http://m.naewna.com/view/columnonline/19553

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
ภาวะวิกฤติภัยแล้งและน้ำในเขื่อนหลักของประเทศที่ใกล้แห้งขอดจนส่งผลกระทบสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายสิบปี แม้ส่วนหนึ่งจะเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่สาเหตุสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ถูกมองข้ามคือเกิดจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดล้มเหลวอย่างร้ายแรงของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ
หนึ่งในข้อมูลที่ที่ชี้ให้เห็นผลพวงอัปยศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็คือ การเปิดเผยของ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน ที่ระบุว่า ปัญหาน้ำใน 4 เขื่อนหลักของประเทศคือเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีปริมาณน้ำใกล้แห้งขอดเกิดจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดในรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยมีการสั่งการจากฝ่ายการเมืองโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ(กนย.)ให้กรมชลประทานระบายน้ำในเขื่อนใหญ่ทุกเขื่อนลงเหลือร้อยละ 45 ของความจุเขื่อนเพราะเกรงจะเกิดมหาอุทกภัยซ้ำรอยปี 2554
ทั้งนี้ด้วยการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำให้เกิดมหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยโดยองค์กรภัยพิบัติระหว่างประเทศจัดให้มหาอุทกภัยของไทยเมื่อปี 2554 เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความเสียหายอยู่ในอันดับ 4 ของโลกโดยประมาณการความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาท
อธิบดีกรมชลประทานระบุว่า จากคำสั่งของฝ่ายการเมืองยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำให้ต้องระบายน้ำออกจากเขื่อนรวมถึง 1.4 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรซี่งเป็นการระบายน้ำออกจากเขื่อนมากที่สุดในรอบ 15 ปีอันเป็นจุดเริ่มต้นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้นทุนน้ำในเขื่อนหลักทั่วประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติมาจนทุกวันนี้
ทั้งๆที่ต้นทุนน้ำในเขื่อนที่เหลือน้อยอยู่แล้ว แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับซ้ำเติมปัญหาให้เลวร้ายลงด้วยการผลักดันโครงการรับจำนำข้าวตันละ 15,000 บาทซึ่งสูงกว่าราคาตลาดถึงเท่าตัว ทำให้ชาวนาทั่วประเทศแห่ปลูกข้าวกันจำนวนมากโดยพื้นที่ข้าวนาปรังเพิ่มจากปกติถึง 5-6 ล้านไร่ทั้งๆที่กรมชลประทานพยายามขอให้ลดการทำนาปรังเพราะมีต้นทุนน้ำเพื่อการเกษตรแค่ 2 ล้านไร่จนทำให้ต้นทุนน้ำในเขื่อนลดลงอย่างต่อเนื่องในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์จนถึงจุดวิกฤติในปัจจุบัน
ขณะที่ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ชี้ว่า วิกฤติน้ำแล้งในปีนี้ไม่ได้เกิดจากปรากฏการณ์เอลนินโญเพียงอย่างเดียว แต่ที่สำคัญเกิดจากการบริหารน้ำที่ผิดพลาดในอดีต โดยปล่อยให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงการบริหารน้ำในเขื่อนใหญ่เมื่อปลายปี 2554 จนทำให้ระดับน้ำในเขื่อนหลักอยู่ในระดับต่ำสุด รวมทั้งการปล่อยน้ำจำนวนมากเพื่อส่งเสริมให้ชาวนาปลูกข้าวนาปรังเพื่อรองรับโครงการรับจำนำข้าวส่งผลให้การระบายน้ำมากกว่าที่ควรจะเป็น และต่อมาในปี 2557 มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนน้อย ประกอบกับภาวะฝนทิ้งช่วงจึงทำให้วิกฤติภัยแล้วในขณะนี้รุนแรงกว่าที่ควรจะเป็น
ขณะที่นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติชี้ว่า ทั้
งๆที่ต้นทุนน้ำที่เหลืออยู่น้อยมากตั้งแต่เมื่อปี 2555 โดยนักวิชาการได้เตือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าหลังเกิดมหาอุทกภัยปี 2554 จะเกิดภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนินโญต่อเนื่องหลายปี จึงจำเป็นต้องกักเก็บน้ำในเขื่อนไว้ให้มากที่สุดเพื่อใช้ในอนาคต แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับระบายน้ำออกจากเขื่อนจนเหลือต่ำสุดโดยคิดเอาเองเกรงว่าจะเกิดมหาอุทกภัยซ้ำรอยปี 2554 โดยไม่ฟังคำเตือนของผู้เชี่ยวชาญ ประกอบกับ
