ผมเห็นว่ามีประโยชน์เลยเอามาลงไว้ครับ
เธอมองเห็นภาพนั้นไหม Cr: คุณ เว็บ พรชัย รัตนนนทชัยสุข
ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จถึงเป็นคนส่วนน้อย? เท่าที่ผมเห็น ผมคิดว่า มันเป็นเพราะเราทำมันไม่นานพอ เราล้มเลิกกลางครันไปซะก่อน เราสงสัยตัวเองเมื่อต้องเจอปัญหา เราโบกผ้ายอมแพ้ยามต้องเจอกับอุปสรรค
Henry Ford เคยพูดว่า “ไม่ว่าคุณจะคิดว่าตัวเองทำได้หรือทำไม่ได้ คุณก็คิดถูกทั้งนั้น” Napolean Hill บอกว่า “สิ่งใดก็ตามที่ใจเรานึกคิดและเชื่อได้ มันย่อมสามารถทำให้บรรลุผลได้”
คนที่ไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำตามเป้าหมายของตัวเองได้ หรือสงสัยในความสามารถของตัวเองตลอดเวลา มีแนวโน้มจะท้อถอยยอมแพ้ทันทีที่เจอความผิดหวัง
ถ้าเราไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ตั้งคำถามในความสามารถของตัวเองตลอดเวลา พอเจออุปสรรค เราจะรู้สึกว่า “ว่าแล้วไง เราทำไม่ได้หรอก” ทุกปัญหา ทุกอุปสรรค จะเป็นเสมือนกำแพงเหล็กสูงตระหง่านที่มองยังไงก็ดูเหมือนว่าเราไม่น่าจะสามารถก้าวข้ามไปได้
ในทางตรงกันข้าม คนที่เห็นภาพความสำเร็จของตัวเองอย่างชัดเจนตั้งแต่ตอนเริ่มแรก คนที่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้ อุปสรรคจะกลายเป็นแค่เรื่องสะดุด ปัญหาจะแค่เป็นเหมือนแมลงวันตอมหน้า เสียงปฏิเสธจะเป็นแค่เสียงรบกวน ทุกเหตุการณ์เชิงลบจะกลายเป็นเรื่องฝุ่นผง ไม่ใช่อะไรที่จะมาทำให้เราโยนผ้าขาวยอมแพ้ เราจะบอกตัวเองว่า เส้นทางมันอาจไม่ราบเรียบ แต่สุดท้าย เราจะไปถึงฝั่งฝัน
Warren Buffett บอกว่า “ผมไม่เคยสงสัยตัวเองเลยว่าจะไม่รวย” Taylor Swift พูดว่า “หนูจะไม่ยอมให้ใครมาบอกว่าหนูเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ จนกว่าจะพยายามถึงอายุ 18”
ทั้งสองคนรวมถึงคนประสบความสำเร็จอีกหลายๆ คน ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม และเห็นภาพความสำเร็จในอนาคตของตัวเองอย่างชัดเจน
อยากมีความเชื่อมั่นบ้าง อยากเห็นภาพความสำเร็จในอนาคตของตัวเองอย่างชัดเจนบ้าง ต้องทำยังไงอ่ะ Anthony Robins success coach เบอร์หนึ่งของโลก อธิบายว่า ความคิดธรรมดาเปรียบเหมือนหน้าโต๊ะ ความคิดจะกลายเป็นความเชื่อได้ก็เมื่อมันมีข้อมูลอะไรมาอ้างอิง เหมือนหน้าโต๊ะที่มีขาโต๊ะหลายๆ ขา Tony บอกต่อว่า คนเราสามารถสร้างความเชื่ออะไรขึ้นมาก็ได้ ตราบเท่าที่เราสามารถหาขาโต๊ะหรือข้อมูลมาอ้างอิงได้มากพอ
เค้าแนะต่อว่า มันไม่สำคัญหรอกว่า ความเชื่อที่ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า สิ่งที่สำคัญก็คือ ความเชื่อนั้นมันผลักดันชีวิตเราไปข้างหน้า หรือฉุดรั้งชีวิตของเราเอาไว้ ความเชื่อนั้นมันทำให้เราเข้มแข็งขึ้นหรืออ่อนแอลง
