รีวิว เตรียมตัวสอบอย่างไรให้ 'ไม่ติด' มหาวิทยาลัยที่คาดหวัง
คำเตือน กระทู้นี้มีความซากอ้อยและคำหยาบคายพอสมควร เอาเฉพาะที่เราคิดว่าดีและนำไปปรับใช้นะครับ
สวัสดีครับ วันนี้เราจะมารีวิวทำยังไงให้สอบไม่ติดนะครับ เป็นประสบการณ์โดยตรงจากเด็กแอดปีนี้ครับ จุดประสงค์คือกระทู้รีวิวทำยังไงให้สอบติดมันเยอะแล้ว และเราเองก็สอบไม่ติด จะไปเมคว่าสอบติดก็คงไม่ใช่ ใช่มะ ? เพราะงั้นมาเริ่มกันเล๊ยยยยยย
เริ่มเลย ตั้งแต่ขึ้นม.4 มา เราก็เรียนๆเล่นๆ เนาะ ได้สามบ้าง สองบ้าง เฉลี่ยตอนขึ้นม.หกเทอมหนึ่งคือ 3.00 เป๊ะๆไม่ขาดไม่เกิน เราจะเข้าคณะสายนิเทศนั้นแหละ หวังใจไว้ว่าจะได้แกท 250+ ขึ้น ก็น่าจะพอเข้าที่ดีๆได้บ้าง (ความฝันคือวารศาสตร์มธ. เป็นเด็กค่ายที่นี้ แต่ก็นั้นแหละ บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน ...เพราะความพยายามของเราไม่มากพอเอง
สรุปเราจบม.หกด้วยเกรดเฉลี่ย 2.81 (เทอมสุดท้ายได้เกรด 2.02 เอาจริงๆตอนแรกคิดว่าเกรดรวมจะดิ่งพสุธาซะแล้ว....)
สรุปคะแนนแรกของเราได้ = 4215 คะแนน (น้ำหนัก20%)
1.) การตั้งเป้าหมายเป็นเรื่องที่ดี ...แต่การมีเป้าหมายสำรองเป็นเรื่องที่'ดีกว่า'
ด้วยอัตตาและความดื้อแห่งเรา ในเมื่อใจหมายปองวารสารแล้ว ใดๆในโลกล้วนมองข้ามไป เราไม่สมัครรับตรงที่ใดเลยสักที่(จริงๆเพราะนิเทศส่วนมากมีแต่แอดด้วยแหละ เราไม่อยากไปสอบทั้งๆที่ไม่คิดจะเรียน...) และไม่สอบ 9 วิชาสามัญด้วย สาเหตุคือเราไม่มีเงินจ้าาาประกอบกับคิดว่ายังไงก็ไม่สมัครรับตรงเลยปล่อยผ่าน แผนการของเราคือสอบแกท แพท 1 และ แพท 7 สองรอบเท่านั้น เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะเราไม่มีครอบครัว เงินทุกบาททุกสตางค์ต้องหาออกเอง เพราะงั้นอะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัดอ่ะเนาะ ก็คิดว่ามันเป็นแพลนที่ดี
ความผิดพลาดแรกคือการไม่มีแผนสำรองในกรณีที่พลาดลงไป
แต่ แต่ แต่ .....เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าแผนจะสำเร็จตามแพลนที่ว่างไว้เสมอไป?
......การลด 'อัตตา' และมองมหาวิทยาลัยอื่นบ้างเป็นสิ่งที่สมควรทำ แต่จงเลือกให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ชีวิตของตัวเอง อย่าลดมูลค่าจนเกินงาม อย่าสักที่สอบจนไม่มองตามความเป็นจริง โลกการทำงานไม่ได้โหดร้าย หากแต่ถ้าอยากเริ่มต้นที่ดีๆ เพื่อเป็นแรงผลักดันที่ดี ก็สมควรจะพิจารณาถึงการเลือกมหาวิทยาลัยอย่างถี่ถ้วน (โลกของการทำงาน บ.ไม่มีเวลาว่างมานั่งหาเพชรในโคลนตมบ่อยๆหรอกครับ...)
