คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
1. ไม่จำเป็นครับ จะเป็นเฉพาะช่วงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นต้นมามากกว่า จนหลังสมัยสมเด็จพระนเรศวรก็ไม่ปรากฏการส่งวังหน้าให้ไปมีสิทธิขาดในหัวเมืองฝ่ายเหนืออีกครับ
สันนิษฐานว่าที่ในระยะหลังไม่ให้วังหน้าไปครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกรุงศรีอยุทธยาต้องการรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางเพื่อให้มีเสถียรภาพในการปกครอง เพื่อหลีกเลี่ยงการกระจายอำนาจไปยังหัวเมืองซึ่งมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการแย่งชิงอำนาจโดยอาศัยกำลังจากหัวเมืองได้ ซึ่งจะพบได้มากในสมัยอยุทธยาตอนต้นที่เกิดการแย่งชิงอำนาจระหว่างราชวงศ์ละโว้ซึ่งสืบวงศ์จากพระเจ้ารามาธิบดีกับราชวงศ์สุพรรณภูมิอยู่เป็นเวลานาน
จริงๆ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชเป็นต้นมาก็ไม่มีการตั้งพระมหาอุปราชไปครองเมืองพิษณุโลกแล้ว สันนิษฐานว่าคงจะพยายามดึงอำนาจมารวมศูนย์ให้ได้มากสุด เจ้านายฝ่ายเหนือเองก็ปรากฏว่าต้องทำราชการใกล้ชิดไม่ให้มีอำนาจในเมืองเดิม ตัวอย่างเช่นขุนพิเรนทรเทพซึ่งเป็นเจ้านายราชวงศ์พระร่วงไม่ได้อยู่ที่พิษณุโลก แต่มาอยู่เป็นเจ้ากรมพระตำรวจใหญ่ขวารับราชการใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน
แต่สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็ตั้งขุนพิเรนทรเทพเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เป็นกษัตริย์เมืองพิษณุโลก(ไม่ใช่วังหน้า) เป็นการตอบแทนที่ช่วยให้พระองค์ได้ราชสมบัติ ซึ่งกลับกลายเป็นการกระจายอำนาจการปกครองอีกครั้งหนึ่งคือทำให้หัวเมืองฝ่ายเหนืออย่างพิษณุโลกกลับมามีอำนาจปกครองตนเองอีกครั้ง ทำให้เกิดผลเสียคือเมื่อหงสาวดีมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ ก็เพิ่มความเสี่ยงให้พิษณุโลกกับหัวเมืองฝ่ายเหนือแยกตัวออกไปได้ง่ายๆ และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เสียกรุงเมื่อ พ.ศ.๒๑๑๒
ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาส่งสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นพระมหาอุปราชขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลกเหมือนในอดีต สันนิษบานว่าต้องการให้สมเด็จพระนเรศวรช่วยควบคุมพลเมืองในหัวเมืองฝ่ายเหนือเพื่อใช้ในราชการสงคราม อาจจะเพื่อเตรียมต่อต้านหงสาวดีในอนาคต ซึ่งหัวเมืองฝ่ายเหนือเองในตอนเสียกรุงรอดพ้นจากการโจมตีของหงสาวดี น่าจะอาศัยเป็นกำลังได้ในอนาคต และสมเด็จพระนเรศวรก็ทรงเป็นชาวพิษณุโลก คงจะสะดวกต่อการบริหารบ้านเมืองได้อย่างดี
ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรก็มีเจ้านายองค์หนึ่งคือ 'พระเจ้าลูกเธอมหาธรรมราชา' (อย่าสับสนกับพระมหาธรรมราชาที่เป็นพระบิดาพระนเรศวรนะครับ) ซึ่งมียศเป็น 'พระเจ้าฝ่ายหน้า' หรือก็คือพระมหาอุปราชใน พ.ศ.๒๑๔๖ ก็สันนิษฐานว่าน่าจะได้ครองเมืองพิษณุโลกอยู่ เพราะใช้พระนาม 'มหาธรรมราชา' เหมือนกษัตริย์เมืองเหนือในอดีต และเมื่อตอนไปทำสงครามในเมืองขอมก็ปรากฏว่ามีทัพของเจ้าเมืองฝ่ายเหนือตามเสด็จไปจำนวนมาก
แต่หลังจากพระเจ้าลูกเธอมหาธรรมราชาก็ไม่ปรากฏว่ามีวังหน้าที่ได้ครองเมืองพิษณุโลกอีกครับ
มีหลักฐานของดัตช์โดยการค้นคว้าของ ดร.ธีรวัต ณ ป้อมเพชร กล่าวว่าพระเจ้าปราสาททองทรงส่งพระศรีสุธรรมราชา พระอนุชาซึ่งป็นวังหน้า(พงศาวดารว่าไม่ได้เป็นวังหน้า)ไปประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลกราว พ.ศ.๒๑๘๗-๒๑๙๕ แต่ดูจากสถานะแล้ว ไม่น่าให้ไปมีสิทธิขาดปกครองเหมือนในอดีต แต่เหมือนกับเพราะพระเจ้าปราสาททองไม่ไว้วางพระทัยมากกว่าเลยส่งไปอยู่ไกลๆ
2. ตามเอกสารคำให้การขุนหลวงหาวัดประดู่โรงธรรมระบุว่า พระราชวังหน้าของกรุงศรีอยุทธยาเดิมตั้งอยู่ใกล้พระราชวังหลวงแต่มีขนาดคับแคบ จึงย้ายวังหน้ามาเป็นพระราชวังจันทร์ ซึ่งอยู่บริเวณทิศตะวันออกห่างจากพระราชวังหลวง ๕๐ เส้น อยู่ในกำแพงพระนครใกล้ทำนบรอ
พระราชวังจันทร์ ตั้งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเมือง ตามพงศาวดารว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาเรียกว่า 'วังใหม่' เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรในกรุง สันนิษฐานว่าพระมหาธรรมราชาคงสร้างพระราชทานให้ และถูกใช้เป็นวังหน้าหรือพระราชวังบวรสถานมงคลมาจนสมัยหลัง (บางครั้งพระเจ้าแผ่นดินก็ไปประทับอยู่)
ต่อมารัชกาลที่ ๔ ทรงบูรณะขึ้นใหม่พระราชทานชื่อใหม่ว่า 'พระราชวังจันทรเกษม' ในปัจจุบันใช้งานเป็นพิพิธภัณฑ์ครับ
3. พิษณุโลกเป็นเมืองสำคัญของรัฐสุโขทัยมาตั้งแต่อดีต ในสมัยที่สุโขทัยตกอยู่ใต้อิทธิพลของอยุทธยา กษัตริย์สุโขทัยไปประทับที่เมืองพิษณุโลก (เดิมเรียกว่า สองแคว) ทำให้เมืองพิษณุโลกมีฐานะเสมือนราชธานีของหัวเมืองฝ่ายเหนือแทนสุโขทัย
กษัตริย์อยุทธยาในยุคต่อมาพยายามจะผนวกรัฐสุโขทัยเดิมให้กลายเป็นหัวเมืองของอยุทธยาอย่างสมบูรณ์ จึงปรากฏว่ามีการเกี่ยวดองระหว่างทางอยุทธยากับเมือเหนืออยู่บ่อยครั้ง และกษัตริย์อยุทธยามักจะทรงโอรสของพระองค์ซึ่งมีเชื้อสายเมืองเหนือไปปกครองเมืองพิษณุโลก ตามสิทธิอันชอบธรรมในสายเลือด และเป็นการสร้างความมั่นคงในการปกครองระดับหนึ่ง เพราะผู้ที่ไปปกครองก็เป็นเชื้อสายโดยตรงของกษัตริย์อยุทธยา อย่างกรณีที่สมเด็จพระบรมราชาธิราช (เจ้าสามพระญา) ส่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไปครองเมืองพิษณุโลก ด้วยเหตุนี้คงเป็นธรรมเนียมต่อมาว่าให้พระมหาอุปราชไปครองเมืองพิษณุโลก
