เพื่อนๆ เห็นว่า ปอนๆ หรือ เซอร์ๆ เป็น ลูขประมาณ ได้อยู่หรือไม่
และพระพุทธะ เป็นลูขประมาณใช่หรือไม่ ในระยะเวลาช่วงบำเพ็ญทุกรกิริยา ?
[
๘๒๖] สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุง
แต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และ
บัญญัติ คือ พระนิพพาน ท่านวินิจฉัยว่า
เป็นอนัตตา เมื่อดวงจันทร์ คือ พระพุทธเจ้า
ยังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระ-
พุทธเจ้า ยังไม่อุทัยขึ้นมา เพียงแต่ชื่อของ
สภาคธรรมเหล่านั้น ก็ยังไม่มีใครรู้จัก (มมร. ๑๐/๓๒๖/๒-๘)
สภาคธรรม หากหมายลงที่พระโพธิสัตว์ด้วยแล้ว จะคิดเป็นกำหนดว่า พระโพธิสัตว์เจ้าก็จะไม่รู้พระนิพพานและอนัตตา จริงๆเจียว เป็นแน่นอนไม่เห็นสักหน่อยเลยหรือ ? ข้อนี้ล่วงเลยและให้ตกไปก่อน เพราะคงจะค้นไปยังไม่ถึงพอใจเป็นแน่ ว่าอานุภาพพระโพธิสัตว์ มีอยู่ประการไรแล้วบ้างที่ปรากฏในนิทานชาดก คงเป็นแต่ต่อเรื่อง ว่า สภาคนี้ เป็น จะไม่เป็นลูขประมาณด้วยหรือ ?
ก็ทำนอง ว่า บุคคลในโลกผู้ถือเอาคุณสมบัติต่างๆ กัน เป็นเครื่องวัดการเกิดความเชื่อและความเลื่อมใส ท่านจัดอยู่ด้วย ปมาณิก ๔ อันได้แก่ รูป ,เสียง ,การกล่าวเป็นธรรม และ ลูขประมาณ ในชั้นอรรถกถา นิยมเรียกบุคคล ๔ ประเภทนี้ว่า
รูปัปปมาณิกา โฆสัปปมาณิกา ลูขัปปมาณิกา และ ธัมมัปปมาณิกา ตามลำดับ
ทราบกันเป็นทั่วไปจากหนังสือ ว่า ผู้เลิศทางทรงจีวรเศร้าหมอง ท่านจัดว่า ได้แก่
พระโมฆราชเถระ. ที่นี้ก็ได้คัดค้านและเป็นอันลงกับข้อก่อนนี้ไม่ได้ เพราะอรรถาธิบายที่สรุปเป็นที่รู้ทั่วกันนั้น ว่าพระพุทธะครองความเป็นบุคคลทั่วทั้ง ๔ ประเภท ดังที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยต้องให้ได้มาดึงเพื่อนๆทางใจ ที่อาจจะพากันล่วงเลยออกไปแล้วนอกตำรา ว่าเป็นที่
‘ สภาค ’ นั่น ดังนั้น
เพราะไม่นับว่าเป็นพระขีนาสพ และไม่นับความเป็นลูขประมาณเมื่อครั้งเป็นโพธิสัตว์เจ้าบำเพ็ญทุกรกิริยามาเทียบเป็นเกณฑ์ ความเป็นเอตทัคคะล้ำเลิศทางลูขประมาณนั้น จึงเป็นตำแหน่งพระโมฆะราช ที่นับเป็นสูงสุดของความเป็นตัวอย่างในหมู่ภิกษุสงฆ์สาวกทางครองจีวรเศร้าหมอง
เพื่อนๆ เห็นว่า ปอนๆ หรือ เซอร์ๆ เป็น ลูขประมาณ ได้อยู่หรือไม่ และพระพุทธะ เป็นลูขประมาณใช่หรือไม่ ?
และพระพุทธะ เป็นลูขประมาณใช่หรือไม่ ในระยะเวลาช่วงบำเพ็ญทุกรกิริยา ?
[๘๒๖] สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุง
แต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และ
บัญญัติ คือ พระนิพพาน ท่านวินิจฉัยว่า
เป็นอนัตตา เมื่อดวงจันทร์ คือ พระพุทธเจ้า
ยังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระ-
พุทธเจ้า ยังไม่อุทัยขึ้นมา เพียงแต่ชื่อของ
สภาคธรรมเหล่านั้น ก็ยังไม่มีใครรู้จัก (มมร. ๑๐/๓๒๖/๒-๘)
สภาคธรรม หากหมายลงที่พระโพธิสัตว์ด้วยแล้ว จะคิดเป็นกำหนดว่า พระโพธิสัตว์เจ้าก็จะไม่รู้พระนิพพานและอนัตตา จริงๆเจียว เป็นแน่นอนไม่เห็นสักหน่อยเลยหรือ ? ข้อนี้ล่วงเลยและให้ตกไปก่อน เพราะคงจะค้นไปยังไม่ถึงพอใจเป็นแน่ ว่าอานุภาพพระโพธิสัตว์ มีอยู่ประการไรแล้วบ้างที่ปรากฏในนิทานชาดก คงเป็นแต่ต่อเรื่อง ว่า สภาคนี้ เป็น จะไม่เป็นลูขประมาณด้วยหรือ ?
ก็ทำนอง ว่า บุคคลในโลกผู้ถือเอาคุณสมบัติต่างๆ กัน เป็นเครื่องวัดการเกิดความเชื่อและความเลื่อมใส ท่านจัดอยู่ด้วย ปมาณิก ๔ อันได้แก่ รูป ,เสียง ,การกล่าวเป็นธรรม และ ลูขประมาณ ในชั้นอรรถกถา นิยมเรียกบุคคล ๔ ประเภทนี้ว่า รูปัปปมาณิกา โฆสัปปมาณิกา ลูขัปปมาณิกา และ ธัมมัปปมาณิกา ตามลำดับ
ทราบกันเป็นทั่วไปจากหนังสือ ว่า ผู้เลิศทางทรงจีวรเศร้าหมอง ท่านจัดว่า ได้แก่ พระโมฆราชเถระ. ที่นี้ก็ได้คัดค้านและเป็นอันลงกับข้อก่อนนี้ไม่ได้ เพราะอรรถาธิบายที่สรุปเป็นที่รู้ทั่วกันนั้น ว่าพระพุทธะครองความเป็นบุคคลทั่วทั้ง ๔ ประเภท ดังที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยต้องให้ได้มาดึงเพื่อนๆทางใจ ที่อาจจะพากันล่วงเลยออกไปแล้วนอกตำรา ว่าเป็นที่ ‘ สภาค ’ นั่น ดังนั้น
เพราะไม่นับว่าเป็นพระขีนาสพ และไม่นับความเป็นลูขประมาณเมื่อครั้งเป็นโพธิสัตว์เจ้าบำเพ็ญทุกรกิริยามาเทียบเป็นเกณฑ์ ความเป็นเอตทัคคะล้ำเลิศทางลูขประมาณนั้น จึงเป็นตำแหน่งพระโมฆะราช ที่นับเป็นสูงสุดของความเป็นตัวอย่างในหมู่ภิกษุสงฆ์สาวกทางครองจีวรเศร้าหมอง