2.) มุ่งมั่นและพยายามคือสิ่งสำคัญ แต่อย่าลืมหน้าที่และสิ่งที่ 'สมควร' จะต้องทำในเวลานั้นๆ
เมื่อเกิดความผิดพลาดในแผนการใหญ่ๆแล้ว แผนต่อมามันก็เริ่มรวน พอเราตั้งเป้าหมายว่าจะเอาแกทแพทแค่สามวิชาแล้ว เราเทเกรดที่โรงเรียนทิ้งเลยจริงๆ(คือไม่ทำงานส่งเลยสักชิ้น เพราะถือดีว่าคะแนนสอบก็ผ่านแล้ว คือมันผ่านจริงๆไงแต่ได้แค่แบบ เกรด 1 เกรด 2 อะไรแค่นี้ เพราะไม่มีคะแนนช่วยเลย) เป็นช่วงที่ทุ่มเทแบบลืมตายมาก เลิกโรงเรียนแล้วไปเรียนพิเศษต่อ หยุดเสาร์อาทิตย์ วันหยุดพิเศษคือไปตั้งแต่ เช้ายันมืดค่ำ ครบโค้วต้า 8 ชั่วโมงสม่ำเสมอ เราเรียนๆๆๆ ยัดๆๆๆ เข้าไปในหัว เพราะจริงๆเราเป็นคนอ่อนอิงค์มากๆ มากแบบศัพท์ทั่วไปคือไม่รู้อ่ะ เลยคิดว่าการเรียนเยอะจะช่วยได้จริง
และนี้คือความผิดพลาดอย่างที่สอง...
เรียนเยอะจริง ...แต่ทบทวนและทำโจทย์น้อยมาก
เห้ยย เป็นความคิดที่ผิดพลาดมากๆเลยนะแกร์ ที่แกคิดว่าเรียนแล้วไม่ทบทวนแล้วจะทำข้อสอบได้ คือผิดแบบไม่น่าให้อภัยตัวเอง คือเราทำโจทย์เว้ย พวก 20 พศ.ของพี่แนนอะไรงี้ก็ทำ แต่ทำน้อยเกินไปไง เหมือนที่บอกไปแหละว่าความพยายามมันไม่มากพอเอง ทำๆไปเหนื่อย ทำๆไปขี้เกรียจ หาข้ออ้างให้ตัวเองไม่ทำ สุดท้ายคือพัง บอกเลย
3.) ขาดความรอบครอบและความมั่นใจที่มีมากเกินไปก็ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
ไม่เตรียมตัวเลย ....
ก่อนสอบแกทแพทรอบแรกคือเราไปเรียนพิเศษรอบสดมาเว้ย แล้วเพิ่งเรียนปิดคอร์ทก่อนจะสอบสองวัน เห้ยย มันผิดพลาดมากๆเลยนะเว้ย จำไว้เลยนะแกร์ การเรียน ย้ำว่าเรียนเนื้อหาก่อนจะชอบทุกวิชา แกต้องเรียนให้จบก่อนสอบอย่างน้อยๆ 1 เดือนก่อนวันสอบ !!!