ถ้าเป็นเมืองอื่น ในสมัยอยุทธยาตอนต้นก็มี 'เมืองลูกหลวง' ที่เป็นเมืองสำคัญใกล้กับพระนครซึ่งมักจะส่งพระโอรสไปปกครองอย่างลพบุรี สุพรรณบุรี แต่ในสมัยนั้นยังไม่ปรากฏตำแหน่งวังหน้าครับ
4. ดังที่ตอบไปในข้อ 1 ครับ เพราะในสมัยอยุทธยาหลังๆ เองก็ไม่ปรากฏการส่งเจ้านายไปปกครองเมืองเหนืออีกแล้ว แต่พยายามรวมศูนย์อำนาจแทนครับ พระเจ้าแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์เองน่าจะทรงยึดตามแบบแผนที่พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุทธยาปฏิบัติอยู่มาแต่ก่อนแล้ว
อำนาจของวังหน้าในยุคหลัง ถ้าเป็นยามศึกสงครามก็มักให้เป็นผู้นำทัพบัญชาการศึกเพื่อต่อต้านศัตรูซึ่งเห็นมาตลอดสมัยรัตนโกสินทร์ แต่ในเวลาว่างศึกก็ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบอะไรเป็นพิเศษ มีแต่คำที่กล่าวมาว่า 'ว่าราชการพระนครกึ่งหนึ่ง' หรือ 'เสวยราชย์กึ่งพระนคร' ก็คงหมายถึงการรับผิดชอบแบ่งพื้นที่การดูแลในพระนครธรรมดา ซึ่งสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ว่า
"พระมหาอุปราชมีหน้าที่ในการศึกตรงกับคำที่เรียกว่า "ฝ่ายหน้า" เป็นสำคัญกว่าอย่างอื่น พึงเห็นอธิบายได้แม้ในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ในรัชกาลที่ ๑ พระมหาอุปราชก็ต้องทำศึก ทั้งที่โดยเสด็จและเสด็จไปโดยลำพังพระองค์มาจนตลอดพระชนมายุ ถึงรัชกาลที่ ๒ พม่าตีหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตก ถึงรัชกาลที่ ๓ เกิดกบฏเวียงจันทน์ พระมหาอุปราชก็เสด็จไปบัญชาการศึกทั้ง ๒ คราว แต่ถึงรัชกาลที่ ๔ จะยกกองทัพไปตีเมืองเชียงตุง พระมหาอุปราชทรงศักดิ์อย่างเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จึงโปรดฯให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเสด็จไปบัญชาการศึกต่างพระมหาอุปราช เป็นตัวอย่างมาดังนี้
นอกจากทำศึก พระมหาอุปราชยังมีหน้าที่ตลอดไปถึงการป้องกันพระราชอาณาเขต ข้อนี้มีมาจนในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เช่นในการสร้างป้อมปราการที่เมืองพระประแดงและเมืองสมุทรปราการ พระมหาอุปราชก็ทรงบัญชาการทั้งในรัชกาลที่ ๒ และรัชกาลที่ ๓ ถึงรัชกาลที่ ๔ ที่โปรดฯให้พระบาทสมเด็จ ฯ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดทหารบกทหารเรือขึ้นทางฝ่ายวังหน้า ก็เนื่องมาแต่หน้าที่ของพระมหาอุปราชในการป้องกันพระราชอาณาเขตนั่นเอง เมื่อว่าโดยย่อหน้าที่ของพระมหาอุปราชเป็นฝ่ายทหาร เนื่องด้วยการทำสงคารมมาแต่โบราณ จึงมีผู้คนทั้งนายและไพร่ขึ้นอยู่ในกรมพระราชวังบวรสถานมงคลมากกว่ากรมอื่นๆ เพื่อเกิดสงครามเมื่อใดพระมหาอุปราชจะได้เรียกรี้พลได้ทันที ข้อนี้เป็นมูลเหตุที่มีขุนนางวังหน้า เรียกว่า "ข้าราชการฝ่ายพระราชวังบวร" ขึ้นเป็นจำนวนมากอีกแผนก ๑