ขาโต๊ะหรือข้อมูลมาอ้างอิงอาจมาจากประสบการณ์ของตัวเอง ประสบการณ์ของคนอื่น จากหนัง จากหนังสือ หรือกระทั่งจากจินตนาการของเราเอง ยิ่งข้อมูลอ้างอิงที่ว่ากระตุ้นอารมณ์เรามากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งจำนวนข้อมูลอ้างอิงมีมากขึ้นเท่าไหร่ ความเชื่อของเราก็จะยิ่งแข็งแรงแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
อย่างตอนเราหัดขี่จักรยาน เวลาขี่ล้ม เราไม่เคยคิดเลิกขี่ เพราะเราเชื่อมั่นว่า สุดท้าย เราจะขี่ได้ เพราะเราเห็นว่าใครๆ ก็ขี่ได้ แต่จะว่าไป ตัวอย่างนี้มันง่าย ข้อมูลอ้างอิงมีเยอะ ภาพชัดเจนมาก แต่เรื่องอื่นๆ ล่ะ
ก่อนปี 1954 ไม่มีใครเชื่อว่า การวิ่งระยะทางหนึ่งไมล์ภายในเวลาสี่นาทีเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่พอ Roger Bannister ทำได้ คนเริ่มเชื่อว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และในอีกหนึ่งปีต่อมา ก็มีนักวิ่งอีก 37 ที่วิ่งได้เหมือนกัน และอีกหนึ่งปีหลังจากนั้น มีนักวิ่งอีกกว่า 300 คนที่ทำได้
การสร้างความเชื่อมั่นว่าเราจะประสบความสำเร็จในที่สุดก็ทำได้ในลักษณะเดียวกัน เราต้องหาขาโต๊ะมารองรับหน้าโต๊ะ หาข้อมูลมาอ้างอิงว่าเราก็น่าจะทำได้ เช่น คนอื่นก็ทำเป็นตัวอย่างให้เราได้เห็นแล้ว, เราทุ่มเทมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองอยู่ทุกวัน, เราเรียนรู้จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นและปรับปรุงวิธีการอยู่ตลอดเวลา หรือตลอดเวลาที่ผ่านมา เราเข้าใกล้เป้าหมายของเรามากขึ้นเรื่อยๆ
อีกอย่างที่ช่วยได้คือ การสร้างภาพของความสำเร็จออกมาให้ชัดเจนมากกว่าแค่การนึกในสมองเฉยๆ อย่าง Jim Carrey ตอนที่เค้ายังจนๆ ขับรถเก่าๆ มีอยู่คืนหนึ่งในปี 1990 เค้าขับรถขึ้นไปบนยอดเขาในเมือง Los Angeles นั่งคิดนั่งฝันถึงอนาคต คืนนั้น เค้าเขียนเช็คสั่งจ่ายค่าแสดงของตัวเองเป็นเงิน 10 ล้านเหรียญ ลงวันที่ในอีกห้าปีข้างหน้า เช็คที่เค้าเขียนขึ้นเองใบนี้ทำให้ความคิดของเค้าหมกมุ่นอยู่กับภาพอนาคตที่เค้าต้องการไปให้ถึง ทำให้เค้ามองหาโอกาสมากกว่ามองข้อจำกัดที่เค้าเผชิญอยู่ ทำให้เค้ายุ่งทุ่มเทกับการสร้างฝันมากกว่าการมานั่งบ่นกับปัญหาหรืออุปสรรค
อีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าใครจำนักมวยชื่อ สมาน ส. จาตุรงค์ ได้ สมานมีโอกาสได้ชกชิงแชมป์โลกในปี 2538 กับนักชกชาวเม็กซิกัน ฮุมเบอร์โต้ กอนซาเลซ ซึ่งถือเป็นนักมวยอันตรายระดับโลกที่เหนือชั้นกว่าสมานมาก ใครๆ ก็คิดว่า สมานต้องแพ้แน่นอน จะแพ้น็อกหรือแพ้คะแนนเท่านั้น พอดี ผมได้ดูการชกครั้งนี้ด้วย ใน 6 ยกแรก สมานเหมือนจะเอาตัวไม่รอด โดนยำซะเละ ตาปิดทั้งสองข้าง