ไอ้การเรียนแล้วไม่ได้ทำฝึกหัดไม่ได้ช่วยส้นเท้าอะไรเลยจริงๆเจ้าค่ะ ในเมื่อไม่เคยลองจะรู้ได้ไงว่าข้อสอบมันประมาณไหน หรือจะรู้ได้ไงว่าจุดอ่อนจุดแข็งของเราคืออะไร? การรู้ขีดจำกัดและศักยภาพตัวเองว่าทำอะไรได้ - ไม่ได้ สำคัญมากๆ มากๆพอกับการรู้แนวข้อสอบด้วยซ้ำ
ผลรอบรอบแรกคือเราได้คะแนนแกท 200/300 เห็นคะแนนแล้วอยากกระโดดถีบตัวเองมาก ทำได้ไม่เฉียดเป้าหมายเลยด้วยซ้ำ รู้สึกว่าโคตรล้มเหลว แต่ แต่...แต่ยังไม่เปลี่ยนวิธีการเรียนจ้า เรากัดฟันเอาเงินเก็บไปเรียนพิเศษเพิ่ม คือหมดตัวแบบหมดตัวจริงๆ เหลือแค่ค่ากินกะค่าเช่าห้องที่คำนวณแล้วว่าพอกับสามเดือนที่เหลือก่อนจะสอบเสร็จ แน่ล่ะว่าหากโลกนี้เป็นละคร เราอาจจะรอด แต่ไม่ใช่ไง โลกจริงๆไม่ได้ทำอะไรสำเร็จง่ายๆแบบนั้น
รอบสองตอนที่ไปสอบ บอกเลยว่าตัวสั่นมาก เหงื่อตก ทำข้อสอบไปเครียดไป คือเราเครียดมาจากผลของรอบแรกด้วย และตอนทำแกทเชื่อมโยงคือเรามั่นใจมาก เพราะเราได้คะแนนรอบแรก 150/150 ผลลัพท์คือลืมกาคำตอบไปตัว คิดว่าน่าจะได้ของรอบสองแกทไทยคือ 144/150 (น่าจะผิดสองคำตอบ) ส่วนแกทอิงค์คืออย่าใช้คำว่าแย่เลย รอบแรกว่าได้น้อยคือยังทำทัน รอบสองคือทำไม่ทัน !!! ไม่ได้นำนาฬิกาไปจนไม่สามารถแบ่งเวลาได้ และใช้เวลาในการทำข้อสอบแต่ล่ะข้อมากเกินไป เราทำพาร์ท read เหลือ 4 บทความกับเวลาห้านาที สุดท้ายเลยกาไปแบบเลือกจากความน่าจะเป็นเพราะมันไล่สายตาไม่ทันแล้วจริงๆ
...ตายแบบเขียดตาปานจริงๆ หึหึ
สรุปคะแนนแกทรอบแรก = 10000 คะแนน (น้ำหนัก 50 %)
4.) โอเน็ตใครว่าไม่สำคัญ ?
โอเน็ตมีค่าน้ำหนักสำหรับเรา 30% แบ่งเป็นวิชาล่ะ 6% ที่นี้อีนี้คือมีความเชียวชาญไทยกับสังคมไง คิดว่าเตรียมตัวง่ายๆ ไปก็น่าจะพอไหวแล้ว คะแนนหมูๆแน่ๆ 4500+ ลอยมาโด้งๆ จ้าาาาา จินตนาการทำร้ายคนได้จริงๆ ตอนนั้นเราลืมมองธรรมชาติของข้อสอบไป
ที่ว่าธรรมชาติของข้อสอบ คืองี้แกร์ ข้อสอบโอเน็ตชุดหนึ่ง ประกอบไปด้วย 100 ข้อ ในแต่ล่ะข้อ การให้คะแนนก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ล่ะพาร์ท และสำคัญสุดคือ ข้อสอบไม่ได้ยากทุกข้อ !!! ดูปากณัชชาอีกที่นะค่ะ ข้อยากๆในโอเน็ตมีอยู่จริง ยากแบบวัวตายควายล้ม ยากแบบเด็กทั่วไปต้องร้องขอชีวิต มันมีจริงเว้ย แต่ แต่ แต่ (จะแต่เยอะไปไหน?) มันไม่ได้ยากทุกข้อไง เอาจริงๆมันต้องมีข้อที่เขาจงใจปล่อยให้เด็กทำได้ แล้วถ้าเตรียมตัวมาดีจริงๆ 250+ คือมันไม่เกินเอื่อมแน่ๆ ประกอบกับถ้ามีวิชาที่แน่นหรือเตรียมตัวมาดีๆมากมันจะช่วยได้เยอะเลยไง
การทิ้งวิชาใดวิชาหนึ่งไปโดยไปเน้นอีกวิชา คือความคิดที่ผิดพลาดและบัดซบของเรามากๆ !!! ถ้าเรายอมทำใจรับคณิตศาสตร์มากกว่านี้ มันอาจจะถึง 250+ ตามเป้าหมายก็ได้
สรุปคะแนนที่ได้คือ 228 คะแนน เต็ม 500 คะแนนโอเนท 1 คะแนนมีค่าน้ำหนัก 18 แต้มในหน่วยแอดมิชชั่น รวมกันแล้วได้ 4104 คะแนน
เมื่อเอาคะแนนทั้งหมดมารวมกันจะได้ ....