แต่ในเวลาว่างศึกสงครามพระมหาอุปราชมีหน้าที่ในการปกครองพระราชอาณาเขตอย่างใดไม่ คำซึ่งกล่าวกันมาแต่ก่อนว่า "พระมหาอุปราชเสวยราชย์กึ่งพระนคร" นั้น มีมูลมาแต่การแบ่งเขตรักษาท้องที่ในบริเวณพระนคร อันเป็นแบบมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่ในกรุงเทพฯ นี้ปันเขต (ว่าตามแผนที่ในปัจจุบันนี้) ตามแนวถนนพระจันทร์ ตั้งแต่ท่าน้ำตรงไปทางตะวันออกจนถึงประตูสำราญราษฎร์ (ถนนบำรุงเมือง) ท้องที่ข้างใต้เป็นอำเภอวังหลวง กรมนครบาลวังหลวงรักษา ท้องที่ข้างเหนือเป็นอำเภอวังหน้า กรมนครบาลวังหน้ารักษา แต่ปันเขตเพียงถึงคูพระนครเท่านั้น ท้องที่นอกออกไปเป็นอำเภอวังหลวงทั้งนั้น
ที่ไม่ให้พระมหาอุปราชเกี่ยวข้องในการปกครองบ้านเมือง น่าจะมีเหตุทำให้เห็นจำเป็นมาแต่โบราณ ด้วยพิเคราะห์ตามเรื่องพงศาวดาร แม้พระมหาอุปราชเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่พ้นมีเหตุร้ายได้ทุกรัชกาล ยิ่งพระมหาอุปราชมิได้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินแล้ว มักเกิดเหตุร้ายยิ่งกว่าที่จะเรียบร้อย มีตัวอย่างมาหลายคราว ฐานะของพระมหาอุปราชจึงมาความลำบากอยู่ไม่น้อย"
สันนิษฐานว่าที่ในระยะหลังไม่ให้วังหน้าไปครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกรุงศรีอยุทธยาต้องการรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางเพื่อให้มีเสถียรภาพในการปกครอง เพื่อหลีกเลี่ยงการกระจายอำนาจไปยังหัวเมืองซึ่งมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการแย่งชิงอำนาจโดยอาศัยกำลังจากหัวเมืองได้ ซึ่งจะพบได้มากในสมัยอยุทธยาตอนต้นที่เกิดการแย่งชิงอำนาจระหว่างราชวงศ์ละโว้ซึ่งสืบวงศ์จากพระเจ้ารามาธิบดีกับราชวงศ์สุพรรณภูมิอยู่เป็นเวลานาน
จริงๆ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชเป็นต้นมาก็ไม่มีการตั้งพระมหาอุปราชไปครองเมืองพิษณุโลกแล้ว สันนิษฐานว่าคงจะพยายามดึงอำนาจมารวมศูนย์ให้ได้มากสุด เจ้านายฝ่ายเหนือเองก็ปรากฏว่าต้องทำราชการใกล้ชิดไม่ให้มีอำนาจในเมืองเดิม ตัวอย่างเช่นขุนพิเรนทรเทพซึ่งเป็นเจ้านายราชวงศ์พระร่วงไม่ได้อยู่ที่พิษณุโลก แต่มาอยู่เป็นเจ้ากรมพระตำรวจใหญ่ขวารับราชการใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน
แต่สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็ตั้งขุนพิเรนทรเทพเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เป็นกษัตริย์เมืองพิษณุโลก(ไม่ใช่วังหน้า) เป็นการตอบแทนที่ช่วยให้พระองค์ได้ราชสมบัติ ซึ่งกลับกลายเป็นการกระจายอำนาจการปกครองอีกครั้งหนึ่งคือทำให้หัวเมืองฝ่ายเหนืออย่างพิษณุโลกกลับมามีอำนาจปกครองตนเองอีกครั้ง ทำให้เกิดผลเสียคือเมื่อหงสาวดีมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ ก็เพิ่มความเสี่ยงให้พิษณุโลกกับหัวเมืองฝ่ายเหนือแยกตัวออกไปได้ง่ายๆ และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เสียกรุงเมื่อ พ.ศ.๒๑๑๒
ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาส่งสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นพระมหาอุปราชขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลกเหมือนในอดีต สันนิษบานว่าต้องการให้สมเด็จพระนเรศวรช่วยควบคุมพลเมืองในหัวเมืองฝ่ายเหนือเพื่อใช้ในราชการสงคราม อาจจะเพื่อเตรียมต่อต้านหงสาวดีในอนาคต ซึ่งหัวเมืองฝ่ายเหนือเองในตอนเสียกรุงรอดพ้นจากการโจมตีของหงสาวดี น่าจะอาศัยเป็นกำลังได้ในอนาคต และสมเด็จพระนเรศวรก็ทรงเป็นชาวพิษณุโลก คงจะสะดวกต่อการบริหารบ้านเมืองได้อย่างดี
ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรก็มีเจ้านายองค์หนึ่งคือ 'พระเจ้าลูกเธอมหาธรรมราชา' (อย่าสับสนกับพระมหาธรรมราชาที่เป็นพระบิดาพระนเรศวรนะครับ) ซึ่งมียศเป็น 'พระเจ้าฝ่ายหน้า' หรือก็คือพระมหาอุปราชใน พ.ศ.๒๑๔๖ ก็สันนิษฐานว่าน่าจะได้ครองเมืองพิษณุโลกอยู่ เพราะใช้พระนาม 'มหาธรรมราชา' เหมือนกษัตริย์เมืองเหนือในอดีต และเมื่อตอนไปทำสงครามในเมืองขอมก็ปรากฏว่ามีทัพของเจ้าเมืองฝ่ายเหนือตามเสด็จไปจำนวนมาก
แต่หลังจากพระเจ้าลูกเธอมหาธรรมราชาก็ไม่ปรากฏว่ามีวังหน้าที่ได้ครองเมืองพิษณุโลกอีกครับ
มีหลักฐานของดัตช์โดยการค้นคว้าของ ดร.ธีรวัต ณ ป้อมเพชร กล่าวว่าพระเจ้าปราสาททองทรงส่งพระศรีสุธรรมราชา พระอนุชาซึ่งป็นวังหน้า(พงศาวดารว่าไม่ได้เป็นวังหน้า)ไปประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลกราว พ.ศ.๒๑๘๗-๒๑๙๕ แต่ดูจากสถานะแล้ว ไม่น่าให้ไปมีสิทธิขาดปกครองเหมือนในอดีต แต่เหมือนกับเพราะพระเจ้าปราสาททองไม่ไว้วางพระทัยมากกว่าเลยส่งไปอยู่ไกลๆ
2. ตามเอกสารคำให้การขุนหลวงหาวัดประดู่โรงธรรมระบุว่า พระราชวังหน้าของกรุงศรีอยุทธยาเดิมตั้งอยู่ใกล้พระราชวังหลวงแต่มีขนาดคับแคบ จึงย้ายวังหน้ามาเป็นพระราชวังจันทร์ ซึ่งอยู่บริเวณทิศตะวันออกห่างจากพระราชวังหลวง ๕๐ เส้น อยู่ในกำแพงพระนครใกล้ทำนบรอ
พระราชวังจันทร์ ตั้งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเมือง ตามพงศาวดารว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาเรียกว่า 'วังใหม่' เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรในกรุง สันนิษฐานว่าพระมหาธรรมราชาคงสร้างพระราชทานให้ และถูกใช้เป็นวังหน้าหรือพระราชวังบวรสถานมงคลมาจนสมัยหลัง (บางครั้งพระเจ้าแผ่นดินก็ไปประทับอยู่)
ต่อมารัชกาลที่ ๔ ทรงบูรณะขึ้นใหม่พระราชทานชื่อใหม่ว่า 'พระราชวังจันทรเกษม' ในปัจจุบันใช้งานเป็นพิพิธภัณฑ์ครับ
