มีหลายท่านบอกผมว่า เลี้ยงลูกดีเนอะ สอนยังไงเหรอ ความจริง ผมไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรมากมายหรอกครับ เพราะสอนด้วยสัญชาติญาณมากกว่าสอนตามตำราเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อผลที่ได้รับออกมาค่อนข้างน่าพอใจยิ่ง จึงได้เวลารวบรวมเทคนิคการสอนให้คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองทุกคนได้ลองนำไปใช้ จนได้กฎทองสอนลูก 4 ข้อ มาแบ่งปันกันครับ
...
กฎทองสอนลูกข้อที่ 1. เล่าให้ฟัง
: การเล่าให้ฟัง คือสิ่งแรกอะไรก็ได้ที่เราอยากจะบอกเล่าเรื่องราวดีๆที่น่าสนใจให้กับเด็กๆได้ฟัง ยิ่งถ้าเป็นช่วงวัยกำลังเติบโตและต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่แล้วล่ะก็ยิ่งดีเลยครับ แน่นอนครับว่า ไม่มีใครเล่าเรื่องอะไรก็ตามให้ลูกฟังได้น่าสนใจเท่าพ่อแม่และผู้ปกครองที่ใกล้ชิด ไม่ว่าจะเล่าปากเปล่า เล่าผ่านหนังสือ หรือแม้กระทั่งเล่าผ่านช่องทางการสื่อสารที่มีมากมายรอบตัวก็ควรเล่าด้วยความตื่นเต้น สนุกสนาน ยกตัวอย่างการเล่าให้ฟังว่าต้นไม้ทำให้เราสดชื่น มีอากาศดีๆหายใจ ลมพัดเย็นสบาย มีนกมีกระรอกมาอาศัยและวิ่งเล่น ยิ่งถ้ามีลีลาน้ำเสียงประกอบท่าทางไปด้วยแล้ว เด็กจะจดจำในสิ่งที่เราเล่าได้ง่ายดายมากๆครับ
...
กฎทองสอนลูกข้อที่ 2. รั้งให้ดู
: กฎข้อนี้ คือการทำอย่างต่อเนื่องจากการเล่าให้ฟัง คือเมื่อเราสังเกตเห็นว่า เมื่อเด็กเริ่มสนใจ เราควรจะหาสื่อเสริมต่างๆมาให้เขาดู เป็นภาพประกอบก็ได้ อ่านให้เขาฟังก็ได้ ให้เขาอ่านเองก็ได้ แต่ธรรมชาติของเด็ก จะสนใจสิ่งต่างๆมากมายจนบางครั้งอาจหลุดไปชมการ์ตูนบ้าง ดูละครตามพ่อแม่บ้าง ซึ่งหลายๆครั้งเมื่อพ่อแม่เริ่มได้สติ ก็จะแกล้งเปลี่ยนเป็นช่องสารคดีไปเลย บางครั้งดูเหมือนขัดใจ แต่เมื่อเรารั้งเขาไว้เรื่อยๆ ความเคยชินและการซึมซับในข้อมูลก็จะตามมา ถ้านั่งชมไปด้วยกัน เด็กจะนั่งชมกับเราได้นาน แต่ถ้าจำเป็นต้องฝากคนอื่นเลี้ยง แนะนำว่าให้เปิดแต่ช่องสารคดีเป็นหลักครับ
...