4215 + 4104 + 10000 คะแนน = 18319 คะแนน หมดสิทธิ์ลุ้นคณะนิเทศตามที่ฝันไว้อย่างน่าเสียดาย(และน่าสมน้ำหน้าตัวเองมากจริงๆ)
ผลลัพท์ครั้งนี้คือทำเราเครียดมาก ผิดหวัง และยอมรับว่าเฟลกับตัวเองที่โฟกัสผิดจุดและพยายามไม่มากพอในสิ่งที่ควรกระทำ อันนี้เล่าให้ฟังเพื่อเป็นแนวทางและเข็มทิศว่า 'ควรจะไม่เดินไปทางใด' หรือ ควรจะละเส้นทางใดดี เพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เอาจริงๆเฟลแต่ไม่โทษใครนะ จะบอกว่าพยายามเต็มที่ หึ..ไม่ใช่หรอก มันพยายามไม่เต็มที่จริงๆนั้นแหละ
สรุปทั้งหมดทั้งมวลคือ อยากบอกน้องๆว่า ถ้าไม่อยากเฟล ไม่อยากผิดหวัง จงพยายามต่อไป ตราบใดที่น้องยังมีความหวัง น้องจงมีพลังในการรังสรรค์ความฝันให้กลับกลายเป็นความจริง ตัวอย่างของความผิดหวังและสมหวังมีมากมาย
น้องอยากเป็นเคสแบบใดให้รุ่นน้องๆของน้องได้อ่านต่อ
น้องเลือกเองได้นะ พี่ว่า ;']
โชคดีน้าาาา
รีวิว เตรียมตัวสอบยังไงให้ไม่ติดมหาวิทยาลัยในฝัน
คำเตือน กระทู้นี้มีความซากอ้อยและคำหยาบคายพอสมควร เอาเฉพาะที่เราคิดว่าดีและนำไปปรับใช้นะครับ
สวัสดีครับ วันนี้เราจะมารีวิวทำยังไงให้สอบไม่ติดนะครับ เป็นประสบการณ์โดยตรงจากเด็กแอดปีนี้ครับ จุดประสงค์คือกระทู้รีวิวทำยังไงให้สอบติดมันเยอะแล้ว และเราเองก็สอบไม่ติด จะไปเมคว่าสอบติดก็คงไม่ใช่ ใช่มะ ? เพราะงั้นมาเริ่มกันเล๊ยยยยยย
เริ่มเลย ตั้งแต่ขึ้นม.4 มา เราก็เรียนๆเล่นๆ เนาะ ได้สามบ้าง สองบ้าง เฉลี่ยตอนขึ้นม.หกเทอมหนึ่งคือ 3.00 เป๊ะๆไม่ขาดไม่เกิน เราจะเข้าคณะสายนิเทศนั้นแหละ หวังใจไว้ว่าจะได้แกท 250+ ขึ้น ก็น่าจะพอเข้าที่ดีๆได้บ้าง (ความฝันคือวารศาสตร์มธ. เป็นเด็กค่ายที่นี้ แต่ก็นั้นแหละ บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน ...เพราะความพยายามของเราไม่มากพอเอง
สรุปเราจบม.หกด้วยเกรดเฉลี่ย 2.81 (เทอมสุดท้ายได้เกรด 2.02 เอาจริงๆตอนแรกคิดว่าเกรดรวมจะดิ่งพสุธาซะแล้ว....)