3. พิษณุโลกเป็นเมืองสำคัญของรัฐสุโขทัยมาตั้งแต่อดีต ในสมัยที่สุโขทัยตกอยู่ใต้อิทธิพลของอยุทธยา กษัตริย์สุโขทัยไปประทับที่เมืองพิษณุโลก (เดิมเรียกว่า สองแคว) ทำให้เมืองพิษณุโลกมีฐานะเสมือนราชธานีของหัวเมืองฝ่ายเหนือแทนสุโขทัย
กษัตริย์อยุทธยาในยุคต่อมาพยายามจะผนวกรัฐสุโขทัยเดิมให้กลายเป็นหัวเมืองของอยุทธยาอย่างสมบูรณ์ จึงปรากฏว่ามีการเกี่ยวดองระหว่างทางอยุทธยากับเมือเหนืออยู่บ่อยครั้ง และกษัตริย์อยุทธยามักจะทรงโอรสของพระองค์ซึ่งมีเชื้อสายเมืองเหนือไปปกครองเมืองพิษณุโลก ตามสิทธิอันชอบธรรมในสายเลือด และเป็นการสร้างความมั่นคงในการปกครองระดับหนึ่ง เพราะผู้ที่ไปปกครองก็เป็นเชื้อสายโดยตรงของกษัตริย์อยุทธยา อย่างกรณีที่สมเด็จพระบรมราชาธิราช (เจ้าสามพระญา) ส่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไปครองเมืองพิษณุโลก ด้วยเหตุนี้คงเป็นธรรมเนียมต่อมาว่าให้พระมหาอุปราชไปครองเมืองพิษณุโลก
ถ้าเป็นเมืองอื่น ในสมัยอยุทธยาตอนต้นก็มี 'เมืองลูกหลวง' ที่เป็นเมืองสำคัญใกล้กับพระนครซึ่งมักจะส่งพระโอรสไปปกครองอย่างลพบุรี สุพรรณบุรี แต่ในสมัยนั้นยังไม่ปรากฏตำแหน่งวังหน้าครับ
4. ดังที่ตอบไปในข้อ 1 ครับ เพราะในสมัยอยุทธยาหลังๆ เองก็ไม่ปรากฏการส่งเจ้านายไปปกครองเมืองเหนืออีกแล้ว แต่พยายามรวมศูนย์อำนาจแทนครับ พระเจ้าแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์เองน่าจะทรงยึดตามแบบแผนที่พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุทธยาปฏิบัติอยู่มาแต่ก่อนแล้ว
อำนาจของวังหน้าในยุคหลัง ถ้าเป็นยามศึกสงครามก็มักให้เป็นผู้นำทัพบัญชาการศึกเพื่อต่อต้านศัตรูซึ่งเห็นมาตลอดสมัยรัตนโกสินทร์ แต่ในเวลาว่างศึกก็ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบอะไรเป็นพิเศษ มีแต่คำที่กล่าวมาว่า 'ว่าราชการพระนครกึ่งหนึ่ง' หรือ 'เสวยราชย์กึ่งพระนคร' ก็คงหมายถึงการรับผิดชอบแบ่งพื้นที่การดูแลในพระนครธรรมดา ซึ่งสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ว่า
"พระมหาอุปราชมีหน้าที่ในการศึกตรงกับคำที่เรียกว่า "ฝ่ายหน้า" เป็นสำคัญกว่าอย่างอื่น พึงเห็นอธิบายได้แม้ในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ในรัชกาลที่ ๑ พระมหาอุปราชก็ต้องทำศึก ทั้งที่โดยเสด็จและเสด็จไปโดยลำพังพระองค์มาจนตลอดพระชนมายุ ถึงรัชกาลที่ ๒ พม่าตีหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตก ถึงรัชกาลที่ ๓ เกิดกบฏเวียงจันทน์ พระมหาอุปราชก็เสด็จไปบัญชาการศึกทั้ง ๒ คราว แต่ถึงรัชกาลที่ ๔ จะยกกองทัพไปตีเมืองเชียงตุง พระมหาอุปราชทรงศักดิ์อย่างเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จึงโปรดฯให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเสด็จไปบัญชาการศึกต่างพระมหาอุปราช เป็นตัวอย่างมาดังนี้
