมเผชิญสิ่งนี้เลยรู้ว่ามีคนเผชิญเรื่องนี้ในจำนวนเยอะมาก พิมเองก็เหมือนเป็นตัวแทนว่าพิมยังหายเลย เพราะ 1.พิมกำลังใจดี 2. พิมทำตามหมอแนะนำทุกอย่าง ไม่ดื้อ ไม่ซน ถ้าทำได้ตรงนี้ แล้วเข้มแข็งมันจะผ่านไป โรคนี้ไม่เหมือนโรคอื่น ต้องใช้ระยะเวลา ไม่ใช่กินยา 1-2 วันแล้วหาย มันทรมานแต่ก็สู้นะคะ ถ้าเข้มแข็งกำลังใจดี มันก็ทำร้ายเราไม่ได้" พิมกล่าวในที่สุด
ที่มา
http://prachachat.net/news_detail.php?newsid=1460967765
เปิดใจ "พิม พิมพ์มาดา" ในวันนี้ที่ความเข้มแข็ง และกำลังใจเอาชนะมะเร็งได้
updated: 18 เม.ย. 2559
หลังแจ้งข่าวดีให้แฟนๆ ทราบผ่านอินสตาแกรม ‘pimmada’ ไปเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าผลการตรวจเลือดครั้งล่าสุดนั้นหายเป็นปกติจากโรคมะเร็งรังไข่แล้ว วันนี้ (18 เมษายน) ที่สตูดิโอจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ พิม – พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร ก็ได้เปิดใจถึงเคล็ดลับที่ทำให้เอาชนะเจ้าโรคมะเร็งได้
โดยพิมกล่าวว่า แม้คุณหมอจะบอกว่าทางการแพทย์ไม่มีอะไร 100% โรคภัยไข้เจ็บมาแล้วก็ไป เดี๋ยวก็มาได้อีก แต่ตอนนี้ตนก็รักษาครบทุกขั้นตอนที่ควรจะทำ ซึ่งผลตรวจเลือดออกมาคุณหมอก็แสดงความยินดีว่าหายเป็นปกติ ซึ่งตนดีใจมาก รู้สึกเลือดสูบฉีดตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศรีษะ เนื่องจากทุกครั้งที่ตรวจเลือดจะลุ้นว่าโดนฉีดยาไหม แต่ครั้งนี้กลับเป็นว่าหายเป็นปกติ เช่นเดียวกับคุณแม่ที่ทราบเป็นคนแรกก็ดีใจมาก หลังจากนี้แม้จะยังต้องพบหมออยู่เรื่อยๆ แต่ก็ค่อยห่างๆ จากตอนแรกๆ อย่างเมื่อให้เคมีบำบัดเข็มสุดท้าย ต้องพบคุณหมอ 2 สัปดาห์ครั้ง แต่จากนี้จะเดือนละครั้ง ส่วนเรื่องการดูแลตัวเองคุณหมอให้ใช้ชีวิตปกติ ดูแลตัวเอง เลือกรับประทานอาหาร แต่แบบสุดโต่งให้เดินทางสายกลาง
"สิ่งที่ทำให้พิมหาย อย่างที่เล่าให้ฟังแต่ต้นว่ายังไม่มีอาการเจ็บป่วยจากโรคนี้ บังเอิญตรวจเจอเร็วเลยรักษาได้ รักษาด้วยกระบวนการที่หมอวิเคราะห์ว่าน่าจะดีที่สุด คือ ทำคีโม 6 ครั้ง ซึ่งบางครั้งก็รู้สึกว่าเรายังไม่เป็น ทำไมต้องรักษารุนแรง แต่ก็โอเค โรคนี้ต้องรักษาแบบนี้ รักษาชุดใหญ่ขนาดนี้ก็ต้องหายแล้วล่ะ" พิมว่าพลางหัวเราะ
พร้อมบอกด้วยว่า ตนได้อะไรจากการป่วยเยอะมาก เช่น วิธีคิดเปลี่ยน วิธีใช้ชีวิต มุมมอง แต่ไม่ถึงกับเปลี่ยนเป็นคนดีไปเลยขนาดนั้น ยังเป็นเราเหมือนเดิม แต่เวลาคิดจะทำอะไรมันมีวิธีคิดที่แปลกใหม่บ้างเล็กน้อย นอกจากนี้ที่ทุกคนสงสัยเรื่องผม ตอนนี้เริ่มขึ้นแล้วเล็กน้อย นุ่มเหมือนขนแมว ในส่วนของคิ้วก็เช่นกัน ซึ่งตนก็พูดขำๆ กับคุณหมอว่าคีโมทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวเร็ว อย่างทำลายผมแต่ผมก็ขึ้นใหม่ แล้วมะเร็งจะขึ้นมาใหม่หรือไม่ แต่คุณหมอบอกมะเร็งตายแล้วตายเลย แต่วันข้างหน้าก็ต้องเป็นเรื่องของอนาคต อย่างไรก็ตามที่ทุกคนพูดว่าเป็นปาฏิหาริย์ก็ไม่ผิด แต่ต้องอยู่ที่ตัวเราด้วย ตามพุทธศาสนาทุกอย่างที่เกิดขึ้น กำหนดไว้แล้วตามกรรมดี กรรมไม่ดีที่เราทำมาซึ่งจะส่งผลกับเรา
