ผมทำงานบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่ง
ทางบริษัทรับพนักงานใหม่ตำแหน่ง PM (Project Manager)
พนักงานท่านนี้จบ ป.ตรี วิศวกรรม มหาวิทยาลัย top3 ในไทย
ต่อมาไปเรียน Interior สถาบันของประเทศอิตาลี
ตอนเข้ามาทำงานอายุ 29 ย่าง 30 เงินเดือนอยู่ราวๆ 55k-65k ซึ่งสูงกว่าพนักงานในรุ่นๆเดียวกันมากๆ
ในเรื่องการทำงาน เขาทำเป็นทั้ง AutoCad และ Sketchup คือทำได้ทั้ง 2d และ 3d
และทำโปรแกรม excel และ macro ได้ด้วย ที่หน้างานเขาจะดูเองแทบทุกอย่าง
ปัญหาที่เจอเกี่ยวกับตัวเขาคือ
ในบริษัทจะมีระบบแสกนนิ้วให้พนักงานก่อนเข้างาน
และพนักงานทุกคนต้องเขียนรายงานว่าวันนี้จะทำอะไร
แต่เขาไม่เขียนโดยให้เหตุผลว่าตอนสัมภาษณ์งาน ไม่ได้บอกไว้ว่าต้องแสกนนิ้ว
และตอนที่เขาบอกว่าเขามีความสามารถอะไรบ้าง เขาไม่ได้บอกว่าเขามีความสามารถในการแสกนนิ้วด้วย ดังนั้นเขาไม่แสกน
และเขายืนยันว่า "งานคุณจะดีหรือไม่ดีไม่ได้อยู่ที่การแสกนนิ้วแต่งานคุณจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่ตัวคุณเองทำงานให้มันดีหรือไม่ แค่นั้น จบ"
ตอนทำงานเขาจะเริ่มจากสั่งงานเป็นทอดๆ จากเขาไปวิศวกร และไปโฟร์แมน และลงไปหน้างาน
แต่ถ้าช้า เขาจะลองขึ้นรูป 3 มิติดูก่อนเพื่อเคลียรูปแบบอาคารและกำหนดรายละเอียดต่างๆตามแบบ
และสุดท้ายเขาจะลงไปสั่งหน้างานเอง
เช่น ระดับตัดเสาเข็ม เขาจะส่องกล้องเองและลงไปในหลุมเสาเข็มและชี้ระดับตัดเอง
ส่วนเหล็กเขาจะถอดปริมาณเองโดยใช้โปรแกรมและทำตารางสั่งเหล็กและตรวจปริมาณในสโตร์เอง
เขาบอกว่าในมุมของเขาถ้าเปรียบเทียบกับผู้จัดการร้านอาหาร ถ้าร้านอาหารไม่มีพนักงานขัดส้วมผู้จัดการก็ต้องไปขัดเองได้
เพราะนั่นคือความรับผิดชอบของผู้จัดการ ดังนั้นสำหรับเขาสิ่งที่ทำยังถือว่าห่างไกลมาก
ถ้าคนอื่นช้าหรือไม่ทำเขาก็ต้องทำปัญหามีอยู่แค่นั้น ซึ่งเขาแก้ปัญหาแล้วและปัญหาจบไปแล้ว ถึงเวลาไปผมก็ไปแค่นั้นเอง
ตอนทำงวดงานให้ผู้รับเหมาเขาก็ทำตรงเวลาตลอด
และเขาไม่ชอบให้ผู้รับเหมาไหว้เขา ถึงจะเป็นการขอบคุณก็ตาม
เขาบอกว่าเขาตลกมากเวลาเห็นใครไหว้เพราะได้ในสิ่งที่ควรได้ ทำงานเสร็จตามสัญญาก็รับเงินไป มันจะเป็นพระคุณยังไงเขาไม่เข้าใจ