กฎทองสอนลูกข้อที่ 3. รู้โลกจริง
: กฎทองข้อนี้ สำคัญยิ่งครับ เพราะถึงแม้บางครั้ง เราจะพยายามเล่าให้เขาฟังหรือรั้งให้เขาดูมากเพียงใด ก็ยังไม่เท่าให้ไปเรียนรู้ของจริง ได้ไปเห็น ได้สัมผัส ได้ทดลองทำ ในขณะเดียวกัน ก็อธิบายบางสิ่งบางอย่างเพิ่มเติม ซึ่งคำถามจะพรั่งพรูจากตัวเด็กเอง เช่น “แปลกจังนะ อากาศร้อนๆอยู่ดี พอเข้ามาเจอต้นไม้เยอะๆ กลับเย็นลงเฉยเลย ทำไมเป็นอย่างนี้ได้” ในหลายๆจังหวะทองเหล่านี้ นี้คือการเริ่มฝังชิพในสมอง เพราะประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้ทำงานสัมพันธ์สอดคล้องกันหมด ทำให้เด็กๆมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งขึ้น ดังนั้น การพยายามพาเด็กๆออกไปท่องเที่ยวธรรมชาติ เข้าชมพิพิธภัณฑ์ ไปหาซื้ออุปกรณ์งานประดิษฐ์ต่างๆ หรือการได้ออกไปเรียนสิ่งต่างๆเพิ่มเติมนอกห้องเรียนเช่น ศิลปะ ดนตรี กีฬาหรือจะวิชาการ จึงได้ผลและมีประโยชน์อย่างยิ่งครับ
...
กฎทองสอนลูกข้อที่ 4. ทิ้งข้อคิด
: และท้ายที่สุด ทั้งหมดทั้งมวลที่พ่อแม่ทำจะไม่สูญเปล่าเลย หากได้ทิ้งข้อคิดไว้ให้เด็กๆพินิจพิเคราะห์ไปกับเรา ทิ้งไปเรื่อยๆ ทำอย่างต่อเนื่อง บางทีตัวผมและภรรยาทิ้งข้อคิดจนเด็กๆตอบกลับมาว่า รู้แล้วค่า พูดเป็นพันรอบแล้วม้างง..เช่น “เห็นหรือยังว่า ต้นไม้มีความเกี่ยวข้องกับเราอย่างไร ถ้าโลกวันนี้ไม่มีป่าไม้ เราจะทำอย่างไร พวกหนูจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? เชื่อไหมครับว่า เราจะได้ยินคำตอบและแนวทางแก้ปัญหาของเด็กได้อย่างน่าอัศจรรย์และไม่น่าเชื่อ เพราะเด็กๆมักจะคิดจินตนาการอย่างไร้กรอบจริงๆ ^^ การทิ้งข้อคิดคือการทำให้เขา มี”ปัญญาควบคู่ไปกับคุณธรรม”ความถูกต้อง ทำให้ประสาทสัมผัสชุดสุดท้ายนอกจาก การเห็นจากตา การได้ยินจากหู การได้กลิ่นจากจมูก การได้ลองชิมจากลิ้น การได้สัมผัสจากกาย จนมาถึง “ใจ” จะเติบโตเบ่งบานอย่างสวยงาม เป็นใจที่มีความรัก ความผูกพัน มีความรู้สึกและทัศนคติที่ดีต่อสิ่งที่เขาทำ ต่อสิ่งรอบข้าง ต่อพ่อแม่ผู้ปกครอง ต่อครูบาอาจารย์ แม้กระทั่งต่อโลกใบนี้ ทำให้เขาสามารถคิดและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นรวมถึงการลดปัญหาหนักอกสำหรับพ่อแม่ไปได้เลย (บางครั้งเขายังสามารถคิดแก้ปัญหาในเรื่องอื่นๆที่เราไม่ได้สอนได้ดีอีกด้วยครับ)
...
กฎทองทั้งสี่นี้ มีพื้นฐานสำคัญคือ พ่อแม่ต้องทำโดยความรู้สึกอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ต้องคอยสังเกตความสนใจของเด็กๆด้วย เพราะบางทีบางเรื่อง เราก็คาดหวังหรือเชิงบังคับเด็กให้ทำตามใจเรามากเกินไป ซึ่งอาจจะไม่ได้ผลดีเต็มร้อยซักเท่าไหร่ แต่ถ้าสังเกตแล้วเห็นเด็กถูกซึมซับแล้วทำด้วยความสุข เด็กไม่รู้สึกถูกกดดันจนเกินไป (ซึ่งเราสังเกตได้จากความต้องการของเขาอยู่แล้ว) เมื่อมาถึงจุดนี้ รับรองครับว่า พวกเขาจะเป็นไปอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการทุกประการและจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพให้พวกเราได้ชื่นใจอย่างแท้จริงครับ
จากใจ คุณพ่อคุณแม่ #สองสาวพราวพรีม
#กฎทองสอนลูก
www.facebook.com/proudpream
มีกฎทองสอนลูก 4 ข้อ นำมาฝากกันครับ
...