นอกจากทำศึก พระมหาอุปราชยังมีหน้าที่ตลอดไปถึงการป้องกันพระราชอาณาเขต ข้อนี้มีมาจนในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เช่นในการสร้างป้อมปราการที่เมืองพระประแดงและเมืองสมุทรปราการ พระมหาอุปราชก็ทรงบัญชาการทั้งในรัชกาลที่ ๒ และรัชกาลที่ ๓ ถึงรัชกาลที่ ๔ ที่โปรดฯให้พระบาทสมเด็จ ฯ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดทหารบกทหารเรือขึ้นทางฝ่ายวังหน้า ก็เนื่องมาแต่หน้าที่ของพระมหาอุปราชในการป้องกันพระราชอาณาเขตนั่นเอง เมื่อว่าโดยย่อหน้าที่ของพระมหาอุปราชเป็นฝ่ายทหาร เนื่องด้วยการทำสงคารมมาแต่โบราณ จึงมีผู้คนทั้งนายและไพร่ขึ้นอยู่ในกรมพระราชวังบวรสถานมงคลมากกว่ากรมอื่นๆ เพื่อเกิดสงครามเมื่อใดพระมหาอุปราชจะได้เรียกรี้พลได้ทันที ข้อนี้เป็นมูลเหตุที่มีขุนนางวังหน้า เรียกว่า "ข้าราชการฝ่ายพระราชวังบวร" ขึ้นเป็นจำนวนมากอีกแผนก ๑
แต่ในเวลาว่างศึกสงครามพระมหาอุปราชมีหน้าที่ในการปกครองพระราชอาณาเขตอย่างใดไม่ คำซึ่งกล่าวกันมาแต่ก่อนว่า "พระมหาอุปราชเสวยราชย์กึ่งพระนคร" นั้น มีมูลมาแต่การแบ่งเขตรักษาท้องที่ในบริเวณพระนคร อันเป็นแบบมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่ในกรุงเทพฯ นี้ปันเขต (ว่าตามแผนที่ในปัจจุบันนี้) ตามแนวถนนพระจันทร์ ตั้งแต่ท่าน้ำตรงไปทางตะวันออกจนถึงประตูสำราญราษฎร์ (ถนนบำรุงเมือง) ท้องที่ข้างใต้เป็นอำเภอวังหลวง กรมนครบาลวังหลวงรักษา ท้องที่ข้างเหนือเป็นอำเภอวังหน้า กรมนครบาลวังหน้ารักษา แต่ปันเขตเพียงถึงคูพระนครเท่านั้น ท้องที่นอกออกไปเป็นอำเภอวังหลวงทั้งนั้น
ที่ไม่ให้พระมหาอุปราชเกี่ยวข้องในการปกครองบ้านเมือง น่าจะมีเหตุทำให้เห็นจำเป็นมาแต่โบราณ ด้วยพิเคราะห์ตามเรื่องพงศาวดาร แม้พระมหาอุปราชเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่พ้นมีเหตุร้ายได้ทุกรัชกาล ยิ่งพระมหาอุปราชมิได้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินแล้ว มักเกิดเหตุร้ายยิ่งกว่าที่จะเรียบร้อย มีตัวอย่างมาหลายคราว ฐานะของพระมหาอุปราชจึงมาความลำบากอยู่ไม่น้อย"
แสดงความคิดเห็น
คำถามเกี่ยวกับตำแหน่ง วังหน้า
1.เจ้านายที่ได้รับตำแหน่งนี้ต้องไปครองเมืองพิษณุโลกทุกพระองค์หรือไม่ และการไปครองเมืองเป็นความสมัครใจไป หรือได้รับราชโองการให้ต้องไป
2. ถ้าไม่ได้ไปทุกพระองค์แล้ว ที่ีประทับของวังหน้าสมัยอยุธยาอยู่บริเวณไหนในปัจจุบันครับ
3.ทำไมต้องเป็นเมืองพิษณุโลกครับ เป็นเมืองอื่นที่มีขนาดใหญ่เท่ากันได้ไหม
4.ทำไมในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้านายที่ได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งวังหน้า ถึงไม่ไปต้องครองเมืองพิษณุโลกแล้วครับ แต่กลับอยู่ในเมืองหลวงแทน