เมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว มีการแชร์เข้มข้นมาใน Facebook เรื่องการออกมารณรงค์ของดาราท่านหนึ่งที่ให้การโทษของการข่มขืนเท่ากับการประหารชีวิต และมีการออกมาตอบโต้ว่า การทำให้คดีข่มขืนคือการประหารชีวิตสถานเดียวอาจจะทำให้เกิดคดีฆาตกรรมมากกว่าเดิม คือข่มขืนแล้วต้องฆ่าไม่ให้เหยือหนีออกไปแจ้งตำรวจได้
ในทางทฤษฎีผมก็เห็นด้วยกับหลายๆ ท่านว่า การทำให้เป็นการประหารชีวิตทุกกรณี อาจดูเป็นโทษที่รุนแรงเกินจริง แต่ในทางปฎิบัติแล้ว หากผมมีลูกสาว แล้วลูกสาวโดนข่มขืน ทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง ผมยังจะยืนกรานเห็นด้วยอยู่อีกมั้ย ว่าโทษของการข่มขืนเท่ากับการประหารชีวิตนั้นเบาเกินไป เผลอๆ ผมอาจเอาปืนไปยิงไอ้คนที่ทำร้ายลูกสาวผมเองเลยด้วยซ้ำแบบที่ไม่ต้องรอให้ศาลตัดสิน
สถานการณ์แบบนี้เป็นจุดเริ่มต้นในหนังเรื่อง A Time To Kill ของ Joel Schumacher ที่ทำมาจากนิยายของ John Grisham ชื่อไทยว่า ยุติธรรมอำมหิต
เมื่อเด็กผู้หญิงผิวสีคนหนึ่งถูกชายผิวขาวสองคน ข่มขืนแล้วฆ่า แต่โชคยังดีที่เธอไม่ตาย (แต่ก็ปางตาย) มีคนไปพบเข้า จึงสาวไปถึงตัวของคนข่มขืนสองคนนั่นได้ คำถามคือถ้าคุณเป็นพ่อของเด็กสาวผิวสีคนนั้น ที่ไม่รู้สึกว่า ลูกสาวของคุณจะได้รับความยุติธรรมในชั้นศาล และโทษของการข่มขืนลูกของคุณนั้นเบาเกินไป คุณจะนำความยุติธรรมมาลั่นไกด้วยตัวคุณเองมั้ย ?
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของหนังเรื่อง A Time To Kill ที่ทำได้ดีมาก ทำให้ผมอินไปกับหัวจิตหัวใจของคนเป็นพ่อ คิดเลยว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับลูกสาวเรา เราก็คงไม่ต่างกัน หนังดึงความสนใจผมไว้ได้อยู่หมัด และ ค่อยๆ ออกนอกลู่นอกทางไปเรื่อยๆ จนในที่สุดผมสามารถลุกไปเข้าห้องน้ำโดยไม่ใยดีกับมันได้ ... น่าเสียใจ
คำถามที่หนังตั้งคำถามไว้ในตอนแรกน่าสนใจมาก และสร้างความหวังให้กับผมมากว่าผมน่าจะได้คำตอบเชิงลึกเชิงปรัชญา เรื่องการขัดกันระหว่างสามัญสำนึกกับกฏหมาย หรือเอาในระดับง่ายๆ พ่อผิดมั้ยที่ไปยิงคนที่ข่มขืนลูกสาวตัวเอง ถ้าผิด ทำไมผิด ถ้าไม่ผิด ทำไมไม่ผิด หรือความผิดบาปในใจของผู้เป็นพ่อที่เมื่อยิงไปแล้วจะรู้สึกยังไง จะเกิดอะไรขึ้น มีแง่มุมมากมาย ที่หนังพาเราไปได้จาก บทประมาณนี้ซึ่งน่าสนใจ แต่หนังกลับไม่ลงทางลึกแต่ออกทางกว้าง ทำให้กลายเป็นเรื่องประเด็นการเมืองระหว่างสีผิว ซึ่งก็ไม่ได้พาเราไปสู่ความเข้าใจอันใดนอกจากดราม่าราคาถูก อีกทั้งยังมีซับพล็อตอย่างความสัมพันธ์เชิงชูสาวของตัวเอก และอื่นๆ อีกมากมายที่ดูไปเบื่อไป
ทั้งๆ ที่ผมคิดว่า Theme ของบทประมาณนี้มันน่าจะได้ดราม่าแบบเข้มๆ จมดิ่งเข้าไปสำรวจในระดับบุคคล ระดับสังคม ระดับการปกครอง ค่อยๆ คลี่มันออกมาได้อย่างเมามันส์ (ลองคิดว่าเรื่องนี้มาทำเป็น ซีรีส์สิบตอนกำกับโดย David Fincher หรือสายพวก True Detective มันจะมันส์แค่ไหน)
การที่พ่อและทนายตัดสินใจสู้คดีด้วยข้ออ้างที่ว่าตนเองนั้นวิกลจริตชั่วคราว แต่กลับบอกลูกขุนว่า ลูกตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกฏหมาย และนี่เป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องไม่ถูกตัดสินว่าผิด ก็ทำให้เห็นได้ถึงความบิดเบี้ยวของหนังที่ไม่ได้ต้องการจะพาเราไปที่ไหน นอกจากการเป็น Courtroom (Melo) Drama
ดูจนจบผมก็ยังไม่ได้คำตอบหรือยังไม่เห็นเครื่องมืออะไรที่จะช่วยให้ผมคิดได้เลยว่า ตกลงข่มขืนเท่ากับประหารนั้นมันชอบธรรมหรือเปล่า