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องการหาเสียงและมีการทุจริตอย่างมโหฬารในโครงการรับจำนำข้าว รัฐบาลจึงพยายามโหมนโยบายโครงการรับจำนำข้าวเต็มที่ทำให้ชาวนาทั่วประเทศแห่ปลูกข้าวกันขนานใหญ่
โดยไม่ฟังคำเตือนจากกรมชลประทานว่าต้นทุนน้ำในเขื่อนเหลือน้อย ซึ่งจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดและการโหมโครงการรับจำนำข้าว ประกอบกับฝนน้อยติดต่อกันหลายปีตั้งแต่ปี 2555ทำให้ต้นทุนน้ำในเขื่อนร่อยหรอลงทุกปีอย่างต่อเนื่องซึ่งแม้จะมีฝนตกลงมาบ้างแต่ก็สายเกินไปเพราะปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาไม่สามารถทำให้ต้นทุนน้ำในเขื่อนพ้นจากวิกฤติ ซ้ำสถานการณ์กลับยิ่งเลวร้ายในรอบหลายสิบปี
แต่ที่เป็นสัญญาณอันตรายจากวิกฤติภัยแล้งและน้ำแห้งเขื่อนอันเป็นผลพวงอัปยศจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดและความเห็นแก่ตัวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในการผลักดันโครงการรับจำนำข้าวก็คือ หากในช่วงเดือนส.ค.ถึงก.ย.นี้ไม่มีพายุพาดผ่านประเทศไทยจนทำให้เกิดฝนตกหนักในภาคเหนือและอีสานอันเป็นพื้นที่เหนือเขื่อนจะส่งผลให้น้ำในเขื่อนหลักทั่วประเทศแห้งขอดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนั่นหมายถึงหายนะจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจ การเกษตร และน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคทั่วประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ไปจนถึงปีหน้า และต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะฟื้นฟูระดับน้ำในเขื่อนให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ
ทุกสิ่งทุกอย่าง มีที่มาของมัน ผลเกิดจากเหตุ เหตุน้ำแล้งหนัก เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์
เห็นกันหรือยัง ว่าภัยแล้งจากน้ำมือมนุษย์ มันเลวร้ายและรุนแรงแค่ไหน
ถึงข่าวจะเก่า แต่ตอนนี้ก็เข้าใจกันแล้วสินะ ว่าน้ำไม่มี เกิดจากใคร ????
วิกฤติภัยแล้ง..น้ำแห้งเขื่อน ผลพวงอัปยศรัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์ (โจ ขิง)
(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
ภาวะวิกฤติภัยแล้งและน้ำในเขื่อนหลักของประเทศที่ใกล้แห้งขอดจนส่งผลกระทบสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายสิบปี แม้ส่วนหนึ่งจะเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่สาเหตุสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ถูกมองข้ามคือเกิดจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดล้มเหลวอย่างร้ายแรงของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ
หนึ่งในข้อมูลที่ที่ชี้ให้เห็นผลพวงอัปยศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็คือ การเปิดเผยของ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน ที่ระบุว่า ปัญหาน้ำใน 4 เขื่อนหลักของประเทศคือเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีปริมาณน้ำใกล้แห้งขอดเกิดจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดในรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยมีการสั่งการจากฝ่ายการเมืองโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ(กนย.)ให้กรมชลประทานระบายน้ำในเขื่อนใหญ่ทุกเขื่อนลงเหลือร้อยละ 45 ของความจุเขื่อนเพราะเกรงจะเกิดมหาอุทกภัยซ้ำรอยปี 2554
ทั้งนี้ด้วยการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำให้เกิดมหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยโดยองค์กรภัยพิบัติระหว่างประเทศจัดให้มหาอุทกภัยของไทยเมื่อปี 2554 เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความเสียหายอยู่ในอันดับ 4 ของโลกโดยประมาณการความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาท
อธิบดีกรมชลประทานระบุว่า จากคำสั่งของฝ่ายการเมืองยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำให้ต้องระบายน้ำออกจากเขื่อนรวมถึง 1.4 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรซี่งเป็นการระบายน้ำออกจากเขื่อนมากที่สุดในรอบ 15 ปีอันเป็นจุดเริ่มต้นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้นทุนน้ำในเขื่อนหลักทั่วประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติมาจนทุกวันนี้