ถ้าสมานถอดใจ ซึ่งจริงๆ ก็น่าจะถอดใจได้อยู่ เพราะดูแล้วไม่มีโอกาสชนะเลย แต่สมานไม่ได้คิดแบบนั้น พอขึ้นยก 7 สมานเหวี่ยงหมัดสุดกำลัง จนสุดท้ายชนะน็อกไปแบบทำให้คนลุกขึ้นมายืนงงกันทั้งสนาม หลังจากสมานได้แชมป์โลก มีรายการทีวีไปสัมภาษณ์ สมานพูดถึงความฝันของตัวเอง แล้วเอาภาพที่เค้าทำไว้มาให้ดูในรายการ สมานตัดภาพเข็มขัดแชมป์โลกมาจากไหนไม่รู้ แล้วเอามาแปะรูปตัวเอง กลายเป็นภาพสมานคาดเข็มขัดแชมป์โลก ซึ่งเป็นภาพความสำเร็จในอนาคตที่กระตุ้นให้สมานเชื่อมั่นและทุ่มเทความพยายาม จนภาพทำเองที่ว่ากลายเป็นภาพจริงขึ้นมา
ลองถามตัวเองดูครับว่า เราเห็นภาพความสำเร็จในอนาคตของตัวเองชัดเจนมั๊ย เรามีความเชื่อมั่นหรือเปล่าว่าเราจะประสบความสำเร็จ หน้าโต๊ะของเรามีขาโต๊ะมายันมากขาพอหรือเปล่า ถ้าคำตอบคือ “ไม่” อ่านจบแล้วรออะไรครับ
PS: อยากให้ทีมงาน นักเตะ พยายามนึกภาพและเชื่อมั่นไว้ตลอดครับว่าทีมไทยได้ไปเล่นคู่กับสเปน อิตาลี อุรุกวัย รัสเซีย ไนฟุตบอลโลกอย่างสูสี อย่าหาว่าเพ้อเจ้อเลยครับ ถ้าเรานึกภาพจนเราเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ สิ่งนี้จะเป็นแรงผลักดันให้ทีมชาติและทีมงานของเราพัฒนา ถึงแม้ว่าจะยังไม่เร็วๆนี้แต่ผมเชื่อว่าผลของการมีความเชื่อมั่นมั่นใจจะทำให้ผลงานกลับมาดีกว่าที่เราจะมานั่งกลัวไม่กล้าแม้แต่จะนึกภาพครับ
บทความให้กำลังใจทีมชาติไทยครับ
เธอมองเห็นภาพนั้นไหม Cr: คุณ เว็บ พรชัย รัตนนนทชัยสุข
ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จถึงเป็นคนส่วนน้อย? เท่าที่ผมเห็น ผมคิดว่า มันเป็นเพราะเราทำมันไม่นานพอ เราล้มเลิกกลางครันไปซะก่อน เราสงสัยตัวเองเมื่อต้องเจอปัญหา เราโบกผ้ายอมแพ้ยามต้องเจอกับอุปสรรค
Henry Ford เคยพูดว่า “ไม่ว่าคุณจะคิดว่าตัวเองทำได้หรือทำไม่ได้ คุณก็คิดถูกทั้งนั้น” Napolean Hill บอกว่า “สิ่งใดก็ตามที่ใจเรานึกคิดและเชื่อได้ มันย่อมสามารถทำให้บรรลุผลได้”
คนที่ไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำตามเป้าหมายของตัวเองได้ หรือสงสัยในความสามารถของตัวเองตลอดเวลา มีแนวโน้มจะท้อถอยยอมแพ้ทันทีที่เจอความผิดหวัง
ถ้าเราไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ตั้งคำถามในความสามารถของตัวเองตลอดเวลา พอเจออุปสรรค เราจะรู้สึกว่า “ว่าแล้วไง เราทำไม่ได้หรอก” ทุกปัญหา ทุกอุปสรรค จะเป็นเสมือนกำแพงเหล็กสูงตระหง่านที่มองยังไงก็ดูเหมือนว่าเราไม่น่าจะสามารถก้าวข้ามไปได้
ในทางตรงกันข้าม คนที่เห็นภาพความสำเร็จของตัวเองอย่างชัดเจนตั้งแต่ตอนเริ่มแรก คนที่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้ อุปสรรคจะกลายเป็นแค่เรื่องสะดุด ปัญหาจะแค่เป็นเหมือนแมลงวันตอมหน้า เสียงปฏิเสธจะเป็นแค่เสียงรบกวน ทุกเหตุการณ์เชิงลบจะกลายเป็นเรื่องฝุ่นผง ไม่ใช่อะไรที่จะมาทำให้เราโยนผ้าขาวยอมแพ้ เราจะบอกตัวเองว่า เส้นทางมันอาจไม่ราบเรียบ แต่สุดท้าย เราจะไปถึงฝั่งฝัน