และเขาสามารถคุยส่งงวดงานกับเจ้าของงานได้เก่งมาก
ตอนดูเขาสัมภาษณ์งานกับตอนคุยกับเจ้าของงานเหมือนกันมาก สไตร์พูดน้อย ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นคนเกรงใจคน ดูเก่งแต่ไม่ทิ่มแทงใคร
แต่เบื้องหลังเขาก็บอกว่าเขาก็เหมือนเดิมนะ พวกผมคิดมากกันไปเอง
เรื่องงานอินทีเรียเขาก็คุยกับเจ้าของเก่งมาก แนะนำได้เกือบหมด ว่าเฟอร์นิเจอร์ไหนดีกว่ากัน
ทางเดินเท่าไร เหมาะหรือไม่เหมาะซึ่งได้ใจลูกค้ามากๆ
เขาก็บอกว่าเค้าไสตร์ storage คือชอบดูการจัดวาง แต่เขาไม่ชอบสไตร์ shade คือการลงสีเลือกสไตร์
เค้าเลยมาทำแนวนี้แทน
เขาเคยบอกกับลูกน้องเขาว่า บางคนก็ทราบว่าเงินเดือนเขาสูงและมีความคิดไม่ค่อยเหมือนคนอื่น
แต่สิ่งที่ลูกน้องเขาควรคิดก็คือ ทำไมเงินเดือนเขาถึงสูง ไม่ใช่มองเรื่องคิดไม่เหมือนคนอื่นจะอยู่รอดได้มั้ย
ผมเคยดูเขาคุยเรื่องออกแบบก่อสร้างต่างๆวิศวกรของบริษัทก็บอกว่าเขาเก่งมากและพอถามว่าทำไมไม่สอบปรับระดับ
เขาก็ตอบว่า "ผมขี้เกียจ" และบอกว่า "ผมคิดว่าวิศวกรควรจะเก่งกว่านี้ ถ้าผมคิดว่าผมยังไม่เก่งต่อให้ได้มาผมก็ไม่รู้สึกว่ามันมีประโยชน์อะไร มันจะกลายเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณซะอีก"
ตอนนี้เกิดปัญหาก็คือ ฝ่ายบุคคลจะไม่ยอมต่อสัญญากับเขา(บริษัททำสัญญาเป็นรายปี) เพราะเขาไม่แสกนนิ้วซึ่งเป็นกฎของบริษัท
แต่พอพิจารณาผลงานเขา เขาทำกำไรให้บริษัทประมาณ 25% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 15%
และเขาทำงานเสร็จก่อนสัญญาโดยใช้ระยะเวลาราวๆ 75% ของสัญญา ซึ่งค่าเฉลี่อยู่ที่ 105%
และอีกปัญหาคือ ลูกค้าพึงพอใจคนนี้มากและเสนองานชิ้นต่อไปให้บริษัทด้วย
ตอนนี้เขาทำงาน 9 เดือน จะครบ 1 ปีแล้วและเขาก็พูดชัดเจนว่าเขาไม่แสกนนิ้วเพราะเขาบอกเหตุผลไปแล้ว
และการตัดสินใจว่าต่อหรือไม่ต่อสัญญา เป็นสิทธิ์ของเจ้าของบริษัท ไม่ใช่ฝ่ายบุคคล
และเขาจะจรดปากกาเซ็นต์สัยญาหรือไม่ มันก็อยู่ที่เขาเช่นกัน เพราะถ้าเค้าอารมณ์ไม่ดีไปอีก 1 วัน เขาอาจจะไม่เซ็นต์เลยก็ได้
ทีนี้เจ้าของบริษัทก็มาถามผมว่า ถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัทผทจะรับได้มั้ย
ผมเลยมาถามเพื่อนๆมรพันทิพดูว่า ถ้าเป็นเพื่อนๆ จะรับได้มั้ยครับ