สรุปคะแนนแรกของเราได้ = 4215 คะแนน (น้ำหนัก20%)
1.) การตั้งเป้าหมายเป็นเรื่องที่ดี ...แต่การมีเป้าหมายสำรองเป็นเรื่องที่'ดีกว่า'
ด้วยอัตตาและความดื้อแห่งเรา ในเมื่อใจหมายปองวารสารแล้ว ใดๆในโลกล้วนมองข้ามไป เราไม่สมัครรับตรงที่ใดเลยสักที่(จริงๆเพราะนิเทศส่วนมากมีแต่แอดด้วยแหละ เราไม่อยากไปสอบทั้งๆที่ไม่คิดจะเรียน...) และไม่สอบ 9 วิชาสามัญด้วย สาเหตุคือเราไม่มีเงินจ้าาาประกอบกับคิดว่ายังไงก็ไม่สมัครรับตรงเลยปล่อยผ่าน แผนการของเราคือสอบแกท แพท 1 และ แพท 7 สองรอบเท่านั้น เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะเราไม่มีครอบครัว เงินทุกบาททุกสตางค์ต้องหาออกเอง เพราะงั้นอะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัดอ่ะเนาะ ก็คิดว่ามันเป็นแพลนที่ดี
ความผิดพลาดแรกคือการไม่มีแผนสำรองในกรณีที่พลาดลงไป
แต่ แต่ แต่ .....เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าแผนจะสำเร็จตามแพลนที่ว่างไว้เสมอไป?
......การลด 'อัตตา' และมองมหาวิทยาลัยอื่นบ้างเป็นสิ่งที่สมควรทำ แต่จงเลือกให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ชีวิตของตัวเอง อย่าลดมูลค่าจนเกินงาม อย่าสักที่สอบจนไม่มองตามความเป็นจริง โลกการทำงานไม่ได้โหดร้าย หากแต่ถ้าอยากเริ่มต้นที่ดีๆ เพื่อเป็นแรงผลักดันที่ดี ก็สมควรจะพิจารณาถึงการเลือกมหาวิทยาลัยอย่างถี่ถ้วน (โลกของการทำงาน บ.ไม่มีเวลาว่างมานั่งหาเพชรในโคลนตมบ่อยๆหรอกครับ...)
2.) มุ่งมั่นและพยายามคือสิ่งสำคัญ แต่อย่าลืมหน้าที่และสิ่งที่ 'สมควร' จะต้องทำในเวลานั้นๆ
เมื่อเกิดความผิดพลาดในแผนการใหญ่ๆแล้ว แผนต่อมามันก็เริ่มรวน พอเราตั้งเป้าหมายว่าจะเอาแกทแพทแค่สามวิชาแล้ว เราเทเกรดที่โรงเรียนทิ้งเลยจริงๆ(คือไม่ทำงานส่งเลยสักชิ้น เพราะถือดีว่าคะแนนสอบก็ผ่านแล้ว คือมันผ่านจริงๆไงแต่ได้แค่แบบ เกรด 1 เกรด 2 อะไรแค่นี้ เพราะไม่มีคะแนนช่วยเลย) เป็นช่วงที่ทุ่มเทแบบลืมตายมาก เลิกโรงเรียนแล้วไปเรียนพิเศษต่อ หยุดเสาร์อาทิตย์ วันหยุดพิเศษคือไปตั้งแต่ เช้ายันมืดค่ำ ครบโค้วต้า 8 ชั่วโมงสม่ำเสมอ เราเรียนๆๆๆ ยัดๆๆๆ เข้าไปในหัว เพราะจริงๆเราเป็นคนอ่อนอิงค์มากๆ มากแบบศัพท์ทั่วไปคือไม่รู้อ่ะ เลยคิดว่าการเรียนเยอะจะช่วยได้จริง
และนี้คือความผิดพลาดอย่างที่สอง...
