เทศกาลต่างๆ ที่คนไทยให้ความสำคัญ ไล่เรียงกันก็ ปีใหม่สากล ถ้าเชื้อสายจีนก็มีตรุษจีน ต่อมาก็วันสำคัญทางศาสนา หรือ ในวันเด็กก็มีกิจกรรม ให้ความสำคัญกันเต็มที่ แม้แต่ วันวาเลนไทน์ ที่ไม่อยุ่ในปฏิทินทั่วไป คนไทยก็ยังตื่นตัวมีเป้าหมายจะทำในสิ่งที่ฝรั่งเขาทำกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่ความพึงพอใจของแต่ละคนในแต่ละเทศกาล
แล้วในวันผุ้สูงอายุละ ? วันนี้คุณทำอะไรกันครับ
วันผุ้สูงอายุ สำคัญยังไง ?
ก็ขออนุญาตออกตัวว่า เป็นความเห็นส่วนตัวของผมคนเดียวเท่านั้นนะครับ ไม่ทราบว่าท่านอื่นคิดเห็นอย่างไร โดยเขียนอะไรนิดนึงในวันนี้
ผู้สูงอายุโดยทั่วไปจะนับกันที่ 60 ปี หรือวัยเกษียณในหลายๆหน่วยงาน พวกท่านอยุ่ในสถานะ ที่ผู้จ้างงานทั่วไป ( เน้นว่าทั่วไปไม่ใช่ทุกที่นะครับ ) จะให้เลิกทำงาน ทั้งภาครัฐ และ เอกชน ในทางสุขภาพ แน่นอนว่า ปกติคนอายุ 60 จะมีสุขภาพเสื่อมถอยไปมากพอควร หากเทียบกับ คนวัยทำงาน ( ต่ำกว่า 60 ) เช่น สายตาเริ่มมีปัญหา ระบบอวัยวะภายในช่องท้อง ทั้งตับ ไต หัวใจ ปอด รวมถึง ส่วนของสมอง การจำ คำนวณ ก็ประสิทธิภาพลดลง และที่ชัดเจนคือ กำลังกาย แม้บางคนจะดูมีความสมบูรณ์แข็งแรง แต่ระบบความดัน ต่างๆก็เอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนกับเด็กหนุ่มๆแล้ว นั่นเป็นเหตุผลส่วนใหญ่ที่ ผู้สูงอายุ จึงจำใจต้องเข้าสุ่วัยเกษียณ ยกเว้นบางท่าน ที่ยังสามารถทำงานได้ เป็นผุ้บริหาร สมองยังทำงานดี ร่างกายยังเคลื่อนไหวสบาย แต่ มีไม่เยอะหรอกครับ ที่จะได้รับหรือถูกยื้อให้ทำงานต่อแบบนั้น
แล้วผุ้สูงอายุจะต้องประสบก็คือ ไม่มีอะไรทำ จากร่างกายที่เสื่อมถอย แต่หากมีกิจกรรมให้ทำ จะช่วยให้ผุ้สูงอายุหลายท่าน ยังคงแข็งแรงและดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ แต่ด้วยความที่อยุ่ในวัยไม่แน่นอนกับสุขภาพเช่นนี้ ส่วนใหญ่จำใจ ต้องปลดระวาง ตามนโยบายบริษัท ซึ่งการไม่มีอะไรทำ ท่านเหล่านั้นต้องเผชิญกับคำว่า เหงา และ บางท่านอาจจะคิดว่า คุณค่าของตัวเองนั้น ลดลง เนื่องด้วยไม่ได้ทำงานแล้ว ซึ่งจุดนี้ เด็กๆ หรือแม้กระทั่งคนอายุเยอะประมาณ 40 ยังไม่เลข 50 คงจะยังไม่เข้าใจเลย เพราะยังทำงานอยุ่ แต่คนอายุ 50 ที่เิร่มมีปัญหาสุขภาพ อาจมองการณ์ไกล ถึงการเกษียณแล้วว่าจะต้องพบเจอกับอะไร
ลูกหลาน ปฏิบัติต่อผุ้สูงอายุอย่างไร