ขอบคุณครับ
ถ้าคุณมีเพื่อนร่วมงานมีแนวคิดแบบนี้คุณจะรับได้มั้ย
ทางบริษัทรับพนักงานใหม่ตำแหน่ง PM (Project Manager)
พนักงานท่านนี้จบ ป.ตรี วิศวกรรม มหาวิทยาลัย top3 ในไทย
ต่อมาไปเรียน Interior สถาบันของประเทศอิตาลี
ตอนเข้ามาทำงานอายุ 29 ย่าง 30 เงินเดือนอยู่ราวๆ 55k-65k ซึ่งสูงกว่าพนักงานในรุ่นๆเดียวกันมากๆ
ในเรื่องการทำงาน เขาทำเป็นทั้ง AutoCad และ Sketchup คือทำได้ทั้ง 2d และ 3d
และทำโปรแกรม excel และ macro ได้ด้วย ที่หน้างานเขาจะดูเองแทบทุกอย่าง
ปัญหาที่เจอเกี่ยวกับตัวเขาคือ
ในบริษัทจะมีระบบแสกนนิ้วให้พนักงานก่อนเข้างาน
และพนักงานทุกคนต้องเขียนรายงานว่าวันนี้จะทำอะไร
แต่เขาไม่เขียนโดยให้เหตุผลว่าตอนสัมภาษณ์งาน ไม่ได้บอกไว้ว่าต้องแสกนนิ้ว
และตอนที่เขาบอกว่าเขามีความสามารถอะไรบ้าง เขาไม่ได้บอกว่าเขามีความสามารถในการแสกนนิ้วด้วย ดังนั้นเขาไม่แสกน
และเขายืนยันว่า "งานคุณจะดีหรือไม่ดีไม่ได้อยู่ที่การแสกนนิ้วแต่งานคุณจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่ตัวคุณเองทำงานให้มันดีหรือไม่ แค่นั้น จบ"
ตอนทำงานเขาจะเริ่มจากสั่งงานเป็นทอดๆ จากเขาไปวิศวกร และไปโฟร์แมน และลงไปหน้างาน
แต่ถ้าช้า เขาจะลองขึ้นรูป 3 มิติดูก่อนเพื่อเคลียรูปแบบอาคารและกำหนดรายละเอียดต่างๆตามแบบ
และสุดท้ายเขาจะลงไปสั่งหน้างานเอง
เช่น ระดับตัดเสาเข็ม เขาจะส่องกล้องเองและลงไปในหลุมเสาเข็มและชี้ระดับตัดเอง
ส่วนเหล็กเขาจะถอดปริมาณเองโดยใช้โปรแกรมและทำตารางสั่งเหล็กและตรวจปริมาณในสโตร์เอง
เขาบอกว่าในมุมของเขาถ้าเปรียบเทียบกับผู้จัดการร้านอาหาร ถ้าร้านอาหารไม่มีพนักงานขัดส้วมผู้จัดการก็ต้องไปขัดเองได้
เพราะนั่นคือความรับผิดชอบของผู้จัดการ ดังนั้นสำหรับเขาสิ่งที่ทำยังถือว่าห่างไกลมาก
ถ้าคนอื่นช้าหรือไม่ทำเขาก็ต้องทำปัญหามีอยู่แค่นั้น ซึ่งเขาแก้ปัญหาแล้วและปัญหาจบไปแล้ว ถึงเวลาไปผมก็ไปแค่นั้นเอง
ตอนทำงวดงานให้ผู้รับเหมาเขาก็ทำตรงเวลาตลอด
และเขาไม่ชอบให้ผู้รับเหมาไหว้เขา ถึงจะเป็นการขอบคุณก็ตาม
เขาบอกว่าเขาตลกมากเวลาเห็นใครไหว้เพราะได้ในสิ่งที่ควรได้ ทำงานเสร็จตามสัญญาก็รับเงินไป มันจะเป็นพระคุณยังไงเขาไม่เข้าใจ
และเขาสามารถคุยส่งงวดงานกับเจ้าของงานได้เก่งมาก