เรียนเยอะจริง ...แต่ทบทวนและทำโจทย์น้อยมาก
เห้ยย เป็นความคิดที่ผิดพลาดมากๆเลยนะแกร์ ที่แกคิดว่าเรียนแล้วไม่ทบทวนแล้วจะทำข้อสอบได้ คือผิดแบบไม่น่าให้อภัยตัวเอง คือเราทำโจทย์เว้ย พวก 20 พศ.ของพี่แนนอะไรงี้ก็ทำ แต่ทำน้อยเกินไปไง เหมือนที่บอกไปแหละว่าความพยายามมันไม่มากพอเอง ทำๆไปเหนื่อย ทำๆไปขี้เกรียจ หาข้ออ้างให้ตัวเองไม่ทำ สุดท้ายคือพัง บอกเลย
3.) ขาดความรอบครอบและความมั่นใจที่มีมากเกินไปก็ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
ไม่เตรียมตัวเลย ....
ก่อนสอบแกทแพทรอบแรกคือเราไปเรียนพิเศษรอบสดมาเว้ย แล้วเพิ่งเรียนปิดคอร์ทก่อนจะสอบสองวัน เห้ยย มันผิดพลาดมากๆเลยนะเว้ย จำไว้เลยนะแกร์ การเรียน ย้ำว่าเรียนเนื้อหาก่อนจะชอบทุกวิชา แกต้องเรียนให้จบก่อนสอบอย่างน้อยๆ 1 เดือนก่อนวันสอบ !!!
ไอ้การเรียนแล้วไม่ได้ทำฝึกหัดไม่ได้ช่วยส้นเท้าอะไรเลยจริงๆเจ้าค่ะ ในเมื่อไม่เคยลองจะรู้ได้ไงว่าข้อสอบมันประมาณไหน หรือจะรู้ได้ไงว่าจุดอ่อนจุดแข็งของเราคืออะไร? การรู้ขีดจำกัดและศักยภาพตัวเองว่าทำอะไรได้ - ไม่ได้ สำคัญมากๆ มากๆพอกับการรู้แนวข้อสอบด้วยซ้ำ
ผลรอบรอบแรกคือเราได้คะแนนแกท 200/300 เห็นคะแนนแล้วอยากกระโดดถีบตัวเองมาก ทำได้ไม่เฉียดเป้าหมายเลยด้วยซ้ำ รู้สึกว่าโคตรล้มเหลว แต่ แต่...แต่ยังไม่เปลี่ยนวิธีการเรียนจ้า เรากัดฟันเอาเงินเก็บไปเรียนพิเศษเพิ่ม คือหมดตัวแบบหมดตัวจริงๆ เหลือแค่ค่ากินกะค่าเช่าห้องที่คำนวณแล้วว่าพอกับสามเดือนที่เหลือก่อนจะสอบเสร็จ แน่ล่ะว่าหากโลกนี้เป็นละคร เราอาจจะรอด แต่ไม่ใช่ไง โลกจริงๆไม่ได้ทำอะไรสำเร็จง่ายๆแบบนั้น
รอบสองตอนที่ไปสอบ บอกเลยว่าตัวสั่นมาก เหงื่อตก ทำข้อสอบไปเครียดไป คือเราเครียดมาจากผลของรอบแรกด้วย และตอนทำแกทเชื่อมโยงคือเรามั่นใจมาก เพราะเราได้คะแนนรอบแรก 150/150 ผลลัพท์คือลืมกาคำตอบไปตัว คิดว่าน่าจะได้ของรอบสองแกทไทยคือ 144/150 (น่าจะผิดสองคำตอบ) ส่วนแกทอิงค์คืออย่าใช้คำว่าแย่เลย รอบแรกว่าได้น้อยคือยังทำทัน รอบสองคือทำไม่ทัน !!! ไม่ได้นำนาฬิกาไปจนไม่สามารถแบ่งเวลาได้ และใช้เวลาในการทำข้อสอบแต่ล่ะข้อมากเกินไป เราทำพาร์ท read เหลือ 4 บทความกับเวลาห้านาที สุดท้ายเลยกาไปแบบเลือกจากความน่าจะเป็นเพราะมันไล่สายตาไม่ทันแล้วจริงๆ
...ตายแบบเขียดตาปานจริงๆ หึหึ
สรุปคะแนนแกทรอบแรก = 10000 คะแนน (น้ำหนัก 50 %)
4.) โอเน็ตใครว่าไม่สำคัญ ?
