อันนี้ไม่ใช่เนื้อหาของดิฉันหรอกนะคะ พอดีว่าเพื่อนสาวเป็นกะเทยแต่งหญิงสวยมาก นางไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมกาได้ 5 ปีละ
วันดีคืนดีก็เม้ากันใน line ว่าแบบ เบื่อๆ ทำไรดี
ดิฉันคิดได้ว่า เคยลองพยายามหาข้อมูลแบบ ชีวิตที่ต่างแดนแบบละเอียดเป็นยังไง แต่ยังไม่เคยเห็นใครเขียน เลยบอกนางลองเขียนดูมะ ซึ่งนางก็ลองดูคะ แต่ก็แบบ ไม่ค่อยจะยอมเขียนเท่าไร ต้องใช้จิก แถมยังไม่ยอมไปถ่ายรูปมาประกอบเนื้อหา
ดิฉันเลยคิดว่า นางอาจจะไม่มีกำลังใจ ในการเขียน เลยแอบนำเนื้อหาที่นางเขียนมาแชร์ให้เพื่อนๆได้ลองอ่านกันคะ ถ้าคิดว่า สนุกขอกำลังใจให้เพื่อนสาวเยอะๆด้วยนะคะ นางจะได้เขียนเม้าเรื่องราวชีวิตสนุกๆในต่างแดนมาให้อ่านกันเรื่อยๆคะ
Intro.
ฉันเชื่อว่าคนไทยหลายๆ คนคงจะเคยมีความฝันที่อยากจะมาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอเมริกา ฉันเองก้เป็นหนึ่งคนในนั้นเหมือนกันที่เคยวาดฝันว่าอยากจะมาใช้ชีวิตนักเรียนหรือชีวิตการทำงานที่นี่ บ้านเมืองสวยงามสะอาดสะอ้าน ผู้คนดูมีจริตแต่งตัวโก้เก๋ดูศิวิไลซ์ที่เห็นได้ตามหนัง Hollywood ทั่วไป ตึกสูงระฟ้า หนุ่มฝรั่งตาสีฟ้า ผมบลอนด์ทอง ใส่สูทหุ่นหล่อล่ำ โอ้ย... อะไรมันจะเพอร์เฟคขนาดนี้คะประเทศนี้
ฉันเองก็นั่งคิดนั่งฝันมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากไปเติบโตที่ต่างประเทศ อยากไปสัมผัสวัฒนธรรมของคนต่างชาติดูว่าเค้าจะต่างกับคนไทยมากน้อยขนาดไหน ชั้นจำได้ว่าทุกครั้งที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษแล้วมีครูสอนเป็นฝรั่งมาจะตื่นเต้นจัดและตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ โดยการไปนั่งหน้าคลาสและจะพยายามตอบคำถามให้ได้มากที่สุด
แต่ด้วยความที่คุณแม่ของฉันสามารถสัมผัสได้ถึงความหิวผู้ชายของดิชั้นตั้งแต่เด็กเลยไม่อนุมัติให้ดิชั้นได้ออกไปสานฝันที่ต่างประเทศ
เมื่อความฝัน โชคชะตา ความพร้อมทางการเงินและจิตใจมาบรรจบกันโดยมิได้นัดหมาย ฉันจึงเลือกตัดสินใจออกเดินทางมาประเทศอเมริกา ก้าวแรกสู่การสานฝันให้เป็นจริง นี่ไม่นับการไปเที่ยวต่างประเทศนะคะ นี่คือการออกไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ 'เอาล่ะสิเมิง' ฉันคิดกับตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินและจัดแจงการลาออกจากงานประจำ 'จะไหวหรอ' ทั้งกล้าทั้งกลัว จะรอดไม่รอด จะอยู่ได้มั้ย จะเข้ากับคนที่โน่นได้หรือเปล่า และคำถามที่ผุดขึ้นมาในสมองชั้นอีกล้านแปด
อร้ายยยยยย... หยุดคิด 'ตายเป็นตายเว่ย' ชั้นตะโกนออกมาใส่ภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก
ตอนนั้นจำได้ว่าให้กำลังใจตัวเองว่า ถ้าไม่ไหว ก็กลับ เรายังมีคนที่รักเราพร้อมจะเปิดแขนอ้ารับเราอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว จงออกไปใช้ชีวิตที่เฝ้ารอคอยมานานแสนนานได้แล้ว
ตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเข้าประเทศอเมริกา ดินแดนแห่งอิสรภาพ (ตามสโลแกนที่ใครๆ ก้พูดกัน ซึ่งจริงๆ ชั้นมองว่าไม่เห็นจะเสรีภาพตรงไหนเลย) จนถึงวันนี้ รวมๆ ได้ก็เกือบจะห้าปีได้แล้ว
บอกเลยการมาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศนี่ไม่ง่ายและสวยหรูอย่างที่วาดไว้ในฝันเลย หลายครั้งที่นั่งเศร้าทุกข์ใจ ร้องไห้พร่ำคิดถึงบ้านและครอบครัวก็ดี โดนคนไทยด้วยกันเองที่นี่แผลงฤทธิ์ใส่ก็มี ภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่าง ชั้นจึงอยากจะขอรวบรวมเรื่องราวประสพการณ์ของการมาใช้ชีวิตอยู่ที่ดินแดนแห่งอิสรภาพมาเล่าให้ฟัง และหวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครบางคนที่มีฝันแบบเดียวกัน เพื่อที่ว่าจะได้เตรียมพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจให้รับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าจะปูเส้นทางชีวิตตัวเองอย่างไร
>>> ชีวิตกะเทยไทย ใน US - Hollywood <<<
วันดีคืนดีก็เม้ากันใน line ว่าแบบ เบื่อๆ ทำไรดี
ดิฉันคิดได้ว่า เคยลองพยายามหาข้อมูลแบบ ชีวิตที่ต่างแดนแบบละเอียดเป็นยังไง แต่ยังไม่เคยเห็นใครเขียน เลยบอกนางลองเขียนดูมะ ซึ่งนางก็ลองดูคะ แต่ก็แบบ ไม่ค่อยจะยอมเขียนเท่าไร ต้องใช้จิก แถมยังไม่ยอมไปถ่ายรูปมาประกอบเนื้อหา
ดิฉันเลยคิดว่า นางอาจจะไม่มีกำลังใจ ในการเขียน เลยแอบนำเนื้อหาที่นางเขียนมาแชร์ให้เพื่อนๆได้ลองอ่านกันคะ ถ้าคิดว่า สนุกขอกำลังใจให้เพื่อนสาวเยอะๆด้วยนะคะ นางจะได้เขียนเม้าเรื่องราวชีวิตสนุกๆในต่างแดนมาให้อ่านกันเรื่อยๆคะ
Intro.