Warren Buffett บอกว่า “ผมไม่เคยสงสัยตัวเองเลยว่าจะไม่รวย” Taylor Swift พูดว่า “หนูจะไม่ยอมให้ใครมาบอกว่าหนูเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ จนกว่าจะพยายามถึงอายุ 18”
ทั้งสองคนรวมถึงคนประสบความสำเร็จอีกหลายๆ คน ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม และเห็นภาพความสำเร็จในอนาคตของตัวเองอย่างชัดเจน
อยากมีความเชื่อมั่นบ้าง อยากเห็นภาพความสำเร็จในอนาคตของตัวเองอย่างชัดเจนบ้าง ต้องทำยังไงอ่ะ Anthony Robins success coach เบอร์หนึ่งของโลก อธิบายว่า ความคิดธรรมดาเปรียบเหมือนหน้าโต๊ะ ความคิดจะกลายเป็นความเชื่อได้ก็เมื่อมันมีข้อมูลอะไรมาอ้างอิง เหมือนหน้าโต๊ะที่มีขาโต๊ะหลายๆ ขา Tony บอกต่อว่า คนเราสามารถสร้างความเชื่ออะไรขึ้นมาก็ได้ ตราบเท่าที่เราสามารถหาขาโต๊ะหรือข้อมูลมาอ้างอิงได้มากพอ
เค้าแนะต่อว่า มันไม่สำคัญหรอกว่า ความเชื่อที่ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า สิ่งที่สำคัญก็คือ ความเชื่อนั้นมันผลักดันชีวิตเราไปข้างหน้า หรือฉุดรั้งชีวิตของเราเอาไว้ ความเชื่อนั้นมันทำให้เราเข้มแข็งขึ้นหรืออ่อนแอลง
ขาโต๊ะหรือข้อมูลมาอ้างอิงอาจมาจากประสบการณ์ของตัวเอง ประสบการณ์ของคนอื่น จากหนัง จากหนังสือ หรือกระทั่งจากจินตนาการของเราเอง ยิ่งข้อมูลอ้างอิงที่ว่ากระตุ้นอารมณ์เรามากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งจำนวนข้อมูลอ้างอิงมีมากขึ้นเท่าไหร่ ความเชื่อของเราก็จะยิ่งแข็งแรงแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
อย่างตอนเราหัดขี่จักรยาน เวลาขี่ล้ม เราไม่เคยคิดเลิกขี่ เพราะเราเชื่อมั่นว่า สุดท้าย เราจะขี่ได้ เพราะเราเห็นว่าใครๆ ก็ขี่ได้ แต่จะว่าไป ตัวอย่างนี้มันง่าย ข้อมูลอ้างอิงมีเยอะ ภาพชัดเจนมาก แต่เรื่องอื่นๆ ล่ะ
ก่อนปี 1954 ไม่มีใครเชื่อว่า การวิ่งระยะทางหนึ่งไมล์ภายในเวลาสี่นาทีเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่พอ Roger Bannister ทำได้ คนเริ่มเชื่อว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และในอีกหนึ่งปีต่อมา ก็มีนักวิ่งอีก 37 ที่วิ่งได้เหมือนกัน และอีกหนึ่งปีหลังจากนั้น มีนักวิ่งอีกกว่า 300 คนที่ทำได้
การสร้างความเชื่อมั่นว่าเราจะประสบความสำเร็จในที่สุดก็ทำได้ในลักษณะเดียวกัน เราต้องหาขาโต๊ะมารองรับหน้าโต๊ะ หาข้อมูลมาอ้างอิงว่าเราก็น่าจะทำได้ เช่น คนอื่นก็ทำเป็นตัวอย่างให้เราได้เห็นแล้ว, เราทุ่มเทมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองอยู่ทุกวัน, เราเรียนรู้จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นและปรับปรุงวิธีการอยู่ตลอดเวลา หรือตลอดเวลาที่ผ่านมา เราเข้าใกล้เป้าหมายของเรามากขึ้นเรื่อยๆ