เริ่มจากเรื่องง่ายๆ การกอดจากแม่ หลายคนครับ พอโตแล้วไม่ให้แม่กอด ไม่ว่าด้วยความคิดอะไรก็ตาม แต่มันจริง แม่หลายท่าน กลายเป็นต้องอยุ่เฉยๆ ทั้งที่อยากกอดเมื่อยามลูกกลับจากโรงเรียนหรือที่ทำงาน เราไม่รู้หรอกครับว่าทำไมท่านอยากกอด นอกจากคำว่ารักแล้ว ความเหงา หรืออาการป่วยของท่านที่เราไม่รู้ อาจทำให้ท่านต้องการกอดเราในวันที่ยังมีโอกาสอยุ่ก็ได้ครับ
ส่วนพ่อ คนที่รักหน้าที่พาเราไปเที่ยว ไปไหนมาไหน พ่อพาไปตลอด แต่พอโตแล้ว ไปกับเพื่อน หรือไปคนเดียวจะเป็นสิ่งที่ต้องการมากกว่า สำหรับหลายๆคน และสำหรับพ่อวัยเกษียณแล้ว ก็ต้องไปหาคนวัยเกษียณด้วยกัน ออกไปข้างนอกแก้เหงากันเองครับ ผมเห็นมาด้วยตัวเอง
พ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกมานั้น ทั้งงานหาเงินเข้ามาและงานเลี้ยงดูลูกและดูแลบ้าน ทั้งสองท่าน ได้สละเวลาในชีวิตก็เพื่อให้ลูก มีเงินไปเรียน ได้เข้าสังคม มีเพื่อนฝูง เรียนจบมามีงานทำ หาเลี้ยงตัวเองได้ จนถึงวัยท่านเกษียณก็มากมายครับ บางครอบครัวไม่มีคำว่าเกษียณด้วย เพราะมีลุกช้า อายุเกิน 60 แล้วก็ยังต้องทำงาน
เรื่องเหล่านี้ในอดีตผมไม่ได้คิดอะไรครับ แต่เมื่อโตมาแล้วผ่านหลายอย่าง เห็นหลายอย่าง ก็เริ่มเข้าใจ
การออกไปเล่นน้ำในวันสงกรานต์ที่เด็กๆ รอคอย รวมถึงผุ้ใหญ่จำนวนมาก พอเทศกาลมาถึงสิ่งที่อยุ่ในหัวกันก็คือ ไปเล่นน้ำกัน มันไม่ได้ตอบโจทย์ หรือให้ความสำคัญกับวันผุ้สูงอายุเลย จริงๆแล้ว การใช้ชีวิตสนุกสนาน กับเพื่อนฝูง ยังมีเวลาอีกเยอะครับ โดยเฉาพะ คนที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ก็เหมือนคนที่เพิ่งเปิดประตูบานใหญ่ หนทางชีวิตยังอีกไกล แต่จะมีกี่คนผมก็ไม่ทราบ ที่จะสำนึกว่า ประตูบานนี้นั้น ได้ปิดไปแล้วพร้อมกับการทุ่มเททั้งหมดของ พ่อแม่ หรือคนที่เลี้ยงดุเรามา และสิ่งที่รอ ท่านอยู่ก็คือ ความว่างเปล่า และสิ่งที่ทำให้ผุ้สูงวัยมีชีวิตชีวาก็คือตัวลูกหลานนั่นเอง
ผุ้สูงอายุที่อยู่เฝ้าบ้านส่วนใหญ่ ดีใจครับเวลาลูกหลานกลับจาก ที่ทำงาน หรือหลานกลับจากโรงเรียน เพราะท่านไม่มีสังคมเหมือนเดิมแล้ว ด้วยสถานะ และร่างกาย ไม่เอื้ออำนวย ลูกหลานกลับบ้าน ได้พบหน้า ได้ฟังเรื่องเล่า ได้ฟังปัญหา ได้ขอคำปรึกษา ผุ้ใหญ่แม้จะช่วยได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่สิ่งสำคัญก็คือ ความไม่อ้างว้าง ที่น่ากลัว จะสลายไปด้วยการทักทาย พูดคุยจากเราเท่านั้นเอง เทียบแล้วลูกหลาน ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แค่ความรักปกติที่ให้กับผุ้สูงวัย ก็มีค่ามากกว่า เงิน ทอง กองท่วมหัวแล้ว ตอนท่านดูแลเรา ต้องเหนื่อยหนักขนาดไหน คนที่ทำงานแล้วก็คงจะรู้ มาตั้งกระทู้ บ่นปัญหาที่ทำงาน ทั้ง หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือลูกน้อง ล้วนมีแต่ปัญหา ยังไม่นับการเดินทางที่ลำบาก ความเครียดสารพัด ซึ่งผุ้สูงอายุต้องผ่านมาทั้งหมดก็เพื่อให้เรามีวันนี้