ตอนดูเขาสัมภาษณ์งานกับตอนคุยกับเจ้าของงานเหมือนกันมาก สไตร์พูดน้อย ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นคนเกรงใจคน ดูเก่งแต่ไม่ทิ่มแทงใคร
แต่เบื้องหลังเขาก็บอกว่าเขาก็เหมือนเดิมนะ พวกผมคิดมากกันไปเอง
เรื่องงานอินทีเรียเขาก็คุยกับเจ้าของเก่งมาก แนะนำได้เกือบหมด ว่าเฟอร์นิเจอร์ไหนดีกว่ากัน
ทางเดินเท่าไร เหมาะหรือไม่เหมาะซึ่งได้ใจลูกค้ามากๆ
เขาก็บอกว่าเค้าไสตร์ storage คือชอบดูการจัดวาง แต่เขาไม่ชอบสไตร์ shade คือการลงสีเลือกสไตร์
เค้าเลยมาทำแนวนี้แทน
เขาเคยบอกกับลูกน้องเขาว่า บางคนก็ทราบว่าเงินเดือนเขาสูงและมีความคิดไม่ค่อยเหมือนคนอื่น
แต่สิ่งที่ลูกน้องเขาควรคิดก็คือ ทำไมเงินเดือนเขาถึงสูง ไม่ใช่มองเรื่องคิดไม่เหมือนคนอื่นจะอยู่รอดได้มั้ย
ผมเคยดูเขาคุยเรื่องออกแบบก่อสร้างต่างๆวิศวกรของบริษัทก็บอกว่าเขาเก่งมากและพอถามว่าทำไมไม่สอบปรับระดับ
เขาก็ตอบว่า "ผมขี้เกียจ" และบอกว่า "ผมคิดว่าวิศวกรควรจะเก่งกว่านี้ ถ้าผมคิดว่าผมยังไม่เก่งต่อให้ได้มาผมก็ไม่รู้สึกว่ามันมีประโยชน์อะไร มันจะกลายเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณซะอีก"
ตอนนี้เกิดปัญหาก็คือ ฝ่ายบุคคลจะไม่ยอมต่อสัญญากับเขา(บริษัททำสัญญาเป็นรายปี) เพราะเขาไม่แสกนนิ้วซึ่งเป็นกฎของบริษัท
แต่พอพิจารณาผลงานเขา เขาทำกำไรให้บริษัทประมาณ 25% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 15%
และเขาทำงานเสร็จก่อนสัญญาโดยใช้ระยะเวลาราวๆ 75% ของสัญญา ซึ่งค่าเฉลี่อยู่ที่ 105%
และอีกปัญหาคือ ลูกค้าพึงพอใจคนนี้มากและเสนองานชิ้นต่อไปให้บริษัทด้วย
ตอนนี้เขาทำงาน 9 เดือน จะครบ 1 ปีแล้วและเขาก็พูดชัดเจนว่าเขาไม่แสกนนิ้วเพราะเขาบอกเหตุผลไปแล้ว
และการตัดสินใจว่าต่อหรือไม่ต่อสัญญา เป็นสิทธิ์ของเจ้าของบริษัท ไม่ใช่ฝ่ายบุคคล
และเขาจะจรดปากกาเซ็นต์สัยญาหรือไม่ มันก็อยู่ที่เขาเช่นกัน เพราะถ้าเค้าอารมณ์ไม่ดีไปอีก 1 วัน เขาอาจจะไม่เซ็นต์เลยก็ได้
ทีนี้เจ้าของบริษัทก็มาถามผมว่า ถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัทผทจะรับได้มั้ย
ผมเลยมาถามเพื่อนๆมรพันทิพดูว่า ถ้าเป็นเพื่อนๆ จะรับได้มั้ยครับ
ขอบคุณครับ