อีกอย่างที่ช่วยได้คือ การสร้างภาพของความสำเร็จออกมาให้ชัดเจนมากกว่าแค่การนึกในสมองเฉยๆ อย่าง Jim Carrey ตอนที่เค้ายังจนๆ ขับรถเก่าๆ มีอยู่คืนหนึ่งในปี 1990 เค้าขับรถขึ้นไปบนยอดเขาในเมือง Los Angeles นั่งคิดนั่งฝันถึงอนาคต คืนนั้น เค้าเขียนเช็คสั่งจ่ายค่าแสดงของตัวเองเป็นเงิน 10 ล้านเหรียญ ลงวันที่ในอีกห้าปีข้างหน้า เช็คที่เค้าเขียนขึ้นเองใบนี้ทำให้ความคิดของเค้าหมกมุ่นอยู่กับภาพอนาคตที่เค้าต้องการไปให้ถึง ทำให้เค้ามองหาโอกาสมากกว่ามองข้อจำกัดที่เค้าเผชิญอยู่ ทำให้เค้ายุ่งทุ่มเทกับการสร้างฝันมากกว่าการมานั่งบ่นกับปัญหาหรืออุปสรรค
อีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าใครจำนักมวยชื่อ สมาน ส. จาตุรงค์ ได้ สมานมีโอกาสได้ชกชิงแชมป์โลกในปี 2538 กับนักชกชาวเม็กซิกัน ฮุมเบอร์โต้ กอนซาเลซ ซึ่งถือเป็นนักมวยอันตรายระดับโลกที่เหนือชั้นกว่าสมานมาก ใครๆ ก็คิดว่า สมานต้องแพ้แน่นอน จะแพ้น็อกหรือแพ้คะแนนเท่านั้น พอดี ผมได้ดูการชกครั้งนี้ด้วย ใน 6 ยกแรก สมานเหมือนจะเอาตัวไม่รอด โดนยำซะเละ ตาปิดทั้งสองข้าง ถ้าสมานถอดใจ ซึ่งจริงๆ ก็น่าจะถอดใจได้อยู่ เพราะดูแล้วไม่มีโอกาสชนะเลย แต่สมานไม่ได้คิดแบบนั้น พอขึ้นยก 7 สมานเหวี่ยงหมัดสุดกำลัง จนสุดท้ายชนะน็อกไปแบบทำให้คนลุกขึ้นมายืนงงกันทั้งสนาม หลังจากสมานได้แชมป์โลก มีรายการทีวีไปสัมภาษณ์ สมานพูดถึงความฝันของตัวเอง แล้วเอาภาพที่เค้าทำไว้มาให้ดูในรายการ สมานตัดภาพเข็มขัดแชมป์โลกมาจากไหนไม่รู้ แล้วเอามาแปะรูปตัวเอง กลายเป็นภาพสมานคาดเข็มขัดแชมป์โลก ซึ่งเป็นภาพความสำเร็จในอนาคตที่กระตุ้นให้สมานเชื่อมั่นและทุ่มเทความพยายาม จนภาพทำเองที่ว่ากลายเป็นภาพจริงขึ้นมา
ลองถามตัวเองดูครับว่า เราเห็นภาพความสำเร็จในอนาคตของตัวเองชัดเจนมั๊ย เรามีความเชื่อมั่นหรือเปล่าว่าเราจะประสบความสำเร็จ หน้าโต๊ะของเรามีขาโต๊ะมายันมากขาพอหรือเปล่า ถ้าคำตอบคือ “ไม่” อ่านจบแล้วรออะไรครับ
PS: อยากให้ทีมงาน นักเตะ พยายามนึกภาพและเชื่อมั่นไว้ตลอดครับว่าทีมไทยได้ไปเล่นคู่กับสเปน อิตาลี อุรุกวัย รัสเซีย ไนฟุตบอลโลกอย่างสูสี อย่าหาว่าเพ้อเจ้อเลยครับ ถ้าเรานึกภาพจนเราเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ สิ่งนี้จะเป็นแรงผลักดันให้ทีมชาติและทีมงานของเราพัฒนา ถึงแม้ว่าจะยังไม่เร็วๆนี้แต่ผมเชื่อว่าผลของการมีความเชื่อมั่นมั่นใจจะทำให้ผลงานกลับมาดีกว่าที่เราจะมานั่งกลัวไม่กล้าแม้แต่จะนึกภาพครับ