ตอบแทนท่านไม่ใช่เอาเงินมาให้ หรือไปหาที่พักสบายๆแล้วปล่อยท่านไว้กับใครก็ไม่รู้ แต่ขอแค่อยุ่กับท่าน พูดคุย และดูแลยามเจ็บไข้ตามความสามารถคุณ ผมว่าผุ้สูงอายุท่านก็ต้องการมากกว่าอะไรทั้งหมดแล้วละครับ
จริงๆแล้วการรณรงค์เรื่องผุ้สูงอายุ ไม่ต้องรอเทศกาลก็ดีครับ รณรงค์ให้สังคมเรารุ้จักทดแทนผู้มีพระคุณ เป็นวัฒนธรรมอันดีที่เรามีอยุ่แล้ว แต่อย่าให้มันหายไปก็พอ
ผุ้สูงอายุ ก็เคยผ่านวัยเด็กมาครับ ความคิดอยากสนุก ความสุขต่างๆก็ยังต้องการไม่เปลี่ยนแปลง แต่ประสบการณ์ทำให้ท่านต้องปรับตัว วางตัวเป็นผุ้ใหญ่ และ คอยสั่ง คอยสอน นั่นก็ด้วยความหวังดีละครับ หากนานแล้วที่ไม่ได้ไปเที่ยวกับพ่อแม่ หรือไม่ได้กอดท่าน ไม่ค่อยได้พูดคุยกัน ให้รีบทำเลยครับ สิ่งที่ผุ้สูงอายุต้องการ อยุ่พร้อมในมือลูกหลานตลอดเวลาแล้ว ไม่ต้องไปตระเวณซื้อหาครับ ให้ท่านได้เลย
จริงๆแล้วมีอีกหลายกรณี ที่ลูกหลานทำให้ผุ้สูงอายุ และหลายคนก็กำลังทำกันอยุ่ ก็ขอให้รักษาน้ำใจแห่งความอารีย์แก่ผุ้มีบุญคุณของคุณกันไว้นะครับ แต่ของแบบนี้ก็อยุ่ที่ พ่อแม่ปลูกฝังตั้งแต่เยาว์ด้วยนะครับ เด็กไม่ได้คิดได้เองทุกคน ถ้าคนเป็นพ่อแม่ก็ปฏิบัติกับคุณปู่คุณย่าให้ลูกให้หลานดูนะครับ
ในวัน ผู้สูงอายุ ทำอะไรกันบ้างครับ
แล้วในวันผุ้สูงอายุละ ? วันนี้คุณทำอะไรกันครับ
วันผุ้สูงอายุ สำคัญยังไง ?
ก็ขออนุญาตออกตัวว่า เป็นความเห็นส่วนตัวของผมคนเดียวเท่านั้นนะครับ ไม่ทราบว่าท่านอื่นคิดเห็นอย่างไร โดยเขียนอะไรนิดนึงในวันนี้
ผู้สูงอายุโดยทั่วไปจะนับกันที่ 60 ปี หรือวัยเกษียณในหลายๆหน่วยงาน พวกท่านอยุ่ในสถานะ ที่ผู้จ้างงานทั่วไป ( เน้นว่าทั่วไปไม่ใช่ทุกที่นะครับ ) จะให้เลิกทำงาน ทั้งภาครัฐ และ เอกชน ในทางสุขภาพ แน่นอนว่า ปกติคนอายุ 60 จะมีสุขภาพเสื่อมถอยไปมากพอควร หากเทียบกับ คนวัยทำงาน ( ต่ำกว่า 60 ) เช่น สายตาเริ่มมีปัญหา ระบบอวัยวะภายในช่องท้อง ทั้งตับ ไต หัวใจ ปอด รวมถึง ส่วนของสมอง การจำ คำนวณ ก็ประสิทธิภาพลดลง และที่ชัดเจนคือ กำลังกาย แม้บางคนจะดูมีความสมบูรณ์แข็งแรง แต่ระบบความดัน ต่างๆก็เอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนกับเด็กหนุ่มๆแล้ว นั่นเป็นเหตุผลส่วนใหญ่ที่ ผู้สูงอายุ จึงจำใจต้องเข้าสุ่วัยเกษียณ ยกเว้นบางท่าน ที่ยังสามารถทำงานได้ เป็นผุ้บริหาร สมองยังทำงานดี ร่างกายยังเคลื่อนไหวสบาย แต่ มีไม่เยอะหรอกครับ ที่จะได้รับหรือถูกยื้อให้ทำงานต่อแบบนั้น