ทั้งๆที่ต้นทุนน้ำในเขื่อนที่เหลือน้อยอยู่แล้ว แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับซ้ำเติมปัญหาให้เลวร้ายลงด้วยการผลักดันโครงการรับจำนำข้าวตันละ 15,000 บาทซึ่งสูงกว่าราคาตลาดถึงเท่าตัว ทำให้ชาวนาทั่วประเทศแห่ปลูกข้าวกันจำนวนมากโดยพื้นที่ข้าวนาปรังเพิ่มจากปกติถึง 5-6 ล้านไร่ทั้งๆที่กรมชลประทานพยายามขอให้ลดการทำนาปรังเพราะมีต้นทุนน้ำเพื่อการเกษตรแค่ 2 ล้านไร่จนทำให้ต้นทุนน้ำในเขื่อนลดลงอย่างต่อเนื่องในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์จนถึงจุดวิกฤติในปัจจุบัน
ขณะที่ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ชี้ว่า วิกฤติน้ำแล้งในปีนี้ไม่ได้เกิดจากปรากฏการณ์เอลนินโญเพียงอย่างเดียว แต่ที่สำคัญเกิดจากการบริหารน้ำที่ผิดพลาดในอดีต โดยปล่อยให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงการบริหารน้ำในเขื่อนใหญ่เมื่อปลายปี 2554 จนทำให้ระดับน้ำในเขื่อนหลักอยู่ในระดับต่ำสุด รวมทั้งการปล่อยน้ำจำนวนมากเพื่อส่งเสริมให้ชาวนาปลูกข้าวนาปรังเพื่อรองรับโครงการรับจำนำข้าวส่งผลให้การระบายน้ำมากกว่าที่ควรจะเป็น และต่อมาในปี 2557 มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนน้อย ประกอบกับภาวะฝนทิ้งช่วงจึงทำให้วิกฤติภัยแล้วในขณะนี้รุนแรงกว่าที่ควรจะเป็น
ขณะที่นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติชี้ว่า ทั้งๆที่ต้นทุนน้ำที่เหลืออยู่น้อยมากตั้งแต่เมื่อปี 2555 โดยนักวิชาการได้เตือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าหลังเกิดมหาอุทกภัยปี 2554 จะเกิดภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนินโญต่อเนื่องหลายปี จึงจำเป็นต้องกักเก็บน้ำในเขื่อนไว้ให้มากที่สุดเพื่อใช้ในอนาคต แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับระบายน้ำออกจากเขื่อนจนเหลือต่ำสุดโดยคิดเอาเองเกรงว่าจะเกิดมหาอุทกภัยซ้ำรอยปี 2554 โดยไม่ฟังคำเตือนของผู้เชี่ยวชาญ ประกอบกับ
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องการหาเสียงและมีการทุจริตอย่างมโหฬารในโครงการรับจำนำข้าว รัฐบาลจึงพยายามโหมนโยบายโครงการรับจำนำข้าวเต็มที่ทำให้ชาวนาทั่วประเทศแห่ปลูกข้าวกันขนานใหญ่
โดยไม่ฟังคำเตือนจากกรมชลประทานว่าต้นทุนน้ำในเขื่อนเหลือน้อย ซึ่งจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดและการโหมโครงการรับจำนำข้าว ประกอบกับฝนน้อยติดต่อกันหลายปีตั้งแต่ปี 2555ทำให้ต้นทุนน้ำในเขื่อนร่อยหรอลงทุกปีอย่างต่อเนื่องซึ่งแม้จะมีฝนตกลงมาบ้างแต่ก็สายเกินไปเพราะปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาไม่สามารถทำให้ต้นทุนน้ำในเขื่อนพ้นจากวิกฤติ ซ้ำสถานการณ์กลับยิ่งเลวร้ายในรอบหลายสิบปี
แต่ที่เป็นสัญญาณอันตรายจากวิกฤติภัยแล้งและน้ำแห้งเขื่อนอันเป็นผลพวงอัปยศจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดและความเห็นแก่ตัวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในการผลักดันโครงการรับจำนำข้าวก็คือ หากในช่วงเดือนส.ค.ถึงก.ย.นี้ไม่มีพายุพาดผ่านประเทศไทยจนทำให้เกิดฝนตกหนักในภาคเหนือและอีสานอันเป็นพื้นที่เหนือเขื่อนจะส่งผลให้น้ำในเขื่อนหลักทั่วประเทศแห้งขอดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนั่นหมายถึงหายนะจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจ การเกษตร และน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคทั่วประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ไปจนถึงปีหน้า และต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะฟื้นฟูระดับน้ำในเขื่อนให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ
ทุกสิ่งทุกอย่าง มีที่มาของมัน ผลเกิดจากเหตุ เหตุน้ำแล้งหนัก เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์
เห็นกันหรือยัง ว่าภัยแล้งจากน้ำมือมนุษย์ มันเลวร้ายและรุนแรงแค่ไหน
ถึงข่าวจะเก่า แต่ตอนนี้ก็เข้าใจกันแล้วสินะ ว่าน้ำไม่มี เกิดจากใคร ????