กฎทองสอนลูกข้อที่ 1. เล่าให้ฟัง
: การเล่าให้ฟัง คือสิ่งแรกอะไรก็ได้ที่เราอยากจะบอกเล่าเรื่องราวดีๆที่น่าสนใจให้กับเด็กๆได้ฟัง ยิ่งถ้าเป็นช่วงวัยกำลังเติบโตและต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่แล้วล่ะก็ยิ่งดีเลยครับ แน่นอนครับว่า ไม่มีใครเล่าเรื่องอะไรก็ตามให้ลูกฟังได้น่าสนใจเท่าพ่อแม่และผู้ปกครองที่ใกล้ชิด ไม่ว่าจะเล่าปากเปล่า เล่าผ่านหนังสือ หรือแม้กระทั่งเล่าผ่านช่องทางการสื่อสารที่มีมากมายรอบตัวก็ควรเล่าด้วยความตื่นเต้น สนุกสนาน ยกตัวอย่างการเล่าให้ฟังว่าต้นไม้ทำให้เราสดชื่น มีอากาศดีๆหายใจ ลมพัดเย็นสบาย มีนกมีกระรอกมาอาศัยและวิ่งเล่น ยิ่งถ้ามีลีลาน้ำเสียงประกอบท่าทางไปด้วยแล้ว เด็กจะจดจำในสิ่งที่เราเล่าได้ง่ายดายมากๆครับ
...
กฎทองสอนลูกข้อที่ 2. รั้งให้ดู
: กฎข้อนี้ คือการทำอย่างต่อเนื่องจากการเล่าให้ฟัง คือเมื่อเราสังเกตเห็นว่า เมื่อเด็กเริ่มสนใจ เราควรจะหาสื่อเสริมต่างๆมาให้เขาดู เป็นภาพประกอบก็ได้ อ่านให้เขาฟังก็ได้ ให้เขาอ่านเองก็ได้ แต่ธรรมชาติของเด็ก จะสนใจสิ่งต่างๆมากมายจนบางครั้งอาจหลุดไปชมการ์ตูนบ้าง ดูละครตามพ่อแม่บ้าง ซึ่งหลายๆครั้งเมื่อพ่อแม่เริ่มได้สติ ก็จะแกล้งเปลี่ยนเป็นช่องสารคดีไปเลย บางครั้งดูเหมือนขัดใจ แต่เมื่อเรารั้งเขาไว้เรื่อยๆ ความเคยชินและการซึมซับในข้อมูลก็จะตามมา ถ้านั่งชมไปด้วยกัน เด็กจะนั่งชมกับเราได้นาน แต่ถ้าจำเป็นต้องฝากคนอื่นเลี้ยง แนะนำว่าให้เปิดแต่ช่องสารคดีเป็นหลักครับ
...
กฎทองสอนลูกข้อที่ 3. รู้โลกจริง
: กฎทองข้อนี้ สำคัญยิ่งครับ เพราะถึงแม้บางครั้ง เราจะพยายามเล่าให้เขาฟังหรือรั้งให้เขาดูมากเพียงใด ก็ยังไม่เท่าให้ไปเรียนรู้ของจริง ได้ไปเห็น ได้สัมผัส ได้ทดลองทำ ในขณะเดียวกัน ก็อธิบายบางสิ่งบางอย่างเพิ่มเติม ซึ่งคำถามจะพรั่งพรูจากตัวเด็กเอง เช่น “แปลกจังนะ อากาศร้อนๆอยู่ดี พอเข้ามาเจอต้นไม้เยอะๆ กลับเย็นลงเฉยเลย ทำไมเป็นอย่างนี้ได้” ในหลายๆจังหวะทองเหล่านี้ นี้คือการเริ่มฝังชิพในสมอง เพราะประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้ทำงานสัมพันธ์สอดคล้องกันหมด ทำให้เด็กๆมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งขึ้น ดังนั้น การพยายามพาเด็กๆออกไปท่องเที่ยวธรรมชาติ เข้าชมพิพิธภัณฑ์ ไปหาซื้ออุปกรณ์งานประดิษฐ์ต่างๆ หรือการได้ออกไปเรียนสิ่งต่างๆเพิ่มเติมนอกห้องเรียนเช่น ศิลปะ ดนตรี กีฬาหรือจะวิชาการ จึงได้ผลและมีประโยชน์อย่างยิ่งครับ
...