แล้วผุ้สูงอายุจะต้องประสบก็คือ ไม่มีอะไรทำ จากร่างกายที่เสื่อมถอย แต่หากมีกิจกรรมให้ทำ จะช่วยให้ผุ้สูงอายุหลายท่าน ยังคงแข็งแรงและดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ แต่ด้วยความที่อยุ่ในวัยไม่แน่นอนกับสุขภาพเช่นนี้ ส่วนใหญ่จำใจ ต้องปลดระวาง ตามนโยบายบริษัท ซึ่งการไม่มีอะไรทำ ท่านเหล่านั้นต้องเผชิญกับคำว่า เหงา และ บางท่านอาจจะคิดว่า คุณค่าของตัวเองนั้น ลดลง เนื่องด้วยไม่ได้ทำงานแล้ว ซึ่งจุดนี้ เด็กๆ หรือแม้กระทั่งคนอายุเยอะประมาณ 40 ยังไม่เลข 50 คงจะยังไม่เข้าใจเลย เพราะยังทำงานอยุ่ แต่คนอายุ 50 ที่เิร่มมีปัญหาสุขภาพ อาจมองการณ์ไกล ถึงการเกษียณแล้วว่าจะต้องพบเจอกับอะไร
ลูกหลาน ปฏิบัติต่อผุ้สูงอายุอย่างไร
เริ่มจากเรื่องง่ายๆ การกอดจากแม่ หลายคนครับ พอโตแล้วไม่ให้แม่กอด ไม่ว่าด้วยความคิดอะไรก็ตาม แต่มันจริง แม่หลายท่าน กลายเป็นต้องอยุ่เฉยๆ ทั้งที่อยากกอดเมื่อยามลูกกลับจากโรงเรียนหรือที่ทำงาน เราไม่รู้หรอกครับว่าทำไมท่านอยากกอด นอกจากคำว่ารักแล้ว ความเหงา หรืออาการป่วยของท่านที่เราไม่รู้ อาจทำให้ท่านต้องการกอดเราในวันที่ยังมีโอกาสอยุ่ก็ได้ครับ
ส่วนพ่อ คนที่รักหน้าที่พาเราไปเที่ยว ไปไหนมาไหน พ่อพาไปตลอด แต่พอโตแล้ว ไปกับเพื่อน หรือไปคนเดียวจะเป็นสิ่งที่ต้องการมากกว่า สำหรับหลายๆคน และสำหรับพ่อวัยเกษียณแล้ว ก็ต้องไปหาคนวัยเกษียณด้วยกัน ออกไปข้างนอกแก้เหงากันเองครับ ผมเห็นมาด้วยตัวเอง
พ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกมานั้น ทั้งงานหาเงินเข้ามาและงานเลี้ยงดูลูกและดูแลบ้าน ทั้งสองท่าน ได้สละเวลาในชีวิตก็เพื่อให้ลูก มีเงินไปเรียน ได้เข้าสังคม มีเพื่อนฝูง เรียนจบมามีงานทำ หาเลี้ยงตัวเองได้ จนถึงวัยท่านเกษียณก็มากมายครับ บางครอบครัวไม่มีคำว่าเกษียณด้วย เพราะมีลุกช้า อายุเกิน 60 แล้วก็ยังต้องทำงาน
เรื่องเหล่านี้ในอดีตผมไม่ได้คิดอะไรครับ แต่เมื่อโตมาแล้วผ่านหลายอย่าง เห็นหลายอย่าง ก็เริ่มเข้าใจ
การออกไปเล่นน้ำในวันสงกรานต์ที่เด็กๆ รอคอย รวมถึงผุ้ใหญ่จำนวนมาก พอเทศกาลมาถึงสิ่งที่อยุ่ในหัวกันก็คือ ไปเล่นน้ำกัน มันไม่ได้ตอบโจทย์ หรือให้ความสำคัญกับวันผุ้สูงอายุเลย จริงๆแล้ว การใช้ชีวิตสนุกสนาน กับเพื่อนฝูง ยังมีเวลาอีกเยอะครับ โดยเฉาพะ คนที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ก็เหมือนคนที่เพิ่งเปิดประตูบานใหญ่ หนทางชีวิตยังอีกไกล แต่จะมีกี่คนผมก็ไม่ทราบ ที่จะสำนึกว่า ประตูบานนี้นั้น ได้ปิดไปแล้วพร้อมกับการทุ่มเททั้งหมดของ พ่อแม่ หรือคนที่เลี้ยงดุเรามา และสิ่งที่รอ ท่านอยู่ก็คือ ความว่างเปล่า และสิ่งที่ทำให้ผุ้สูงวัยมีชีวิตชีวาก็คือตัวลูกหลานนั่นเอง