ส่วนเรื่องอนาคตต่อจากนี้ พิมเล่าว่าตอนนี้คิดถึงวงการบันเทิงมาก อยากทำงานทุกอย่างที่ทำได้โดยไม่เป็นภาระใคร รวมถึงอยากมีความสุขในทุกวันแบบนี้
"ขอให้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บหนักๆ แบบนี้อีก หวังอย่างนั้น ส่วนอื่นๆ ใดๆ ยังไม่ได้วางแผนในอนาคตอันใกล้นี้ รู้สึกแค่อยากมีความสุขในทุกวันแบบนี้ ทำในสิ่งที่เรามีความสุขที่จะทำ มีประโยชน์กับสังคมได้บ้าง ในบางส่วนที่เราสามารถจะช่วยได้ ก็อยากช่วย"
"มันทำให้เข้าใจว่าความตายใกล้เรานิดเดียวเอง ไม่มีใครไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่มีใครไม่เจอโรคภัย ไม่เจอวันนี้ก็วันหน้า ไม่เจอน้อยก็เจอมาก มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องเจอ ฉะนั้นเราแค่รู้สึกว่าในเมื่อพอเกิด แก่ เริ่มเจ็บ มันก็มีวันที่เราต้องตาย รู้สึกว่าการใช้ชีวิตเข้าใกล้ความตายขึ้นทุกวัน ทำให้เราอยากอยู่บนโลกนี้อย่างมีประโยชน์ อยากอยู่แบบมีความสุข ทุกวันนี้เหมือนเรานับถอยหลังชีวิตตัวเอง ว่าเมื่อไรจะถึงที่เราตาย วันที่เหลือเราจะใช้ชีวิตแบบเปล่าประโยชน์หรือเปล่า ที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำตัวไร้ประโยชน์นะ เพียงแต่จากนี้จะคิดในเรื่องนี้มากขึ้น" พิมกล่าว
พร้อมบอกด้วยว่า รู้สึกตกใจมากที่เห็นคนเป็นห่วงเป็นใย ถามไถ่ตนมากขนาดนี้ นี่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผ่านมาได้ มีแรงใจที่จะคิดบวกมองเห็นความน่าอยู่ของโลกใบนี้ และมีแรงพอที่จะไปช่วยเหลือคนอื่น เพราะได้จากทุกคนมาเยอะมาก พอมีล้นก็อยากแบ่งปันให้คนอื่น ต้องขอบคุณทุกกำลังใจ เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจริงๆ ส่วนใครที่มองว่าตนเป็นไอดอล จริงๆ แล้วมีคนมากมายที่เข้มแข็งมากกว่าตน เพียงแต่ตนอยู่ในจุดที่ทุกคนมองเห็นได้ก็เท่านั้น
"มีโอกาสไปเยี่ยมผู้ป่วย เจอคุณป้า คุณน้า คุณแม่ หลาย ๆ วัย ทำให้รู้ว่าเรื่องของเราเล็กนิดเดียวจริงๆ คนที่เขาเป็นนักสู้กว่าพิมมีเยอะมาก แต่แค่ไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ แค่ไม่ได้ออกสื่อแบบที่พิมพูดอยู่ แต่เขาเหล่านั้นเก่งกว่าพิมเยอะมาก บางคนอยู่กับโรคมะเร็งเป็นสิบๆ ปี ให้คีโมไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง เขาเผชิญกับเรื่องนี้มานาน มีคนบนโลกนี้อีกมากที่แข็งแกร่งกว่าพิมพ์ แค่วันนี้พิมพ์มาเป็นส่วนเล็กๆ ที่มีโอกาสได้ เป็นตัวแทนออกมาพูด บอกเล่าในสิ่งที่เราเจอและเป็นกำลังใจให้อีกหลายๆคน เท่านี้ถือว่าเป็นประโยชน์แล้ว มีบุญแล้ว ที่เราป่วยแล้วเอาเรื่องราวของเรามาถ่ายทอดคนอื่น"
"เป็นกำลังใจให้นะคะ หลังจากพิมเผชิญสิ่งนี้เลยรู้ว่ามีคนเผชิญเรื่องนี้ในจำนวนเยอะมาก พิมเองก็เหมือนเป็นตัวแทนว่าพิมยังหายเลย เพราะ 1.พิมกำลังใจดี 2. พิมทำตามหมอแนะนำทุกอย่าง ไม่ดื้อ ไม่ซน ถ้าทำได้ตรงนี้ แล้วเข้มแข็งมันจะผ่านไป โรคนี้ไม่เหมือนโรคอื่น ต้องใช้ระยะเวลา ไม่ใช่กินยา 1-2 วันแล้วหาย มันทรมานแต่ก็สู้นะคะ ถ้าเข้มแข็งกำลังใจดี มันก็ทำร้ายเราไม่ได้" พิมกล่าวในที่สุด
ที่มา
http://prachachat.net/news_detail.php?newsid=1460967765