ปล่อยผ่านอย่างยิ่ง ท่าดี ทีเหลวครับ
Page :
https://www.facebook.com/maewginoreview/
A Time To Kill (1996) ข่มขืนเท่ากับประหารใช่มั้ย ? D 5.2/10
ในทางทฤษฎีผมก็เห็นด้วยกับหลายๆ ท่านว่า การทำให้เป็นการประหารชีวิตทุกกรณี อาจดูเป็นโทษที่รุนแรงเกินจริง แต่ในทางปฎิบัติแล้ว หากผมมีลูกสาว แล้วลูกสาวโดนข่มขืน ทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง ผมยังจะยืนกรานเห็นด้วยอยู่อีกมั้ย ว่าโทษของการข่มขืนเท่ากับการประหารชีวิตนั้นเบาเกินไป เผลอๆ ผมอาจเอาปืนไปยิงไอ้คนที่ทำร้ายลูกสาวผมเองเลยด้วยซ้ำแบบที่ไม่ต้องรอให้ศาลตัดสิน
สถานการณ์แบบนี้เป็นจุดเริ่มต้นในหนังเรื่อง A Time To Kill ของ Joel Schumacher ที่ทำมาจากนิยายของ John Grisham ชื่อไทยว่า ยุติธรรมอำมหิต
เมื่อเด็กผู้หญิงผิวสีคนหนึ่งถูกชายผิวขาวสองคน ข่มขืนแล้วฆ่า แต่โชคยังดีที่เธอไม่ตาย (แต่ก็ปางตาย) มีคนไปพบเข้า จึงสาวไปถึงตัวของคนข่มขืนสองคนนั่นได้ คำถามคือถ้าคุณเป็นพ่อของเด็กสาวผิวสีคนนั้น ที่ไม่รู้สึกว่า ลูกสาวของคุณจะได้รับความยุติธรรมในชั้นศาล และโทษของการข่มขืนลูกของคุณนั้นเบาเกินไป คุณจะนำความยุติธรรมมาลั่นไกด้วยตัวคุณเองมั้ย ?
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของหนังเรื่อง A Time To Kill ที่ทำได้ดีมาก ทำให้ผมอินไปกับหัวจิตหัวใจของคนเป็นพ่อ คิดเลยว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับลูกสาวเรา เราก็คงไม่ต่างกัน หนังดึงความสนใจผมไว้ได้อยู่หมัด และ ค่อยๆ ออกนอกลู่นอกทางไปเรื่อยๆ จนในที่สุดผมสามารถลุกไปเข้าห้องน้ำโดยไม่ใยดีกับมันได้ ... น่าเสียใจ
คำถามที่หนังตั้งคำถามไว้ในตอนแรกน่าสนใจมาก และสร้างความหวังให้กับผมมากว่าผมน่าจะได้คำตอบเชิงลึกเชิงปรัชญา เรื่องการขัดกันระหว่างสามัญสำนึกกับกฏหมาย หรือเอาในระดับง่ายๆ พ่อผิดมั้ยที่ไปยิงคนที่ข่มขืนลูกสาวตัวเอง ถ้าผิด ทำไมผิด ถ้าไม่ผิด ทำไมไม่ผิด หรือความผิดบาปในใจของผู้เป็นพ่อที่เมื่อยิงไปแล้วจะรู้สึกยังไง จะเกิดอะไรขึ้น มีแง่มุมมากมาย ที่หนังพาเราไปได้จาก บทประมาณนี้ซึ่งน่าสนใจ แต่หนังกลับไม่ลงทางลึกแต่ออกทางกว้าง ทำให้กลายเป็นเรื่องประเด็นการเมืองระหว่างสีผิว ซึ่งก็ไม่ได้พาเราไปสู่ความเข้าใจอันใดนอกจากดราม่าราคาถูก อีกทั้งยังมีซับพล็อตอย่างความสัมพันธ์เชิงชูสาวของตัวเอก และอื่นๆ อีกมากมายที่ดูไปเบื่อไป
ทั้งๆ ที่ผมคิดว่า Theme ของบทประมาณนี้มันน่าจะได้ดราม่าแบบเข้มๆ จมดิ่งเข้าไปสำรวจในระดับบุคคล ระดับสังคม ระดับการปกครอง ค่อยๆ คลี่มันออกมาได้อย่างเมามันส์ (ลองคิดว่าเรื่องนี้มาทำเป็น ซีรีส์สิบตอนกำกับโดย David Fincher หรือสายพวก True Detective มันจะมันส์แค่ไหน)
การที่พ่อและทนายตัดสินใจสู้คดีด้วยข้ออ้างที่ว่าตนเองนั้นวิกลจริตชั่วคราว แต่กลับบอกลูกขุนว่า ลูกตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกฏหมาย และนี่เป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องไม่ถูกตัดสินว่าผิด ก็ทำให้เห็นได้ถึงความบิดเบี้ยวของหนังที่ไม่ได้ต้องการจะพาเราไปที่ไหน นอกจากการเป็น Courtroom (Melo) Drama
ดูจนจบผมก็ยังไม่ได้คำตอบหรือยังไม่เห็นเครื่องมืออะไรที่จะช่วยให้ผมคิดได้เลยว่า ตกลงข่มขืนเท่ากับประหารนั้นมันชอบธรรมหรือเปล่า
ปล่อยผ่านอย่างยิ่ง ท่าดี ทีเหลวครับ
Page : https://www.facebook.com/maewginoreview/