เมื่อตัวเองกลายเป็น "เด็กเส้น" ในการสอบเข้ารับราชการ

เห็นชื่อกระทู้หลายคนคงจะรู้สึกไม่ดีกับผมแน่ ๆ แต่ก่อนจะคิดแบบนั้นกรุณาอ่านเรื่องราวของผมก่อน เพราะความจริงแล้วการเป็นเด็กเส้นมันเครียดและกดดันขนาดไหน

เรื่องราวมีอยู่ว่าผมก็เป็นคนตกงานคนนึงที่ต้องการหางานทำ ผมสมัครมาหลายที่ เอกชน รัฐวิสาหกิจ รวมถึงหาช่องทางทำธุรกิจส่วนตัว (แม้จะไม่ค่อยได้ผลดังที่ตั้งใจเอาไว้ แต่ก็เป็นอะไรที่มีความสุขกว่าทุกงาน) แต่งานที่ครอบครัวผลักดันจริง ๆ ก็คือการเข้ารับราชการ เหตุผลก็ทั่ว ๆ ไปครับ มั่นคง สวัสดิการ มีเกียรติ ฯลฯ ผมสอบมาหลายที่ครับมีทั้งได้และไม่ได้ แต่ตำแหน่งที่สอบได้ส่วนใหญเป็นตำแหน่ง นักประชาสัมพันธ์/นักวิชาการเผยแพร่ ปฏิบัติการ เพราะผมเรียนมาทางด้านนี้ และชอบศึกษาและค้นคว้าเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้ขนาดจริงจังอะไร แค่พอให้สอบข้อเขียนให้ผ่าน จนเมื่อไม่นานมานี้ผมสอบข้อเขียนในตำแหน่งนักวิชาการเผยแพร่ปฏิบัติการของกรม...(แห่งหนึ่ง)...ผ่าน ตอนแรกก็ไม่ได้มีอะไร ก็คิดว่าไปสัมภาษณ์เดี๋ยวก็คงตกสัมภาษณ์อยู่ดี  

(นอกเรื่องนิดนึง: เพราะตอนที่ไปสัมภาษณ์เขาให้พูดเพื่อประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ผมดันพูดเรื่องปัญหาของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนั้นซะก่อน แถมคำถามอีกข้อ เคยไปสถานที่ของกรม...(แห่งนี้: เป็นสถานที่ท่องเที่ยว)...หรือเปล่า ผมตอบว่าไป แต่ดันบอกว่าจำชื่อไม่ได้ ไม่แปลกใจใช่ไหมครับว่าทำไมถึงเงิบทุกครั้งตอนสัมภาษณ์)

แต่เรื่องเกิดขึ้นก็ตอนที่ญาติของผมมาที่บ้าน แล้วก็พูดคุยเรื่องนี้กัน ปรากฎว่า วันต่อมาญาติของผมไปพูดคุยเพื่อนของเขา ซึ่งเป็นถึงเลขารัฐมนตรีกระทรวงที่กรมแห่งนี้สังกัดอยู่ ตอนแรกเพื่อนของญาติผมบอกว่ามี "ตัว (เด็กเส้น) ครบแล้ว" ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรนะ ก็คิดว่าก็คงเหมือนที่แล้ว ๆ มา ไม่ได้ซีเรียสอะไร

แต่ปัญหาเกิดขึ้นหลังจากนั้น ไม่กี่วันต่อมา ญาติผมมาที่บ้านอีกครั้ง มาขอ ชื่อ ตำแหน่งที่สมัคร กับเลขประจำตัวสอบผมไปให้ เขาบอกว่า "จะลองดู แต่ไม่รับปากว่าจะได้นะ" จริง ๆ ผมก็ไม่อยากจะให้เขาหรอก เพราะผมไม่ปลื้มกับการเป็นเด็กฝากเด็กเส้นนัก แต่ก็ขัดที่บ้านไม่ได้ เพราะพวกเขาอยากให้ผมมีงานทำเสียที ก็เลยจำใจให้ข้อมูลพวกนั้นกับญาติไป และจากนั้น ผมก็สังเกตท่าทีของเขา เขาไม่พูดนี้เลยถ้าผมหรือที่บ้านผมไม่เอ่ยถาม อย่างมากก็แค่ถามว่าประกาศผลเมื่อไหร่แค่นั้น เลยเดาไม่ถูกว่า เขาช่วยได้หรือไม่ อะไรยังไง????