ฉันเชื่อว่าคนไทยหลายๆ คนคงจะเคยมีความฝันที่อยากจะมาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอเมริกา ฉันเองก้เป็นหนึ่งคนในนั้นเหมือนกันที่เคยวาดฝันว่าอยากจะมาใช้ชีวิตนักเรียนหรือชีวิตการทำงานที่นี่ บ้านเมืองสวยงามสะอาดสะอ้าน ผู้คนดูมีจริตแต่งตัวโก้เก๋ดูศิวิไลซ์ที่เห็นได้ตามหนัง Hollywood ทั่วไป ตึกสูงระฟ้า หนุ่มฝรั่งตาสีฟ้า ผมบลอนด์ทอง ใส่สูทหุ่นหล่อล่ำ โอ้ย... อะไรมันจะเพอร์เฟคขนาดนี้คะประเทศนี้
ฉันเองก็นั่งคิดนั่งฝันมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากไปเติบโตที่ต่างประเทศ อยากไปสัมผัสวัฒนธรรมของคนต่างชาติดูว่าเค้าจะต่างกับคนไทยมากน้อยขนาดไหน ชั้นจำได้ว่าทุกครั้งที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษแล้วมีครูสอนเป็นฝรั่งมาจะตื่นเต้นจัดและตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ โดยการไปนั่งหน้าคลาสและจะพยายามตอบคำถามให้ได้มากที่สุด
แต่ด้วยความที่คุณแม่ของฉันสามารถสัมผัสได้ถึงความหิวผู้ชายของดิชั้นตั้งแต่เด็กเลยไม่อนุมัติให้ดิชั้นได้ออกไปสานฝันที่ต่างประเทศ
เมื่อความฝัน โชคชะตา ความพร้อมทางการเงินและจิตใจมาบรรจบกันโดยมิได้นัดหมาย ฉันจึงเลือกตัดสินใจออกเดินทางมาประเทศอเมริกา ก้าวแรกสู่การสานฝันให้เป็นจริง นี่ไม่นับการไปเที่ยวต่างประเทศนะคะ นี่คือการออกไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ 'เอาล่ะสิเมิง' ฉันคิดกับตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินและจัดแจงการลาออกจากงานประจำ 'จะไหวหรอ' ทั้งกล้าทั้งกลัว จะรอดไม่รอด จะอยู่ได้มั้ย จะเข้ากับคนที่โน่นได้หรือเปล่า และคำถามที่ผุดขึ้นมาในสมองชั้นอีกล้านแปด
อร้ายยยยยย... หยุดคิด 'ตายเป็นตายเว่ย' ชั้นตะโกนออกมาใส่ภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก
ตอนนั้นจำได้ว่าให้กำลังใจตัวเองว่า ถ้าไม่ไหว ก็กลับ เรายังมีคนที่รักเราพร้อมจะเปิดแขนอ้ารับเราอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว จงออกไปใช้ชีวิตที่เฝ้ารอคอยมานานแสนนานได้แล้ว
ตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเข้าประเทศอเมริกา ดินแดนแห่งอิสรภาพ (ตามสโลแกนที่ใครๆ ก้พูดกัน ซึ่งจริงๆ ชั้นมองว่าไม่เห็นจะเสรีภาพตรงไหนเลย) จนถึงวันนี้ รวมๆ ได้ก็เกือบจะห้าปีได้แล้ว
บอกเลยการมาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศนี่ไม่ง่ายและสวยหรูอย่างที่วาดไว้ในฝันเลย หลายครั้งที่นั่งเศร้าทุกข์ใจ ร้องไห้พร่ำคิดถึงบ้านและครอบครัวก็ดี โดนคนไทยด้วยกันเองที่นี่แผลงฤทธิ์ใส่ก็มี ภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่าง ชั้นจึงอยากจะขอรวบรวมเรื่องราวประสพการณ์ของการมาใช้ชีวิตอยู่ที่ดินแดนแห่งอิสรภาพมาเล่าให้ฟัง และหวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครบางคนที่มีฝันแบบเดียวกัน เพื่อที่ว่าจะได้เตรียมพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจให้รับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าจะปูเส้นทางชีวิตตัวเองอย่างไร