ผุ้สูงอายุที่อยู่เฝ้าบ้านส่วนใหญ่ ดีใจครับเวลาลูกหลานกลับจาก ที่ทำงาน หรือหลานกลับจากโรงเรียน เพราะท่านไม่มีสังคมเหมือนเดิมแล้ว ด้วยสถานะ และร่างกาย ไม่เอื้ออำนวย ลูกหลานกลับบ้าน ได้พบหน้า ได้ฟังเรื่องเล่า ได้ฟังปัญหา ได้ขอคำปรึกษา ผุ้ใหญ่แม้จะช่วยได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่สิ่งสำคัญก็คือ ความไม่อ้างว้าง ที่น่ากลัว จะสลายไปด้วยการทักทาย พูดคุยจากเราเท่านั้นเอง เทียบแล้วลูกหลาน ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แค่ความรักปกติที่ให้กับผุ้สูงวัย ก็มีค่ามากกว่า เงิน ทอง กองท่วมหัวแล้ว ตอนท่านดูแลเรา ต้องเหนื่อยหนักขนาดไหน คนที่ทำงานแล้วก็คงจะรู้ มาตั้งกระทู้ บ่นปัญหาที่ทำงาน ทั้ง หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือลูกน้อง ล้วนมีแต่ปัญหา ยังไม่นับการเดินทางที่ลำบาก ความเครียดสารพัด ซึ่งผุ้สูงอายุต้องผ่านมาทั้งหมดก็เพื่อให้เรามีวันนี้
ตอบแทนท่านไม่ใช่เอาเงินมาให้ หรือไปหาที่พักสบายๆแล้วปล่อยท่านไว้กับใครก็ไม่รู้ แต่ขอแค่อยุ่กับท่าน พูดคุย และดูแลยามเจ็บไข้ตามความสามารถคุณ ผมว่าผุ้สูงอายุท่านก็ต้องการมากกว่าอะไรทั้งหมดแล้วละครับ
จริงๆแล้วการรณรงค์เรื่องผุ้สูงอายุ ไม่ต้องรอเทศกาลก็ดีครับ รณรงค์ให้สังคมเรารุ้จักทดแทนผู้มีพระคุณ เป็นวัฒนธรรมอันดีที่เรามีอยุ่แล้ว แต่อย่าให้มันหายไปก็พอ
ผุ้สูงอายุ ก็เคยผ่านวัยเด็กมาครับ ความคิดอยากสนุก ความสุขต่างๆก็ยังต้องการไม่เปลี่ยนแปลง แต่ประสบการณ์ทำให้ท่านต้องปรับตัว วางตัวเป็นผุ้ใหญ่ และ คอยสั่ง คอยสอน นั่นก็ด้วยความหวังดีละครับ หากนานแล้วที่ไม่ได้ไปเที่ยวกับพ่อแม่ หรือไม่ได้กอดท่าน ไม่ค่อยได้พูดคุยกัน ให้รีบทำเลยครับ สิ่งที่ผุ้สูงอายุต้องการ อยุ่พร้อมในมือลูกหลานตลอดเวลาแล้ว ไม่ต้องไปตระเวณซื้อหาครับ ให้ท่านได้เลย
จริงๆแล้วมีอีกหลายกรณี ที่ลูกหลานทำให้ผุ้สูงอายุ และหลายคนก็กำลังทำกันอยุ่ ก็ขอให้รักษาน้ำใจแห่งความอารีย์แก่ผุ้มีบุญคุณของคุณกันไว้นะครับ แต่ของแบบนี้ก็อยุ่ที่ พ่อแม่ปลูกฝังตั้งแต่เยาว์ด้วยนะครับ เด็กไม่ได้คิดได้เองทุกคน ถ้าคนเป็นพ่อแม่ก็ปฏิบัติกับคุณปู่คุณย่าให้ลูกให้หลานดูนะครับ