โอเน็ตมีค่าน้ำหนักสำหรับเรา 30% แบ่งเป็นวิชาล่ะ 6% ที่นี้อีนี้คือมีความเชียวชาญไทยกับสังคมไง คิดว่าเตรียมตัวง่ายๆ ไปก็น่าจะพอไหวแล้ว คะแนนหมูๆแน่ๆ 4500+ ลอยมาโด้งๆ จ้าาาาา จินตนาการทำร้ายคนได้จริงๆ ตอนนั้นเราลืมมองธรรมชาติของข้อสอบไป
ที่ว่าธรรมชาติของข้อสอบ คืองี้แกร์ ข้อสอบโอเน็ตชุดหนึ่ง ประกอบไปด้วย 100 ข้อ ในแต่ล่ะข้อ การให้คะแนนก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ล่ะพาร์ท และสำคัญสุดคือ ข้อสอบไม่ได้ยากทุกข้อ !!! ดูปากณัชชาอีกที่นะค่ะ ข้อยากๆในโอเน็ตมีอยู่จริง ยากแบบวัวตายควายล้ม ยากแบบเด็กทั่วไปต้องร้องขอชีวิต มันมีจริงเว้ย แต่ แต่ แต่ (จะแต่เยอะไปไหน?) มันไม่ได้ยากทุกข้อไง เอาจริงๆมันต้องมีข้อที่เขาจงใจปล่อยให้เด็กทำได้ แล้วถ้าเตรียมตัวมาดีจริงๆ 250+ คือมันไม่เกินเอื่อมแน่ๆ ประกอบกับถ้ามีวิชาที่แน่นหรือเตรียมตัวมาดีๆมากมันจะช่วยได้เยอะเลยไง
การทิ้งวิชาใดวิชาหนึ่งไปโดยไปเน้นอีกวิชา คือความคิดที่ผิดพลาดและบัดซบของเรามากๆ !!! ถ้าเรายอมทำใจรับคณิตศาสตร์มากกว่านี้ มันอาจจะถึง 250+ ตามเป้าหมายก็ได้
สรุปคะแนนที่ได้คือ 228 คะแนน เต็ม 500 คะแนนโอเนท 1 คะแนนมีค่าน้ำหนัก 18 แต้มในหน่วยแอดมิชชั่น รวมกันแล้วได้ 4104 คะแนน
เมื่อเอาคะแนนทั้งหมดมารวมกันจะได้ ....
4215 + 4104 + 10000 คะแนน = 18319 คะแนน หมดสิทธิ์ลุ้นคณะนิเทศตามที่ฝันไว้อย่างน่าเสียดาย(และน่าสมน้ำหน้าตัวเองมากจริงๆ)
ผลลัพท์ครั้งนี้คือทำเราเครียดมาก ผิดหวัง และยอมรับว่าเฟลกับตัวเองที่โฟกัสผิดจุดและพยายามไม่มากพอในสิ่งที่ควรกระทำ อันนี้เล่าให้ฟังเพื่อเป็นแนวทางและเข็มทิศว่า 'ควรจะไม่เดินไปทางใด' หรือ ควรจะละเส้นทางใดดี เพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เอาจริงๆเฟลแต่ไม่โทษใครนะ จะบอกว่าพยายามเต็มที่ หึ..ไม่ใช่หรอก มันพยายามไม่เต็มที่จริงๆนั้นแหละ
สรุปทั้งหมดทั้งมวลคือ อยากบอกน้องๆว่า ถ้าไม่อยากเฟล ไม่อยากผิดหวัง จงพยายามต่อไป ตราบใดที่น้องยังมีความหวัง น้องจงมีพลังในการรังสรรค์ความฝันให้กลับกลายเป็นความจริง ตัวอย่างของความผิดหวังและสมหวังมีมากมาย
น้องอยากเป็นเคสแบบใดให้รุ่นน้องๆของน้องได้อ่านต่อ
น้องเลือกเองได้นะ พี่ว่า ;']
โชคดีน้าาาา