ถ้าถามความรู้สึกส่วนตัว ณ เวลานี้ ผมก็ไม่อยากจะเข้าทำงานที่กรมแห่งนี้แล้วล่ะ ประการแรก ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนดี มีคุณธรรมอะไรหนักหนาหรอก แต่ผมกลัวว่าเป็นเด็กเส้นแล้วจะวางตัวลำบาก ถ้าเข้าไปเจอผู้บังคับบัญชาที่เป็นคนของเพื่อนของญาติผมก็ดีไป แต่ถ้าตรงข้ามผมก็จะอยู่ลำบาก หรือถึงเป็นอย่างแรก แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนนินทา หรือวันดีคืนดีผู้บังคับบัญชาเปลี่ยนไปเป็นอีกฝั่งหนึ่งผมก็จะต้องเจอเรื่องยุ่งยากไม่น้อยเช่นกัน (ยังไม่นับเรื่องโดนปัดแข้งปัดขาอีกนะ)

ประการต่อมา การที่เขาช่วยผม... อืม ก็เข้าใจว่าเขาหวังดีนะ แต่ที่ทำนี่มันก็คือการคอร์รัปชั่นแบบนึงหรือเปล่า คนที่ควรได้กลับไม่ได้ แต่คนที่ไม่ควรได้กลับได้ แล้ว...เชื่อขนมเด็กกินได้เลยว่า ผมทำงานไปสักพักก็ต้องมีเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทนอีก ถ้าเป็นเรื่องดีก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีผมก็จะเดือดร้อนไปด้วย เคยเห็นแต่คนที่โดนก็เป็นข้าราชการระดับไม่สูงมากทั้งนั้น ส่วนคนใหญ่ ๆ โต ๆ...(คิดเอง)

ประการสุดท้าย ถึงตอนนี้ผมอยากได้งานที่มีรายได้ดูแลครอบครัวได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเวลาให้ผมได้ทำในสิ่งที่ผมอยากทำ (จริง ๆ) ไปด้วยได้ ตั้งแต่ผมตกงานมาผมก็คิดและทำโปรเจคหลาย ๆ อย่างไว้ ถ้าต้องไปทำงานประจำเกรงว่าสิ่งที่ทำไว้จะสูญเปล่า เพราะแต่ละอย่างต้องอาศัยเวลา สมาธิ พลังสมองทั้งนั้น กลัวว่าไปทำงานประจำพาวเวอร์จะหมดหลอดซะก่อน ถึงเสาร์-อาทิตย์ก็จะไม่อยากทำอีก แล้วข้อเสียอย่างมากของผมก็คือ (แก้เท่าไหร่ก็ไม่หาย) ถ้ามีอะไรมากระทบ สมองผมก็จะวนลูปแต่เรื่องนั้น ไม่มีสมาธิทำงาน กลัวการงานจะเสียทั้งงานราษฎร์งานหลวง

นี่แหละครับ ความทุกข์ของคนเป็น "เด็กเส้น" อย่างที่บอกครับ ผมไม่ได้เป็นคนดีมีคุณธรรม จริยธรรมสักเท่าไหร่หรอก ก็ยังอยากได้ อยากเห็นแก่ตัวเหมือนกัน แต่ถ้าอะไรที่ได้มาแล้วมาเป็นทุกข์ทีหลังผมก็ไม่เอานะ ไม่อยากมานั่งแก้ปัญหาแบบนี้ ที่สำคัญผมเป็นคนไม่ค่อยชอบเรื่องลาภยศเท่าไหร่ เพราะเห็นคนใหญ่ ๆ โต ๆ ก็ไม่ค่อยจะมีความสุขเท่าไหร่นัก ผมชอบชีวิตที่อิสระ อยากทำอะไรก็ได้ทำ สำเร็จเล็กน้อยล้มเหลวเยอะหน่อย (แต่อย่ามาก) ก็ยังดีกว่าต้องมาเผชิญอะไรที่วนเวียนแบบนี้

ปล. อยากรู้เหมือนกันว่าผมมีโอกาสได้เข้าไปทำงานในกรมนี้มากน้อยขนาดไหน และถ้าได้ขึ้นมา (เอาแบบตรง ๆ เลย) จะหลีกหนียังไงดี??
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่