กฎทองสอนลูกข้อที่ 4. ทิ้งข้อคิด
: และท้ายที่สุด ทั้งหมดทั้งมวลที่พ่อแม่ทำจะไม่สูญเปล่าเลย หากได้ทิ้งข้อคิดไว้ให้เด็กๆพินิจพิเคราะห์ไปกับเรา ทิ้งไปเรื่อยๆ ทำอย่างต่อเนื่อง บางทีตัวผมและภรรยาทิ้งข้อคิดจนเด็กๆตอบกลับมาว่า รู้แล้วค่า พูดเป็นพันรอบแล้วม้างง..เช่น “เห็นหรือยังว่า ต้นไม้มีความเกี่ยวข้องกับเราอย่างไร ถ้าโลกวันนี้ไม่มีป่าไม้ เราจะทำอย่างไร พวกหนูจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? เชื่อไหมครับว่า เราจะได้ยินคำตอบและแนวทางแก้ปัญหาของเด็กได้อย่างน่าอัศจรรย์และไม่น่าเชื่อ เพราะเด็กๆมักจะคิดจินตนาการอย่างไร้กรอบจริงๆ ^^ การทิ้งข้อคิดคือการทำให้เขา มี”ปัญญาควบคู่ไปกับคุณธรรม”ความถูกต้อง ทำให้ประสาทสัมผัสชุดสุดท้ายนอกจาก การเห็นจากตา การได้ยินจากหู การได้กลิ่นจากจมูก การได้ลองชิมจากลิ้น การได้สัมผัสจากกาย จนมาถึง “ใจ” จะเติบโตเบ่งบานอย่างสวยงาม เป็นใจที่มีความรัก ความผูกพัน มีความรู้สึกและทัศนคติที่ดีต่อสิ่งที่เขาทำ ต่อสิ่งรอบข้าง ต่อพ่อแม่ผู้ปกครอง ต่อครูบาอาจารย์ แม้กระทั่งต่อโลกใบนี้ ทำให้เขาสามารถคิดและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นรวมถึงการลดปัญหาหนักอกสำหรับพ่อแม่ไปได้เลย (บางครั้งเขายังสามารถคิดแก้ปัญหาในเรื่องอื่นๆที่เราไม่ได้สอนได้ดีอีกด้วยครับ)
...
กฎทองทั้งสี่นี้ มีพื้นฐานสำคัญคือ พ่อแม่ต้องทำโดยความรู้สึกอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ต้องคอยสังเกตความสนใจของเด็กๆด้วย เพราะบางทีบางเรื่อง เราก็คาดหวังหรือเชิงบังคับเด็กให้ทำตามใจเรามากเกินไป ซึ่งอาจจะไม่ได้ผลดีเต็มร้อยซักเท่าไหร่ แต่ถ้าสังเกตแล้วเห็นเด็กถูกซึมซับแล้วทำด้วยความสุข เด็กไม่รู้สึกถูกกดดันจนเกินไป (ซึ่งเราสังเกตได้จากความต้องการของเขาอยู่แล้ว) เมื่อมาถึงจุดนี้ รับรองครับว่า พวกเขาจะเป็นไปอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการทุกประการและจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพให้พวกเราได้ชื่นใจอย่างแท้จริงครับ
จากใจ คุณพ่อคุณแม่ #สองสาวพราวพรีม
#กฎทองสอนลูก
www.facebook.com/proudpream